เมื่อภูวินทร์กลับถึงบ้าน เขาเห็นคะนึงนิจนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ข้างตัวมีแล็ปท็อปเปิดอยู่พร้อมเอกสารกองเล็ก ๆ วางเรียงอยู่ข้างมือ
“นิจจ๊ะ ลูกหลับแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถามพลางถอดสูทพาดพนักเก้าอี้
“หลับไปแล้วค่ะ วันนี้เล่นกับหนุ่ยสนุกมาก ตอนทานข้าวเย็นก็หัวเราะกันไม่หยุดเลยค่ะ นิจยังอัดคลิปไว้ด้วย เผื่อพี่ภูอยากดูลูกหัวเราะ”
เธอพูดพลางยิ้มบาง “น้องคินหัวเราะร่วนเลยค่ะ ไม่ว่าหนุ่ยจะพูดอะไร ลูกก็หัวเราะลั่น ป้าสร้อยยังอดขำตามไม่ได้เลยค่ะ”
ภูวินทร์ยิ้มอ่อน “งั้นเดี๋ยวนิจส่งคลิปให้พี่ดูด้วยนะ วันนี้เสียดายจัง พี่ติดงานเลยกลับค่ำ ไม่มีโอกาสได้เล่นกับลูกเลย”
“นิจส่งให้แล้วค่ะ” เธอตอบพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นโชว์แผ่วเบา
“อืม...แล้วนี่นิจกำลังทำอะไรอยู่เหรอ เห็นคิ้วขมวดเชียว”
คะนึงนิจนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เมื่อวันก่อนนิจไปเจอกับแก้วมา แก้วแนะนำให้รู้จักกับคุณอ้อ เจ้าของโรงงานผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งค่ะ คุณอ้อกับแก้วตั้งใจจะร่วมหุ้นกันเปิดแบรนด์เครื่องสำอางใหม่ แล้วก็ชวนนิจร่วมลงทุนด้วย”
เธอหยุดสักครู่ก่อนพูดต่อ “เรื่องเงินลงทุนนิจไม่มีปัญหาค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง เท่าที่ทราบ คุณอ้อคนนี้เคยมีแบรนด์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก...นิจกลัวว่า ถ้าแบรนด์ใหม่นี้ไปได้ดี แล้ววันหนึ่งคุณอ้ออยากเอาแบรนด์เดิมของตัวเองมาพ่วงเข้ามาใช้ทรัพยากรร่วมกัน มันคงไม่ยุติธรรมกับพวกเรา”
เธอเม้มริมฝีปากน้อย ๆ “แต่มันก็แค่ความกังวลของนิจ ยังไม่เกิดขึ้นจริง นิจเลยไม่แน่ใจว่าคิดมากไปเองหรือเปล่า”
“เรื่องที่นิจกังวล พี่ว่ามันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงนะ” ภูวินทร์เอ่ยพลางเอนตัวพิงพนักโซฟา น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงด้วยความจริงจัง
“พี่เคยได้ยินเรื่องคล้าย ๆ แบบนี้จากคนอื่น เหมือนจะเป็นดาราหรือเซเลบคนหนึ่งลงทุนทำธุรกิจเครื่องสำอางกับนักลงทุนรายหนึ่ง แล้วเพื่อนสนิทคนหนึ่งก็ร่วมหุ้นด้วย”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ “ตอนแรกทุกอย่างดูไปได้สวย แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอเริ่มประสบความสำเร็จ ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งกลับอยากนำแบรนด์เก่าที่เคยล้มเหลวกลับมาปัดฝุ่นใหม่ เลยคิดจะพ่วงใช้ชื่อเสียงของแบรนด์ที่กำลังดัง จนผู้ถือหุ้นอีกสองรายไม่พอใจ สุดท้าย หุ้นส่วนทั้งหมดก็ทะเลาะกัน มีปัญหา ถึงขั้นฟ้องร้องกันเอง...”
เขาหยุดเล็กน้อยเหมือนพยายามนึก “พี่เองก็จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องมันจบยังไง”
ภูวินทร์มองภรรยาด้วยแววตาอ่อนโยน “ถ้านิจอยากเริ่มทำธุรกิจ พี่เห็นด้วยนะ และพี่ก็พร้อมจะสนับสนุนทุกทาง” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและจริงใจ
ในใจเขาตระหนักดีว่า หลังคะนึงนิจลาออกจากงาน เธอเหมือนนกที่ถูกเด็ดปีก ไม่ได้ออกไปโบยบินอย่างที่ควรจะเป็น เขาอยากให้ภรรยาสาวได้มีโอกาสโบยบินอีกครั้ง มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
ภูวินทร์ไม่อยากเป็นผู้ชายคร่ำครึที่มองว่าผู้หญิงต้องอยู่แค่เบื้องหลัง ทำตามคำสั่ง หรือมีหน้าที่แค่เลี้ยงลูกกับดูแลบ้าน ผู้หญิงกับผู้ชาย...ต่างมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และเขาอยากให้คะนึงนิจได้ใช้สิทธินั้นอย่างเต็มที่ และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือกจะทำจริง ๆ
“เอาอย่างนี้ไหม” ภูวินทร์ลองเสนอความคิดเห็น “เดี๋ยวพี่ให้เบอร์บริษัทกฎหมายและชื่อทนายที่บริษัทพี่ใช้บริการประจำ นิจลองติดต่อไปปรึกษาเรื่องรายละเอียดการทำสัญญาร่วมทุนให้รอบคอบ ว่าควรจัดการอย่างไรบ้าง”
เขาหันมามองภรรยา พลางพูดต่ออย่างให้กำลังใจ “นิจบอกความกังวลของตัวเองให้เขาทราบ เพื่อให้ช่วยร่างสัญญาให้รัดกุมและเป็นธรรมกับผู้ถือหุ้นทุกคน การปรึกษามืออาชีพและทำให้เป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ต้น จะช่วยป้องกันปัญหายุ่งยากในภายหลังได้เยอะเลย”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนเสริม “เราอาจมีค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือความสบายใจ ว่าอย่างน้อยเราก็ป้องกันปัญหาไว้ล่วงหน้าด้วยการใช้มืออาชีพ...ค่าใช้จ่ายตรงนี้พี่ว่ามันคุ้มมากนะ”
“นิจก็กำลังคิดจะใช้บริการบริษัทกฎหมายอยู่เหมือนกันค่ะ”
เธอพูดต่อ “วันนี้นิจพยายามหาข้อมูลและแบบร่างสัญญามาเป็นตัวอย่างทั้งวัน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมอย่างที่ต้องการ”
คะนึงนิจเงยหน้ามองสามีด้วยแววตาโล่งใจ “งั้นนิจฝากพี่ภูช่วยส่งรายละเอียดให้ด้วยนะคะ นิจจะได้ติดต่อบริษัทนี้เลยพรุ่งนี้”
ความรู้สึกอุ่นใจแผ่ซ่านในอก อย่างน้อยปัญหาที่เธอกังวลมาทั้งวันก็เริ่มเห็นทางออกแล้ว และเธอจะได้รีบจัดการธุระต่าง ๆ ให้เรียบร้อยโดยไม่ปล่อยให้ค้างคาอีกต่อไป
...
เสียงเครื่องปรับอากาศดังแผ่วเบาในห้องสวีทของโรงแรมหรูใจกลางเมือง
ชายหนุ่มผละออกจากร่างหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างกาย ก่อนจะเอื้อมมือดึงถุงยางออกจากตัวอย่างเฉยชา แล้วหยิบโทรศัพท์ที่สั่นแผ่วพร้อมแสงไฟวาบขึ้นบนหน้าจอ เขาตั้งโหมดเงียบไว้เพื่อป้องกันการขัดจังหวะอารมณ์
“อืม...แก้วเหรอ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ระหว่างกดรับสาย มืออีกข้างหนีบบุหรี่ไฟฟ้าไว้พลางก้าวออกไปยืนที่ระเบียง
เสียงของหญิงสาวดังลอดออกมาจากปลายสาย เขาตอบกลับอย่างไม่เปลี่ยนจังหวะน้ำเสียง
“วันนี้พี่ต้องพาลูกค้ามาเอ็นเตอร์เทนนิดหน่อย อาจกลับค่ำ...ไม่ต้องรอพี่นะ เข้านอนไปก่อนได้เลย”
“จ้ะ...พี่ขับรถระวังด้วยนะ”
เสียงอ่อนโยนตอบกลับมา ก่อนสายจะถูกตัดลง เหลือเพียงแสงเมืองยามค่ำที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม
“พี่แก้วโทรมาตามหรือคะ พี่จะกลับแล้วใช่ไหม” จันทร์รวีที่เดินตามมาที่ระเบียงเอ่ยเสียงหวาน แววตาฉายแววออดอ้อน “แหม...เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแน่ะ พี่เก่งจะอยู่กับจันทร์แค่แป๊บเดียวเองเหรอ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางยกมือแตะคางเธอเข้ามาจูบเบา ๆ “พี่บอกแก้วไปแล้วว่าจะกลับค่ำหน่อย...ตอนนี้ยังพอมีเวลาอีกพักใหญ่ ถ้าพี่ขอหลาย ๆ รอบ จันทร์จะรับพี่ไหวไหมล่ะ”
“ก็ต้องดูว่าพี่เก่งอึดแค่ไหนมากกว่ามังคะ” เธอตอบยิ้มยั่ว ร่างบางโน้มตัวเข้าหา มือคล้องคอเขาไว้แน่น ก่อนยืดตัวขึ้นจูบชายหนุ่มอย่างดูดดื่ม
ลมหายใจทั้งคู่ประสานกันแนบแน่น เสียงหัวเราะแผ่วผสมกับเสียงกระซิบที่ขาดห้วง ทั้งสองโอบกอดซุกไซ้กันอย่างเมามัน ก่อนจะพาร่างหายเข้าไปในห้องพัก ทิ้งไว้เพียงแสงไฟสีเหลืองนวลส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง
...
จันทร์รวีนอนเอนกายเอ้อระเหยอยู่บนเตียง ผ้าปูยับย่นเผยให้เห็นร่องรอยราคะของค่ำคืนที่ผ่านมา
เธอมองเพดานอย่างผ่อนคลาย ยังมีเวลานอนเล่นได้จนถึงสาย ๆ หลังทานอาหารเช้าเสร็จค่อยเช็กเอาต์ก็ยังทัน วันนี้เธอวางแผนจะลาป่วยในช่วงเช้า นอนแช่ในห้องหรูให้เต็มอิ่ม ก่อนจะกลับไปยังห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เดินไปทางไหนก็เจอแต่ผนังแคบ ๆ ล้อมรอบ
สายตาเลื่อนไปยังโทรศัพท์มือถือในมือ ยอดเงินที่เพิ่งถูกโอนเข้ามาเมื่อครู่ทำให้ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบาง มีเงินไปเที่ยวเล่นแล้วสิ
แค่หลอกไอ้หน้าโง่นั่นสักหน่อยว่ามันอึด มันลีลาดี
ไม่คิดเลยว่า พี่แก้วจะโง่ขนาดนี้ ไม่รู้เลยเหรอว่าผัวตัวเองเจ้าชู้ขนาดไหน
หญิงสาวหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนความคิดจะย้อนกลับไปถึงวันที่เธอได้พบกับแก้ว พี่รหัสที่เคยสนิทกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย...วันนั้น แก้วพาสามีของตัวเองมาด้วย เก่ง ชายหนุ่มหน้าตาดี ดูภูมิฐาน สมตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง
เขามีแววตาเชื่อมหยดย้อยที่มองเพียงครั้งเดียว จันทร์รวีก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้...ชอบเกมเดียวกันกับเธอ
ขณะที่แก้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำชั่วครู่ เธอก็ฉวยจังหวะนั้นทันที
“จันทร์ขอเบอร์พี่เก่งกับไลน์ไว้ได้ไหมคะ เผื่อบางทีมีเรื่องด่วนต้องติดต่อถึงพี่แก้ว แต่ติดต่อไม่ได้”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลออดอ้อน ดวงตากลมใสมองอีกฝ่ายอย่างมีเลศนัย
“ได้สิครับ ถ้ามีเรื่องด่วนหรือเดือดร้อนอะไรก็ติดต่อพี่ได้เลย พี่อาจช่วยอะไรจันทร์ได้บ้าง”
เก่งสบตาเธออย่างรู้ทัน รอยยิ้มแพรวพราวแตะที่มุมปาก
จันทร์รวียิ้มตอบเล็กน้อย ทั้งคู่ต่างเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ต้องพูดออกมา
และจากวันนั้น...ทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด
เพียงคืนหนึ่งที่จันทร์รวีส่งข้อความไปทักในไลน์ แค่ลองหยั่งเชิงดูว่าสามีของรุ่นพี่คนนี้จะมีท่าทีอย่างไร ชายหนุ่มก็ตอบกลับแทบจะทันทีราวกับรออยู่แล้ว ทั้งสองเริ่มนัดพบกันเรื่อยมา สองสามครั้งแรกในเลานจ์หรูของโรงแรมบ้าง ในผับดังกลางเมืองบ้าง เธอแค่อ่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ จูบบ้าง ให้อีกฝ่ายจับโน่นนิดนี่หน่อยบ้าง จนท้ายที่สุดก็ลงเอยในห้องพักระดับห้าดาว
ในช่วงเดือนแรก เก่งแทบไม่ปล่อยให้เธอห่างตา ติดใจในลีลาและความยั่วเย้าของหญิงสาวจนแทบจะนัดพบกันทุกวัน
จันทร์รวีกอบโกยทั้งของขวัญ เงินสด และสิ่งของแบรนด์เนมที่ชายหนุ่มประเคนให้ด้วยความหลงใหลไม่รู้ตัว
แต่ไม่นาน ของใหม่ก็กลายเป็นของเก่าตามกาลเวลา
เขาเริ่มห่างเธอ เหลือเพียงนัดเจอกันเดือนละสองสามครั้ง เธอรู้ดี...ผู้ชายแบบนั้น คงมีของเล่นชิ้นใหม่แล้ว และเบื่อของเก่าอย่างเธอบ้าง
โชคดีที่เธอฉลาดพอจะกอบโกยไว้ก่อน จันทร์รวียิ้มบางขณะทอดตัวลงบนเตียงอีกครั้ง
อย่างน้อย...ตอนนี้เธอก็ยังได้มีโอกาสนอนในห้องหรูบ้าง มีเงินติดกระเป๋าไว้ใช้สบาย ๆ และไม่ต้องรู้สึกเสียดายอะไรเลย
ผัวของนังแก้ว...ตอนนี้ก็เป็นผู้ชายของเธอแล้ว
ลีลาก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมแต่ก็พอให้เพลิดเพลินแถมได้เงินอีกต่างหาก
แล้วผัวของนังนิจล่ะ...จะเป็นยังไงบ้างนะ
ภูวินทร์ ชื่อของเขาผุดขึ้นในห้วงความคิด ชายหนุ่มผู้สุภาพ เคร่งขรึม และแทบไม่เคยมองหน้าเธอเลย ไม่ว่าจะเป็นการพบเจอโดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญก็ตาม
ยิ่งเขาไม่มอง...เธอยิ่งอยากให้เขามอง ยิ่งทำเฉย...เธอยิ่งอยากเห็นแววตาคมนั้นสั่นไหว
ภาพของเขาปรากฏในความคิด ชายหนุ่มมาดดี ดูภูมิฐาน มีเสน่ห์บางอย่างที่เธออยากไขว่คว้าไว้ เขาเป็นผู้ชายต้องห้ามที่ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากแย่งชิง
ความรู้สึกประหลาดพลุ่งพล่านในอก จันทร์รวียิ้มมุมปากอย่างพอใจ
เธออยากได้ผู้ชายคนนี้...และจะต้องได้เขามาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม
นังนิจน่ะเหรอ...ผู้หญิงเรียบ ๆ จืด ๆ แบบนั้นน่ะเหรอที่คู่ควรกับเขา?
จันทร์รวียกยิ้มเยาะในลำคอ นังนิจออกจะดูทึ่ม น่าเบื่อจะตาย วัน ๆ ก็เอาแต่หน้ามันเลี้ยงลูก ดูแลบ้าน ทำตัวเป็นแม่ศรีเรือนอยู่ในกรอบไปวัน ๆ
ผู้ชายพอมีฐานะ มีตำแหน่ง มีอำนาจในมือเมื่อไหร่...
ก็มักจะมองผู้หญิงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาว่า “ต้อยต่ำ” ไร้สีสัน ไร้ค่า และไม่คู่ควรกับเขาอีกต่อไป
เธอมั่นใจเต็มร้อย ว่าผู้ชายอย่างเขา...ต้องการคนที่เร้าใจมากกว่านั้น และคนคนนั้นก็คือ เธอ