..หนึ่งเดือนต่อมา..
“น้องพระพาย เอามาครับ พี่ช่วย” คิมหันต์เดินปรี่เข้าไปแย่งถังน้ำแข็งจากคนตัวเล็กที่กำงเดินเซมาจากข้างสนาม
“ขอบคุณค่ะ พี่คิมหันต์”
“อย่าทำเอาหน้าคนเดียวสิวะไอ้คิม เหนื่อยไหมครับน้องพระพายทีหลังโทรมาบอกพี่สิครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ภาคิน มันเป็นหน้าที่ของพระพายอยู่แล้ว” สาวน้อยพูดพร้อมกับฉีกยิ้มให้ชายทั้งสอง
แม้เป็นผู้จัดการทีมแต่เพราะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหนุ่ม นอกจากความเอาใจใส่ พวกเขายังหลงไปกับความน่ารักของเธอเช่นกัน
ขวดน้ำแจกจ่ายให้กับนักฟุตบอลในทีม โดยที่ผู้จัดการตัวเล็กไม่ต้องออกแรงเดินให้เหนื่อย
“พี่ตั้ม น้ำค่ะ เหนื่อยไหม?”
“ขอบคุณครับ ไม่เหนื่อยเลย”
หมับ!
ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปรับ ขวดน้ำก็ถูกคว้าไปต่อหน้าต่อตา ทำให้ทั้งคู่หันไปมองตามด้วยความไม่พอใจ
ชายตัวโตใบหน้าคุ้นกำลังเปิดขวดน้ำแล้วยกดื่มโดยไม่สนใจสายตาที่กำลังมองเลยสักนิด
“ทำไมทำแบบนี้คะ? น้ำขวดนั้นเป็นของพี่ตั้มถ้ากัปตันอยากกินก็ไปหยิบในถังสิ”
“เป็นอะไร? ก็แค่น้ำหวานขวดเดียวเธอก็ไปหยิบมาให้มันใหม่สิ”
“มันมีแค่ขวดเดียวจะให้ไปหยิบที่ไหนอีก” คนตัวเล็กตะเบงเสียงพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันกลับมามอง
“แล้วทำไมถึงมีขวดเดียว แล้วคนอื่นไม่ได้แบบนี้เหรอ?” สายตาคมจ้องใบหน้าจิ้มลิ้ม คิ้วหนายกสูงเหมือนกำลังจับผิด
“ก็ขวดนี้ ฉันใช้เงินตัวเองซื้อไม่เกี่ยวกับเงินส่วนกลางสักหน่อย” เสียงงึมงำในลำคอ ทว่าชายตัวโตกลับได้ยินอย่างชัดเจน
“ลืมกฎที่ตกลงกันไว้แล้วเหรอ หรือคิดอยากจะ..!?
คำพูดขาดหายแต่สายตาคู่นั้นกลับมองเธอเปลี่ยนไป
“ถะ ถ้าอยากกินขนาดนั้น ก็ กินเถอะค่ะ แค่น้ำขวดเดียว เดี๋ยวไปซื้อใหม่ก็ได้” น้ำเสียงติดขัด สายตาเลิ่กลั่กกับท่าทางเสียอาการ ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังยืนมองยกยิ้มก่อนจะเมินหน้าหันไปอีกทาง
“หึ! ก็แค่นั้น! ส่วนมึง ไอ้ตั้ม! มึงไปวิ่งรอบสนามอีกห้ารอบค่อยกลับ”
“ครับ กัปตัน”
“ได้ยังไงคะ? ทำไมต้องวิ่งอีกล่ะ พี่ตั้มยังไม่หายเหนื่อยเลย แล้วคนอื่นล่ะ? ทำไม..
“ถ้าเธอไม่หุบปาก มันจะได้วิ่งเพิ่มอีก 5 รอบ!”
อุ๊บ!!
ริมฝีปากเล็กปิดเงียบ แม้อยากเถียงใจแทบขาดแต่ก็ทำได้แค่ในความคิด
ฉันรู้จักรุ่นพี่หน้าหล่อคนนี้ในฐานะกัปตันทีมฟุตบอล ทั้งที่ความตั้งใจแรกคือการได้อยู่ใกล้ๆพี่ตั้ม แต่คนที่ต้องเจอและอยู่ใกล้ที่สุดดันเป็นปิศาจอย่างเขาไปได้
ทุกวันหลังเลิกเรียนไม่เว้นแม้แต่วันหยุด ฉันต้องแบกสังขารมาที่สนามหรือไม่ก็ห้องชมรมเพื่อจัดการตารางงานและตารางฝึกซ้อม
“พรุ่งนี้ ทีมเราพบกับมหาลัยKT นะคะ พระพายจองรถตู้มหาลัยให้แล้วล้อหมุนหกโมงเช้าหน้าโรงอาหารกลางนะคะ ส่วนเรื่องที่พักระหว่างพวกพี่แข่งพระพายจะหาดูอีกที” เสียงเล็กพูดดังท่ามกลางสายตาของนักฟุตบอลหนุ่ม ทันทีที่เธอพูดจบ ทุกคนต่างอมยิ้มหันมองหน้ากันไปมา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“น้องพระพายไม่ต้องจองให้เหนื่อยหรอกครับ ปกติพวกเราขับรถไปกันเอง ส่วนที่พักยิ่งไม่ต้องหา แถวนั้นเป็นโรงแรมของ..”
ไอ้ขุน!
ห๊ะ!
เสียงเรียกขัดจังหวะ ทำให้ขุนเขาชะงักหันไปมอง
“แถวนั้นเป็นอะไรเหรอคะ?” ดวงตากลมโตจ้องขุนเขาที่ยังพูดไม่จบ
“แถวนั้นมีแต่โรงแรมหรูราคาแพง ผู้จัดการตัวเล็กๆอย่างเธอคิดจะให้พวกเรานอนอัดอยู่ในห้องเดียวกันหรือไง?”
“ก็ไม่เห็นต้องนอนโรงแรมเลย แค่ห้องเช่ารายวันราคาไม่กี่ร้อยก็พอแล้วมั้ง”
“หะ ห้องเช่า?” ขุนเขาอุทาน กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าเพื่อนๆหวังให้ช่วยค้าน
“ทำไมคะ? พวกพี่นอนไม่ได้เหรอ?” ใบหน้าเล็กตีมึนแสร้งถามด้วยน้ำเสียงประชด
นักฟุตบอลหนุ่มกว่าสิบชีวิตหันสบตากัน ก่อนจะค่อยๆ หุบยิ้ม
“เอ่อ! ปกติไม่เคยมีใครมาจัดการให้นะครับ พวกเราเลยยังไม่ชิน”
คิมหันต์พูดตะกุกตะกัก ยิ้มแห้งๆให้หญิงสาว แม้เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้น แต่ก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
“แต่ว่า..”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักหรอกครับ เดี๋ยวไอ้เพลิงจัดการให้”
“เผื่อกูด้วย ห้องข้างๆน้องพระพายได้ยิ่งดี” เสียงดังแทรกมาจากประตูทางเข้า นักศึกษาหนุ่มผิวขาวใบหน้าหมดจด กำลังเดินยิ้มเข้ามาหาพวกเขา
“แล้วมึงมาเสือกอะไร? ไม่ได้เป็นนักกีฬาสักหน่อย”
“ถึงกูไม่ใช่นักฟุตบอลแต่กูเป็นเพื่อนมึง กูไปด้วยไม่ได้เหรอวะ?”
“ไม่ได้” ผมปฏิเสธเสียงแข็งเพราะรู้ดีว่าถ้าเอามันไปด้วย คนที่จะทำให้แผนของผมพังก็คงไม่พ้นมันเป็นแน่
“หัดเป็นคนขี้งกกับเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? ไอ้เพลิง”
“งก หรือว่าหวง?”
ภาคินพูดออกมาลอย ๆ แต่ก็จงใจให้ใครบางคนได้ยิน
“หวงอะไร? แค่ห้องพักไม่กี่ห้องทำไมกูต้องหวง”
“กูไม่ได้บอกสักหน่อยว่าห้องพัก”
สิ้นคำภาคินก็เดินออกไปจากสนาม ตามด้วยสมาชิกคนอื่นๆที่ทยอยกลับไปพัก ไม่เว้นแม้แต่กัปตันทีมที่เดินออกไปพร้อมกลุ่มเพื่อน
ฉันมองหน้าพี่ตั้มที่ยังนั่งเงียบอยู่ที่เดิม สีหน้าและแววตาดูเหนื่อยกว่าทุกวันที่ผ่านมา
“พี่ตั้มเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไม่สบายหรือเปล่า?” ร่างเล็กย่อนตัวลงนั่งข้างชายหนุ่ม สายตายังจับจองใบหน้าของเขาไม่ยอมละ
“เปล่าครับ พี่ไม่เหนื่อย พระพายกลับไปพักเถอะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“พระพาย พี่ตั้ม”
เสียงเรียกดังมากจากด้านนอกของสนาม ก่อนร่างนั้นจะเดินแหวกแทรกรั้วต้นไม้ ตรงดิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่
“แอบมานั่งจู๋จี๋กันอยู่นี่เอง”
“จุ๊บแจง! พูดอะไรน่ะ ถ้าคนอื่นผ่านมาได้ยิน ฉันกับพี่ตั้มโดนไล่ออกแน่”
ฉันพูดพร้อมกับหันไปมองรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจอย่างหายห่วง
“พระพายกลัวเหรอครับ?”
“กลัวสิคะ ถ้าคนในทีมเข้าใจผิดพี่ตั้มอาจถูกไล่ออก”
“หึ! แต่พี่ไม่กลัว”
น้ำเสียงเรียบง่าย สายตาเย็นชา ทำให้ฉันกับจุ๊บแจงมองหน้ากันอย่างแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้พี่ตั้มอยากเป็นนักฟุบอลของมหาลัยมาก เขาทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ซ้อมหนักเพื่อให้ผ่านการคัดเลือก แต่พอได้เข้ามาอยู่ในทีมจริงๆเขากลับไม่มีความสุข ทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลา
“พี่ตั้มไม่อยากเป็นนักกีฬาของมหาลัยแล้วเหรอคะ?”
“อยากสิ แต่.. พี่ก็อยากเป็นแฟนกับพระพายเหมือนกัน”
ใบหน้าหวานร้อนผ่าว สองแก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เสียงหัวใจดวงน้อยกำลังกระโดดโลดเต้นราวกับมันจะทะลุออกมาอยู่ข้างนอก
“พี่ตั้มขอพระพายเป็นแฟนเหรอคะ?”
จุ๊บแจงเป็นคนถามย้ำ ขณะที่ฉันได้แต่นิ่งอึ้งด้วยความดีใจ
“เป็นแฟนกับพี่นะครับ พี่รู้แล้วว่าพระพายเป็นคนที่พี่ชอบ พี่ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนอยู่ใกล้แล้วก็ไม่อยากเห็นพระพายเข้าใกล้ใคร”
แต่แล้วเสี้ยวของความคิดฉันกลับพูดคำว่าตกลงไม่ออกทั้งที่หัวใจอยากพูดมันออกไปดังๆ ริมฝีปากชา ลิ้นแข็งทื่อ ลำคอแห้งผาก
“ไม่เป็นไรครับ พระพายยังไม่ต้องตอบพี่ตอนนี้ก็ได้” พูดจบหนุ่มใบหน้าตี๋ก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปรอบสนาม
รอยยิ้มบางๆของพี่ตั้มทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงความผิดหวังบางอย่างที่อยู่ในใจ
“พระพายเธอบ้าหรือเปล่าทำไมไม่คบกับพี่ตั้มห๊ะ!?”
“มันตื่นเต้น จนพูดไม่ออกนะสิ”
“ยัยบ้องเอ้ย ไปกลับบ้านเดี๋ยวฉันไปส่ง”
ทั้งคู่เดินออกมาขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านนอกแล้วขับออกไป