โครม!
เสียงเอกสารถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะดังลั่น ภูวินทร์กำหมัดแน่น สายตาแข็งกร้าวสะท้อนแววอารมณ์ที่ถูกกดทับไว้แน่น
เขานั่งนิ่งคิดสักครู่ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าด้านในของเสื้อสูท กดหาหมายเลขของคน ๆ หนึ่งที่เขาเคยใช้บริการด้วยจังหวะสม่ำเสมอ
“คุณณรงค์ ผมภูวินทร์นะ เดี๋ยวผมจะส่งประวัติของผู้หญิงคนหนึ่งไปให้ ช่วยติดตามพฤติกรรมของเธอ แล้วรายงานให้ผมรู้สัปดาห์ละครั้ง”
น้ำเสียงเรียบเย็นแฝงแรงกดดันจนปลายสายเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับอย่างรวดเร็ว
ภูวินทร์วางสายลงช้า ๆ แล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ นิ่งมองผนังห้องทำงานด้านหน้า สายตาไร้จุดโฟกัส แต่แววคิดในดวงตายังคงหนักแน่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่วิทยาจะเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ
“เจ้านายครับ ข้อมูลที่ท่านให้ค้นเมื่อวาน ผมรวบรวมมาให้ครบแล้วครับ ย้อนหลังตั้งแต่ช่วงบริษัทเริ่มก่อตั้ง”
ภูวินทร์พยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่ชัดเจน
“ขอบคุณมาก คุณวิทยา แล้วก็ผมติดนัดสำคัญส่วนตัวเย็นพรุ่งนี้ คุณช่วยกันเวลาไม่ให้ใครนัดหมายช่วงเวลานี้ด้วย...แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าผู้หญิงที่ชื่อจันทร์รวีมาขอพบผมอีก ช่วยกำชับเลขาฯ หน้าห้องด้วยว่าผมไม่ว่าง เข้าใจไหม”
“ครับ เจ้านาย” วิทยาก้มศีรษะรับคำ ก่อนค่อย ๆ ถอยออกจากห้อง ทิ้งไว้เพียงความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้องทำงานอีกครั้ง
ภูวินทร์นั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง แววตาเข้มเครียดสะท้อนแสงจากหน้าต่างกระจกบานใหญ่
…
คะนึงนิจง่วนอยู่กับการสอน ฝน ให้จัดเก็บเสื้อผ้าของภาคินทร์ตามหมวดหมู่ที่เธอวางระบบไว้ เพื่อให้สะดวกต่อการหยิบใช้และเก็บคืน เด็กสาวตั้งใจฟังทุกคำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตลอดหลายวันที่ได้พูดคุยและสังเกตพฤติกรรมของฝนตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน คะนึงนิจรู้สึกพอใจมากกับนิสัยของ พี่เลี้ยงคนนี้ ฝนเป็นเด็กซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่พูดอ้อมค้อมหรือมีเลศนัยใด ๆ
ที่สำคัญ ฝนยังมี “ใจรักเด็ก” อย่างแท้จริง เห็นได้ชัดจากวิธีที่เธอดูแลภาคินทร์อย่างอ่อนโยนแต่ไม่ตามใจจนเกินไป
บางครั้งเมื่อเจ้าตัวเล็กงอแง ฝนก็ใช้ความอดทนและน้ำเสียงนุ่มนวลปลอบให้สงบลงได้อย่างน่าชื่นชม
จากการพูดคุย คะนึงนิจทราบว่าฝนเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว ต้องรับผิดชอบดูแลน้อง ๆ อีกสามคนแทนพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพตั้งแต่เช้าจรดเย็น
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝนดู “เป็นผู้ใหญ่เกินวัย” เพราะภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่แบกรับไว้บนบ่ามาตลอดชีวิต
ฝนเป็นเด็กที่ใฝ่เรียน แต่จนใจที่ขาดทุนทรัพย์จึงต้องออกมาทำงานเพื่อจุนเจือครอบครัว
คะนึงนิจมองเด็กสาวด้วยความเอ็นดูและอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า หากฝนทำงานครบปี และทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เธออยากจะช่วยสนับสนุนให้เด็กคนนี้ได้เรียนต่อ
เธอตั้งใจไว้ว่า หากฝนยังอยู่ทำงานกับเธอต่อไป จะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้เรียนต่อ กศน. ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
และถ้าเด็กสาวมีความตั้งใจอยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เธอก็ยินดีจะช่วยสนับสนุนเต็มที่
คะนึงนิจอยากเป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยเปิดโอกาสให้เด็กขาดแคลนได้มีเส้นทางชีวิตที่ดีขึ้น
ถึงแม้วันหนึ่งฝนอาจจะไม่ได้ทำงานกับเธอแล้วก็ตาม
เธอก็ยังอยากเห็นเด็กสาวคนนี้เติบโตอย่างมั่นคงในชีวิต
แต่ถึงอย่างนั้น...ในใจเธอก็ยังมีความระมัดระวังซ่อนอยู่
ชาติที่แล้ว ความไม่รอบคอบในการมองคนเคยนำภัยมาสู่เธอและลูกชายอย่างสาหัส
ครั้งนี้ เธอจึงเลือกจะ “เฝ้าดู” พฤติกรรมของลูกจ้างคนนี้ให้แน่ใจเสียก่อน ก่อนจะเปิดใจเชื่อถืออย่างเต็มที่อีกครั้ง...
ภาคินทร์ดูร่าเริงขึ้นกว่าที่เคย บางทีอาจเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผ่อนคลายลงของคนเป็นแม่ หรืออาจเพราะมีเพื่อนใหม่อย่าง ฝน คอยอยู่ใกล้ ๆ เล่นด้วยทุกวัน
คะนึงนิจเองก็รู้สึกเบาใจขึ้นอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแสนนาน ความเหน็ดเหนื่อยและความโดดเดี่ยวที่เคยห่อหุ้มหัวใจค่อย ๆ คลายลง ยิ่งมีป้าสร้อยกับหนุ่ย...คนที่เธอรักและผูกพันที่สุด ย้ายมาอยู่ในบ้านเดียวกัน เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของเธอในตอนนี้…กำลังแวดล้อมไปด้วย “ความอบอุ่น” และ “ความไว้วางใจ” ที่แท้จริง
…
คะนึงนิจนั่งอ่านเอกสารจากแท็บเล็ตขนาดเหมาะมือ แสงไฟนวลจากโคมข้างโต๊ะเล็กสะท้อนบนใบหน้าเธออย่างอ่อนโยน บนหน้าจอคือเอกสารรายละเอียดของธุรกิจเครื่องสำอางที่แก้วเพิ่งส่งมาให้เธอพิจารณาดูว่ามีความสนใจที่จะร่วมลงทุนด้วยไหม เป็นโปรเจกต์ร่วมทุนระหว่างผู้ผลิตรายหนึ่งซึ่งเป็นคนรู้จักของแก้วมานานหลายปี ผู้ผลิตรายนี้กำลังมองหาผู้ร่วมหุ้นเพื่อสร้าง แบรนด์ใหม่ เจาะตลาดเครื่องสำอางในประเทศให้เติบโตไปอีกระดับ
แก้วมีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการลงทุนส่วนที่เหลือกับผู้ผลิตรายนี้ จึงลองส่งข้อมูลทั้งหมดให้คะนึงนิจช่วยพิจารณา
เธออ่านอย่างละเอียด รอบคอบในทุกบรรทัด ทั้งแผนการตลาด โครงสร้างการถือหุ้น สิทธิของผู้บริหาร ไปจนถึงการจัดสรรผลกำไรในอนาคต
ตามแผนการลงทุน ผู้ผลิตรายนี้จะถือหุ้น 40% เธอสามารถร่วมถือหุ้นได้อีก 40% และแก้วจะถือไว้ 20%
ซึ่งหมายความว่า เธอกับผู้ผลิตรายนี้จะมีสิทธิ์ในการบริหารเท่าเทียมกัน เธอมองเห็นโอกาสที่จะได้ใช้ความสามารถที่เธอเคยมีในอดีตชาติอย่างเต็มที่อีกครั้ง
ในชาติก่อน เธอเคยได้ยินข่าวเซเลบชื่อดังคนหนึ่งลงทุนทำแบรนด์เครื่องสำอางร่วมกับผู้จัดการส่วนตัวและนักธุรกิจอีกคนหนึ่ง ช่วงแรกแบรนด์นั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนติดตลาดและเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่สุดท้ายกลับเกิดความขัดแย้งภายใน
หุ้นส่วนทะเลาะกันใหญ่โต ถึงขั้นต้องไปออกรายการชื่อดังที่พิธีกรมีชื่อเสียงด้านการ “เคลียร์ใจ” คู่กรณีต่อหน้าคนดูทั้งประเทศ
คะนึงนิจจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องราวในครั้งนั้นลงเอยอย่างไร แต่ภาพเหตุการณ์นั้นกลับผุดขึ้นมาในใจ...เป็นเครื่องเตือนให้เธอรู้ว่า “โอกาส” และ “ความไว้ใจ” หากเดินเคียงข้างกันไปอย่างไม่ระวัง ก็อาจกลายเป็นกับดักที่ทำลายทุกอย่างได้ในพริบตา
คะนึงนิจเอนตัวพิงเก้าอี้ สูดลมหายใจลึก ในหัวของเธอเริ่มเรียบเรียงแผนการ ทั้งเรื่องการลงทุน การจัดสรรเวลาเลี้ยงลูก และการกลับเข้าสู่โลกธุรกิจอีกครั้ง
ด้วยความเข็ดหลาบจากการถูกทรยศหักหลังในชาติอดีต เธอไม่ต้องการเป็นเพียง “แม่บ้านที่ยืนอยู่เบื้องหลัง” อีกต่อไป ครั้งนี้...เธอจะเป็น “ผู้หญิงที่สร้างเส้นทางของตัวเอง” เพื่อให้ทั้งตัวเธอเอง คนที่เธอรัก และลูกชายของเธอ ได้ภาคภูมิใจในสิ่งที่เธอสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้ด้วยสองมือของตนเอง
คะนึงนิจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขของแก้ว ไม่นานนัก เสียงปลายสายก็ดังตอบกลับมา
“แก้วจ๊ะ สะดวกคุยไหม พี่เพิ่งอ่านเอกสารที่แก้วส่งมาให้หมดแล้วนะ รู้สึกว่าน่าสนใจมากเลย”
น้ำเสียงของคะนึงนิจฟังดูนิ่งเรียบแต่แฝงความสนใจเบาๆ
“จริงเหรอคะ พี่นิจ!” เสียงแก้วดังขึ้นอย่างดีใจ “เมื่อเช้า คุณอ้อ คนที่เสนอโปรเจกต์นี้ เพิ่งโทรมาถามแก้วอยู่เลยค่ะ ว่ามีคนสนใจจะร่วมลงทุนไหม”
คะนึงนิจยิ้มบาง ๆ พลางตอบอย่างใจเย็น
“โปรเจกต์นี้น่าสนใจมาก แต่ยังมีหลายจุดที่พี่อยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม พี่อยากคุยกับคุณอ้อคนนี้แบบเจอหน้ากันเลยจะดีกว่า ถ้าแก้วสะดวก เรานัดคุยกันสามคนดีไหมคะ จะได้ลงรายละเอียดให้แน่ใจกันไปก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย”
“ถ้าอย่างนั้น แก้วขอนัดเย็นมะรืนได้ไหมคะ พรุ่งนี้แก้วติดงานแถวปทุมฯ กว่าจะกลับถึงบ้านก็คงค่ำ แต่มะรืนนี้สะดวกแน่นอนค่ะ เดี๋ยวแก้วจะติดต่อคุณอ้ออีกที แล้วแจ้งเวลาพร้อมสถานที่ให้พี่นิจทราบนะคะ”
“ได้เลยจ้ะ ไม่รีบ แก้วขับรถกลับบ้านดี ๆ นะ วันนี้คงเหนื่อยน่าดูเลยสิ”
คะนึงนิจพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ช่วงนี้พี่สะดวกทุกวันเลย มีทั้งป้าสร้อยมาช่วยดูน้องคิน แล้วก็มีพี่เลี้ยงคนใหม่อีกคน พี่เลยพอมีเวลาให้ตัวเองบ้างแล้ว”
“ดีจังเลยค่ะ พี่นิจ งั้นวันมะรืนนี้เจอกันนะคะ เดี๋ยวแก้วขอวางสายก่อน มีสายซ้อนเข้ามา สงสัยเก่งจะโทรมาตามว่าแก้วจะถึงบ้านกี่โมงแน่ ๆ เลย”
“ได้จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะ เจอกันมะรืนนี้จ้ะ แก้ว”
“ค่ะ พี่นิจ แล้วเจอกันค่ะ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของทั้งคู่ดังสอดคล้องก่อนสายจะตัดไป เหลือเพียงรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของคะนึงนิจ
“นิจ พี่กลับมาแล้วจ้ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เห็นนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว”
เสียงของภูวินทร์ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อเดินเข้ามาเห็นภรรยาสาวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างอารมณ์ดี ส่วนลูกน้อยก็กำลังตั้งใจต่อของเล่นอยู่บนพรม โดยมีพี่เลี้ยงสาวนั่งประกบอยู่ไม่ห่าง
คะนึงนิจชะงักไปเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งเรียบ “พอดี นิจเพิ่งวางสายจากแก้วค่ะ มะรืนนี้จะนัดเจอกันสักสองสามชั่วโมงคุยเรื่องธุระนิดหน่อย กะว่าจะฝากน้องคินให้ป้าสร้อยช่วยดูแลระหว่างนั้นค่ะ”
ภูวินทร์พยักหน้าช้า ๆ พลางเหลือบมองแท็บเล็ตที่เปิดค้างอยู่บนโต๊ะข้างตัวภรรยา หน้าจอเต็มไปด้วยเอกสารและตารางข้อมูลบางอย่าง แต่เขาไม่ได้ถามหรือแสดงท่าทีอยากรู้
ชายหนุ่มเพียงยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดีเลยจ้ะ ได้ออกไปเจอเพื่อนบ้างก็ดี พี่ว่าช่วงนี้นิจดูสดใสขึ้นเยอะเลยนะ งั้นพรุ่งนี้พี่จะกลับบ้านเร็วหน่อย จะได้มีเวลาเล่นกับน้องคินด้วยเลย”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
“นิจจะให้คนขับรถของพี่ไปรับส่งไหมครับ จะได้ไม่ต้องขับรถเองตอนกลางคืน พี่จะได้สบายใจ”
คะนึงนิจเงยหน้าขึ้นสบตาเขา รอยยิ้มบางคลี่บนริมฝีปาก
ในเมื่อเธอคือภรรยาของภูวินทร์...เธอก็มีสิทธิ์ที่จะใช้สิ่งต่าง ๆ ที่เขามอบให้ได้อย่างเต็มภาคภูมิในฐานะนั้น
“ก็ดีค่ะ พี่ภู ขอบคุณค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แก้วน่าจะนัดเจอแถวใกล้ ๆ บ้านเราเอง มีคนขับรถให้ นิจจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเส้นทาง เรื่องขับรถด้วยค่ะ”
ภูวินทร์พยักหน้ารับพลางยิ้มละมุน ดีใจที่ภรรยายอมรับความช่วยเหลือจากเขา แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างคนที่อยากดูแลคนตรงหน้าให้ดีที่สุด เขาเลือกจะไม่ถามต่อ ไม่ละลาบละล้วง เพราะรู้ดีว่า...ภรรยาของเขา “ผู้หญิงคนนี้” สมควรได้รับทั้ง “ความเคารพ” และ “พื้นที่ของตัวเอง”