งานเลี้ยงเลิกในช่วงบ่าย เนื่องจากงานนี้เน้นการประชาสัมพันธ์มูลนิธิและประกาศเกียรติคุณผู้ร่วมบริจาคจึงใช้เวลาไม่นานนัก หลังจากจบการแสดงปิดท้ายของบรรดาเด็กๆ ผู้มาร่วมงานก็ทยอยเดินทางกลับ รวมถึงอินทัชและฐิสาที่เตรียมตัวออกจากงานเช่นกัน
ทั้งสองเดินออกมาที่หน้าห้องจัดเลี้ยง ตอนนั้นอินทัชจึงได้เจอกับพีรพล ผู้ช่วยของฐิสาและเป็นเพื่อนของเขาเช่นกัน เมื่อพีรพลเรียนจบมหาวิทยาลัยที่เดียวกับอินทัชตอนที่เขาเรียนปริญญาตรี
“สาจะกลับกับพลนะ พอดีมีงานที่ต้องไปคุยกันต่อ” ฐิสาหันมาบอกกับอินทัช ตอนนี้นักข่าวก็ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว จึงไม่ต้องระวังสายตาของใครมากนักหากทั้งสองต้องแยกกันเดินทาง
“ได้สิ”
“แล้วนี่อินจะกลับคอนโดฯ เลยหรือเปล่า”
อินทัชเลิกคิ้ว
“ทำไม กลัวผมไปหาใครต่อเหรอ หึงหรือยังไง”
ฐิสาส่งเสียงในลำคอ ราวกับว่าอินทัชเพิ่งพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา ผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างเธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกแบบนั้น เพราะถึงแม้อินทัชจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่อย่างไรเธอก็คือผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา และฐิสาก็มั่นใจว่าอินทัชไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดไม่ได้
“พอดีสาลืมของไว้ที่ห้องน่ะ แต่ช่างมันเถอะ เดี๋ยวสาซื้อใหม่ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นสาไปก่อนนะ” ฐิสาหมุนตัวเดินจากไปทันที พีรพลจึงหันมาบอกลาอินทัชที่โบกมือส่งให้น้อยๆ หลังจากที่ทั้งสองหายไปจากสายตา เพ็ญแขก็เดินเข้ามาหาบุตรชายของตัวเอง
“หนูสาไปไหนแล้วล่ะ” เพ็ญแขถามพลางมองหาไปรอบๆ
“กลับแล้วครับ”
“อ้าว แล้วทำไมลูกไม่ไปส่งหนูสาล่ะ” เพ็ญแขร้องขึ้นมาพร้อมกับจ้องอินทัชอย่างไม่พอใจ
“สาไปกับพลครับแม่ เขาจะไปคุยงานกันต่อ” อินทัชแก้ต่างให้ตัวเอง
“อ้าวเหรอ วันหยุดแท้ๆ หนูฐิสานี่ขยันจริงๆ เชียว ทั้งสวยทั้งเก่ง แถมยังมีฐานะและชาติตระกูลที่ดีสมกับที่แม่ตั้งใจเลือกมาว่าเหมาะสมกับอิน” เพ็ญแขยิ้มอย่างพอใจ นึกชื่นชมตัวเองที่เลือกลูกสะใภ้มาได้อย่างดี อินทัชรู้ดีว่าในบรรดาคุณสมบัติต่างๆ ที่มารดาพูดมานั้น แท้จริงแล้วสองข้อหลังสำคัญที่สุดสำหรับท่าน แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
“ว่าแต่ลูกจะกลับคอนโดฯ เลยหรือเปล่า”
อินทัชหัวเราะในลำคอ เมื่อคำถามของแม่เหมือนกับว่าที่สะใภ้คนโปรดเป๊ะ
“คงกลับไปนอนต่ออีกหน่อยน่ะครับ แล้ว...ตอนเย็นค่อยว่ากัน” อินทัชยกยิ้มที่มุมปาก ทำเอาคนฟังตาโตขึ้นมา
“เดี๋ยวเถอะ ถ้าไม่ใช่หนูสา แม่ไม่มีวันให้เข้าบ้านนะ” เพ็ญแขย้ำเรื่องเดิมๆ อีกครั้ง
“ผมรู้หรอกครับแม่ ผมไปก่อนนะครับ” อินทัชตัดบท เดินแยกออกมาจากมารดา ตั้งแต่เรียนจบปริญญาโทแล้วกลับมาทำงานที่ไทย อินทัชก็ไม่ค่อยได้กลับไปอยู่บ้านที่เขาเติบโตขึ้นมาเท่าไหร่ เขามักจะใช้ชีวิตอยู่ที่คอนโดมิเนียมสุดหรูที่เพิ่งซื้อหรือไม่ก็บ้านพักส่วนตัวของเขา
บ้าน...ที่แม้แต่มารดาของเขาก็ไม่เคยรู้ว่าเขาครอบครองอยู่ เมื่อเขาอยากเก็บพื้นที่แห่งนั้นไว้เป็นที่พักกายและใจ ในเวลาส่วนตัวที่ต้องการหลีกพ้นจากความวุ่นวาย
อินทัชเปิดไฟเลี้ยว จากที่ตั้งใจจะกลับคอนโดมิเนียมก็เปลี่ยนเป็นขับรถไปตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่บ้านพักอันเป็นพื้นที่หวงแหนของตน
ทันทีที่ประตูรั้วปิดสนิทและเขาก้าวลงจากรถ สุนัขพันธุ์ทางตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาคลอเคลียพร้อมกับแกว่งหางไปมา
“ว่ายังไงเรนนี่” อินทัชลูบหัวเจ้าสี่ขา น้ำเสียงที่ใช้พูดคุยก็อ่อนลงกว่าปกติ รอบๆ บ้านเงียบสงบ เพราะนอกจากเขาแล้วที่นี่ก็ไม่มีคนพักอยู่ จะมีแค่แม่บ้านที่เขาว่าจ้างให้เข้ามาทำความสะอาดและดูแลให้อาหารเจ้าเรนนี่ในช่วงเช้าและเย็นเท่านั้น
อินทัชดูนาฬิกา ตั้งใจจะนอนพักเอาแรงเสียหน่อย ค่อยลงมาเล่นกับเจ้าลูกชายตัวแสบในช่วงเย็น
อินทัชลูบหัวเรนนี่อีกครั้งก่อนเดินเข้าบ้าน เจ้าเรนนี่ก็รู้งานจึงหยุดอยู่แค่อยู่ตรงประตูบานใหญ่และทิ้งตัวนอนไม่ได้เดินตามเข้ามา อินทัชเดินไปทางห้องนอนของตัวเอง แม้บ้านหลังนี้จะใหญ่ไม่เท่าบ้านที่เขาอาศัยกับมารดา แต่ก็มีถึงสี่ห้องนอนจนทำให้บางทีบรรยากาศก็เงียบเหงาพิกล
อินทัชปลดกระดุมเสื้อ เปลี่ยนไปใส่ชุดอยู่บ้านง่ายๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน หลับไปอย่างรวดเร็ว