ภูวินทร์นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน ข้างกายมีขวดวิสกี้วางอยู่ เงาแสงจากโคมไฟสะท้อนบนแก้วที่เหลือวิสกี้อยู่ค่อนแก้ว ใบหน้าของเขาดูนิ่งสงบ แต่แววตาเหม่อลอยคล้ายคนหลงอยู่ในภวังค์
เบื้องนอก หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แม้แต่แสงดาว มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาแต้มเงาบางบนพื้นห้อง
ทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะ
ภูวินทร์เอนหลังลงบนโซฟา ปล่อยให้แอลกอฮอล์ไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ๆ ความอุ่นจากของเหลวในลำคอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
เขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ความคิดค่อย ๆ ลอยย้อนกลับไปทีละน้อย ความทรงจำที่ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึก ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ
ในอดีตชาติ...
“นิจ วันนี้พี่ได้รับรางวัล สตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งปี จากกระทรวงพาณิชย์ด้วยนะ นี่ไง...โล่รางวัลของพี่”
ภูวินทร์ในชุดสูทดำเรียบหรูพอดีตัวเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชูโล่รางวัลขึ้นให้ภรรยาสาวดู ดวงตาเปล่งประกายด้วยความดีใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาล้มลุกคลุกคลานไม่น้อยกว่าจะพาบริษัทก้าวมาถึงจุดนี้ได้ วันที่ทุกอย่างเริ่มมั่นคง และชื่อเสียงของบริษัทเริ่มได้รับการยอมรับ รางวัลในมือจึงไม่ใช่แค่โล่ธรรมดา แต่คือ “หลักฐานแห่งความพยายาม” ที่เขาฝันถึงมานาน
“ดีใจด้วยค่ะ พี่ภู”
คะนึงนิจเดินเข้ามาหา ยิ้มอบอุ่น ก่อนจะโอบกอดสามีแล้วหอมแก้มเบา ๆ เพื่อแสดงความยินดี
“แล้ว...น้องคินล่ะครับ หลับไปแล้วเหรอ” เขาถามพลางมองขึ้นไปทางบันไดด้วยรอยยิ้ม
“เพิ่งหลับไปเมื่อตะกี้นี้เองค่ะ ก่อนพี่ภูจะเข้าบ้านมา นิจลงมาหยิบโทรศัพท์มือถือ กะว่าจะอ่านอะไรเพลิน ๆ ฆ่าเวลารอพี่กลับบ้านอยู่พอดี”
ภูวินทร์ยิ้มกว้าง ความรู้สึกอิ่มเอมเอ่อล้นในอก เขาอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต ทั้งงานที่ก้าวหน้าและครอบครัวที่สมบูรณ์ เขามีภรรยาที่รักสุดหัวใจ และลูกชายตัวน้อยที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างสดใสในทุกวัน
หลังจากนั้น ชีวิตของภูวินทร์ก็เต็มไปด้วยการประชุม ติดต่อคู่ค้า และขยายโปรเจกต์ใหม่ ๆ เขากลับบ้านดึกแทบทุกคืน แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเพื่อพบปะลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ
ช่วงเย็นที่เคยเป็นเวลาของครอบครัว กลับกลายเป็นช่วงเวลาของงานเลี้ยงและการประชุมด่วนที่เลิกไม่เป็นเวลา
คะนึงนิจเข้าใจสถานะนักธุรกิจของสามีเป็นอย่างดี เธอมักส่งข้อความสั้น ๆ เพื่อถามอย่างห่วงใยว่า
“ทานข้าวหรือยังคะ?”
“ขับรถกลับดี ๆ นะคะ”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง โทรศัพท์ของเขากลับมีข้อความจากใครอีกคนปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง
“วันนี้เหนื่อยไหมคะคุณภู?”
“เห็นหน้าคุณตอนประชุมแล้วดูซีเรียสจังเลยค่ะ ยิ้มหน่อยสิคะ”
ชื่อของเธอ “จันทร์รวี” เลขานุการส่วนตัวของภูวินทร์ รุ่นน้องที่คะนึงนิจเป็นคนแนะนำให้มาทำงานด้วยเมื่อครึ่งปีก่อน
เธอมีบุคลิกสดใสร่าเริง พูดจาคล่องแคล่ว และรู้จักวางตัวเป็น จึงสามารถช่วยเขาในการต้อนรับคู่ค้าหรือประสานงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี หลายครั้งที่ภูวินทร์ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็จะมีเธอติดตามไปด้วย จนกลายเป็นความคุ้นเคยที่เขาไม่รู้ตัว
ตอนแรก ภูวินทร์เพียงแค่รู้สึกเอ็นดูจันทร์รวีในฐานะรุ่นน้องของภรรยา และชื่นชมความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับรู้สึกว่า การได้พูดคุยกับเธอทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว...เขาเพียงแค่เริ่มห่างจากสิ่งที่เคยเติมเต็มอยู่ที่บ้านเท่านั้นเอง
คะนึงนิจยังคงยิ้มและถามถึงงานของเขาอย่างสม่ำเสมอ ทว่ารอยยิ้มของเธอกลับดูอ่อนแรงลงทุกที เธอไม่รู้เลยว่า ในขณะที่เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาและแม่อย่างดีที่สุด หญิงสาวอีกคนก็กำลังค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในชีวิตคู่ของเธอกับภูวินทร์...อย่างเงียบเชียบ
ค่ำวันหนึ่ง หลังเลี้ยงต้อนรับลูกค้ารายใหญ่ที่มาเซ็นสัญญาร่วมโครงการ ภูวินทร์นั่งอยู่ที่เลานจ์ของโรงแรมหรูเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในหลายวันที่ผ่านมา วิสกี้ในแก้วลดระดับลงเรื่อย ๆ ข้างกายคือจันทร์รวีในชุดเดรสเรียบหรูสีน้ำเงิน เธอหัวเราะเบา ๆ กับเรื่องขำขันของคู่ค้าที่ชายหนุ่มเล่าให้ฟัง เสียงหัวเราะนั้นสดใส ร่าเรง ดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าดึงดูด
เขามองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น หญิงสาวตรงหน้าแต่งหน้าอ่อน ๆ พอดี ดูมีเสน่ห์ เธอรู้จังหวะพูด รู้จังหวะยิ้ม และรู้ดีว่าเมื่อใดควรเงียบ
ภาพของคะนึงนิจแวบขึ้นมาในหัวโดยไม่ตั้งใจ ภรรยาที่เขาเคยรักสุดหัวใจ เธอมักใส่เสื้อยืดบ้าน ๆ รวบผมลวก ๆ ขณะอุ้มลูกหรือจัดของในครัว
นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้มองภรรยาว่า “เธอสวยน่ารักสดใส” เหมือนที่เขาประทับใจตั้งแต่แรกพบ แต่กลับมองเห็นเพียง “ความเหนื่อยล้าหม่นหมอง” ที่วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวัน
เขาเคยชอบความสงบของเธอ ความอบอุ่นในรอยยิ้ม แต่ตอนนี้...ความเรียบง่ายนั้นกลับดูจืดชืดในสายตา
เสียงหัวเราะอย่างสดใสของจันทร์รวีกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
“คุณภูดูเครียดจังค่ะ งานเยอะเกินไปหรือเปล่าคะ?”
“อืม...อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยมาหลายวันแล้ว”
“วันนี้คุณภูได้เซ็นสัญญาโปรเจกต์ใหญ่แล้ว ก็อย่าคิดเรื่องอื่นต่อเลยค่ะ ถือโอกาสพักสมองสักคืน”
จันทร์รวีแตะหลังมือของเขาเบา ๆ สร้างความอบอุ่นเล็กน้อยสู่จิตใจของภูวินทร์อย่างรวดเร็วเกินกว่าจะห้ามใจ
เขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง สายตาจับจ้องรอยยิ้มหวานของหญิงสาวตรงหน้า
“ต่างกันเหลือเกิน...”
เขาพึมพำในใจโดยไม่รู้ตัว
ต่างกัน ทั้งแววตา ทั้งรอยยิ้ม และความรู้สึกที่ได้รับ
ในหัวของเขา เริ่มมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาเบา ๆ เสียงที่ไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นเสียงความปรารถนาที่เริ่มกลบเสียงของศีลธรรมความถูกต้องไปทีละเล็กทีละน้อย
....
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้อง ภูวินทร์สะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง มองเพดานและผนังรอบตัวที่ไม่คุ้นตา ความสับสนแล่นวาบเข้ามาในหัวทันที เขาขยับตัวเล็กน้อย ก่อนวาดมือไปด้านข้าง และชะงัก
ร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวนอนอยู่ข้างเขา ผมยาวสลวยคลอเคลียบนหมอน
ภูวินทร์หลับตาลงแน่น พยายามดึงความทรงจำ เมื่อคืนกลับมา
ภาพเหตุการณ์ค่อย ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำทีละน้อย...
หลังจากออกจากเลานจ์เมื่อคืน จันทร์รวีมีอาการมึนเมาจนเดินเซ เขาจำได้ว่ารีบเข้าไปประคองเธอไว้ด้วยความเป็นห่วง ตั้งใจเพียงจะพาไปส่งถึงรถ แล้วให้คนขับพาเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัยเท่านั้น
ทว่าเมื่อเดินถึงหน้าโรงแรม หญิงสาวกลับแทบยืนไม่อยู่ ร่างกายโอนเอนเหมือนจะล้ม ดวงตาครึ่งปิดอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
ภูวินทร์ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจเช็กอินห้องพักในโรงแรม เพื่อให้เธอได้นอนพักจนกว่าจะสร่างเมา
เมื่อประตูห้องปิดลง เขายังประคองเธอไว้แน่น พยายามพาไปที่เตียงอย่างระมัดระวัง แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมา จันทร์รวีกลับโผเข้ากอดคอเขาแน่น เสียงพร่ำเพ้อแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่แทบขยับไม่ชัด
เขาก้มลงพยายามฟัง...แล้วจู่ ๆ ริมฝีปากของเธอก็แนบเข้ากับริมฝีปากของเขาแน่นจนไม่ทันตั้งตัว
“พี่ภูคะ จันทร์รักพี่ รักมานานแล้ว”
เสียงนั้นยังดังสะท้อนอยู่ในหัว ราวกับใครมากระซิบซ้ำ ๆ ข้างหู
ภูวินทร์หลับตาแน่นกว่าเดิม ความสับสนและแรงดึงดูดบางอย่างกำลังยื้อยุดเขาไว้อย่างรุนแรง
กลิ่นหอมอ่อนจากเรือนกายหญิงสาวลอยแตะจมูก ความใกล้ชิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นกลับยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ
จันทร์รวีเอื้อมมือโอบคอเขาไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความโหยหาและเย้ายวน
หัวใจของเขาเต้นแรง เสียงเหตุผลถูกกลืนหายไปท่ามกลางแรงปรารถนาที่กำลังเอ่อล้น
ในความรู้สึกสับสนวูบหนึ่ง ภูวินทร์รู้ดีว่า เขากำลังจะก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป
...
“พี่ภูคะ...” เสียงหญิงสาวสั่นพร่า แทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบปนความตื่นตระหนกเล็กน้อย
เธอลุกขึ้นนั่ง พลางดึงผ้าห่มมาปกคลุมร่างกาย ก้มหน้าลงอย่างคนสำนึกผิด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาแทบกระซิบ
“คิดซะว่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกันค่ะ จันทร์ผิดเองที่ห้ามใจไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าพี่เป็นสามีของพี่นิจ จันทร์จะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเองค่ะ”
ภูวินทร์เงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงต่ำ “ไม่ใช่ความผิดของจันทร์หรอก พี่ต่างหากที่ผิด พี่จะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
จันทร์รวีก้มหน้างุด แต่รอยยิ้มจาง ๆ กลับปรากฏขึ้นที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่มีใครทันสังเกต เธอเอ่ยเสียงสั่นต่อ ทั้งน้ำเสียงทั้งถ้อยคำเต็มไปด้วยความน่าสงสาร
“ขอให้พี่ภูเก็บเรื่องของเราเป็นความลับเถอะนะคะ อย่าให้พี่นิจรู้ จันทร์ไม่อยากให้พี่นิจเสียใจ...จันทร์สัญญาค่ะ ว่าจันทร์จะอยู่ในมุมของตัวเอง ไม่ก้าวก่ายพี่นิจแน่นอน จันทร์รักพี่ภูมากและจันทร์ก็จะไม่ต้องการเป็นมือที่สามที่ทำลายครอบครัวอันอบอุ่นของพวกพี่”
คำพูดนั้นพร่าเบาเหมือนจะร้องไห้ แต่ในแววตาที่หลุบต่ำกลับฉายประกายบางอย่างขึ้นมา เธอรู้ดีว่าตัวเองเริ่มมีอำนาจอยู่ในเกมนี้แล้ว
หญิงสาวขยับตัวเข้ามาแนบชิดด้านหลังของภูวินทร์ สองแขนเรียวกอดรัดแผ่นอกกว้างแน่นราวกลัวว่าเขาจะหลุดหายไปจากอ้อมแขน เสียงของเธอสั่นพร่า แฝงด้วยความอ่อนโยนและอ้อนวอนในที
“จันทร์รักพี่ภู...ขอให้จันทร์ได้เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่คอยอยู่ข้างพี่ก็พอ วันไหนถ้าพี่ภูอยากให้จันทร์ไป แค่บอกคำเดียว จันทร์ก็พร้อมจะไปค่ะ”
เธอหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบาแทบเป็นลมหายใจ “จันทร์สัญญาว่าจะอยู่เงียบ ๆ ไม่เผยอตัวเทียบเท่าพี่นิจ ขอเพียงได้อยู่ใกล้พี่...แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ”
น้ำเสียงนั้นทั้งอ่อนโยน ทั้งสั่นไหว ทว่าในแววตาที่ซ่อนอยู่กลับมีประกายบางอย่าง...คล้ายคนที่ไม่ยอมแค่ “อยู่เงียบ ๆ” อย่างที่พูดเลยสักนิด