วิวาห์(ไม่)ไร้รัก
Writer : Aile'N
ตอนที่ 1
"คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่หมอต้องขอดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกสักวันสองวัน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนก็ย้ายไปห้องพักฟื้นปกติได้" เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง.. ในที่สุดคนรอก็ได้รับข่าวดีอย่างที่ใจหวัง ทำเอาเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่รีบเข้าไปยกมือไหว้คนที่ช่วยชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเธอเสียยกใหญ่
"ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ"
"คนที่พวกคุณควรขอบคุณไม่ใช่หมอหรอกครับ ขอตัวก่อนนะครับ" คุณหมอบอกก่อนยกยิ้มบางๆ ขณะมองไปที่ชายอีกคนที่ยังไม่หนีไปไหน อยู่ติดตามอาการคนป่วยจนการผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เมื่อหมดหน้าที่บุรุษชุดกาวน์ก็ขอตัวออกไป สองแม่ลูกจึงตั้งสติและพากันเดินมาหาผู้มีพระคุณด้วยความตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน ค่าผ่าตัดก็ไม่ใช่ถูกๆ แต่ใครคนนั้นก็ยังยอมช่วยเหลือทุกสิ่งอย่างจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมดในชาตินี้
"คุณคะ.. ฉันกับลูกขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยพวกเราไว้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยแท้ๆ แต่คุณช่วยพวกเราถึงขนาดนี้ ฉันกับลูกซาบซึ้งมากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง มีอะไรที่พวกเราจะตอบแทนได้บ้างมั้ยคะ พวกเรายินดี" อรนภาพูดขณะยกมือไหว้ร่างสูงนั้นทั้งน้ำตานองหน้า ร่างบางข้างๆ ก็เช่นกัน
ความจริงแล้วที่คุณสุรศักดิ์ยอมช่วยสองแม่ลูกก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน เพียงเห็นเพื่อนมนุษย์กำลังเดือดร้อนต่อหน้าต่อตาก็เลยเมินเฉยไม่ได้ก็เท่านั้น แต่พออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้เขาจึงเริ่มฉุกคิดในขณะที่สายตาก็จ้องมองลูกสาวคนสวยของคู่สนทนาไปด้วย
"อืม.. ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมก็คงไม่หวังอะไร แต่ตอนนี้มันมีเรื่องอยากจะหวัง.. อยากฟังมั้ยล่ะ" สองแม่ลูกมองหน้ากันเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมีสิ่งที่ต้องการจากพวกเธอ ก่อนจะพยักหน้ารับฟังอย่างไม่ลังเล เพราะบุญคุณครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก ถ้ามีอะไรที่พอจะตอบแทนได้ก็อยากจะทดแทนให้ด้วยความเต็มใจ
"ผมอยากได้ลูกสาวคุณมาเป็นสะใภ้.."
"สะ.. สะใภ้!? " คนฟังละล่ำละลักถามกลับด้วยความตกใจ คุณสุรศักดิ์จึงพยักหน้ารับ ย้ำชัดให้พวกเธอแน่ใจว่าฟังไม่ผิด
"ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันน่ะหรอคะ ทำไม.." อรนภามองหน้าลูกด้วยความรู้สึกหลากหลาย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ก่อนจะหันไปพูดกับร่างสูงด้วยความสับสน
"ภรรยาของผมนอนอยู่ที่นี่ที่ชั้นสี่.. เธอเป็นโรคหัวใจและกำลังรอผ่าตัด ความหวังก่อนตายของภรรยาและผมก็คือการได้เห็นลูกชายเพียงคนเดียวแต่งงานเป็นฝั่งฝาและมีทายาทสืบสกุล แต่มันไม่สนใจหาเมียจริงๆ จังๆ เลยทั้งที่อายุสามสิบห้าเข้าไปแล้ว ผมก็เลยจะหาเมียให้มันและหวังว่าถ้าภรรยารู้ว่าลูกจะแต่งงานเธอจะมีกำลังใจสู้ในตอนผ่าตัด เพื่อมีชีวิตรอดอยู่จนได้เห็นหน้าหลาน.." คุณสุรศักดิ์บอกกล่าวความต้องการออกมาอย่างเที่ยงตรง ใบหน้าคมจ้องมองคู่สนทนาด้วยสายตาแน่วแน่
สองแม่ลูกพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ รู้สึกเห็นใจเขา แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็สงสารลูกที่ต้องมาแต่งงานอย่างกะทันหันกับคนที่ไม่รู้จักและไม่ได้รักกัน ทว่าคนตรงหน้านี้กลับมีบุญคุณมหาศาลกับครอบครัวของเธอจนทำเอารู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมากถ้าจะปฏิเสธหรือตอบตกลง อรนภาจึงหันมามองหน้าลูกอย่างขอความคิดเห็น รินลดาก็ยิ่งเครียดเพราะกดดันที่ผู้ใหญ่ทั้งสองมองมาด้วยความคาดหวัง..
"ผมคงจะขอมากไป.." พอเห็นสองแม่ลูกมีท่าทีลำบากใจ คุณสุรศักดิ์ก็ถอดใจ เขาไม่ได้โกรธซ้ำยังเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันบังคับจิตใจใครไม่ได้ เด็กวัยนี้ควรมีอนาคตที่สดใสมากกว่าต้องมาตกลงปลงใจแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วยิ่งเป็นลูกชายนิสัยเสียของเขาด้วยแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
"ไม่เลยค่ะ หนู.. ตกลงค่ะ" รินลดารีบพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เนื่องจากผ่านการไตร่ตรองอย่างสมเหตุสมผลมาแล้ว ความจริงเธอไม่ควรคิดมากเลยด้วยซ้ำเพราะชีวิตของพ่อนั้นสำคัญต่อทั้งแม่และเธอ ถ้าไม่ได้คุณลุงคนนี้ช่วยไว้พ่อเธอก็คงไม่มีโอกาสหายใจต่อไปได้อีก กับแค่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อพวกท่านแค่นี้เธอทำได้อยู่แล้ว!
"หญิง.." อรนภาหันไปมองหน้าลูกด้วยความลำบากใจ แต่ร่างบางนั้นกลับหันมายิ้มให้และกอบกุมมือของหล่อนไว้เพื่อปลอบใจ
"หนูไม่เป็นไรค่ะแม่ คุณลุงท่านช่วยชีวิตพ่อไว้ บุญคุณมากมายขนาดนั้น ต่อให้ขอมากกว่านี้หนูก็ให้ได้" รินลดาพูดกับแม่ด้วยดวงตาสั่นไหว แม้เรื่องราวมันจะกะทันหันเกินกว่าจะรับไหวแต่เธอยังเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งพิงของมารดาในช่วงเวลาเลวร้ายแบบนี้..
คำพูดที่ร่างบางเอ่ยกับคนเป็นแม่ทำคุณสุรศักดิ์ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ เพราะมองออกได้ง่ายมากๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปากว่าเด็กสาวเป็นคนดี กล้าหาญและกตัญญูรู้คุณคน
"แต่ขออะไรอย่างได้มั้ยคะ" หลังสิ้นคำบอกกับแม่ร่างบางนั้นก็หันมาพูดกับเขาด้วยท่าทางเหมือนลำบากใจที่จะต้องพูดอะไรบางอย่างที่คิดอยู่ออกมา
"อะไรล่ะ" ร่างสูงถามกลับอย่างใจเย็น
"หนูยังเรียนอยู่ อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว หนูขอแต่งตอนเรียนจบได้มั้ยคะ" คนตัวเล็กร้องขอออกมาด้วยความคาดหวัง
คนฟังนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ารินลดายังคงเรียนอยู่ ซึ่งอายุและวุฒิภาวะนั้นห่างจากวรธันย์มาก ท่าทางก็ดูเรียบร้อยไม่ทันคน เลยเริ่มกลัวว่าจะเอาลูกชายตนไม่อยู่ แต่ในเมื่อเลือกแล้ว.. สุดท้ายก็ต้องยอมพยักหน้ารับแต่โดยดี
"ขอบคุณค่ะ" รินลดายกมือไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่ที่เมตตา และไม่กดดันเธอมากจนเกินไป
"ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะ" คุณสุรศักดิ์ถามต่อด้วยยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายเลย เพราะมัวแต่วุ่นวายกับอาการคนป่วยจนลืมทุกอย่างไป
"หนูชื่อหญิงค่ะ แม่หนูชื่ออร พ่อชื่อสม" ร่างบางแนะนำตัวเองพร้อมด้วยพ่อกับแม่เสร็จสรรพ ทำคนฟังต้องแนะนำครอบครัวตัวเองกลับไปบ้าง เพราะอีกไม่นานรินลดาก็ต้องรู้จักทุกคน
"ฉันชื่อศักดิ์ เมียชื่อนาฏ แต่เรียกพ่อกับแม่ก็ได้ ส่วนไอ้ลูกชายชื่อธันย์ ไม่นานก็คงได้เจอ" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกเรียบๆ ไม่เชิงน่าเกรงขามไปเสียทีเดียว ฟังดูเป็นมิตรเพียงแต่ชอบทำหน้านิ่งเท่านั้น
"เอ่อ.. ค่ะ" คนฟังยิ้มรับฝืดๆ เมื่อคำพูดของว่าที่พ่อสามีกระตุ้นให้ต้องจินตนาการไปถึงว่าที่สามีในอนาคตอันใกล้ว่าจะเป็นคนแบบไหน
"วันนี้กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ อยู่ไปหมอก็ยังไม่ให้เยี่ยม ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายผมจะจัดการให้ นี่นามบัตร แล้วพรุ่งนี้จะมาใหม่" คุณสุรศักดิ์บอกพร้อมกับยื่นนามบัตรของตัวเองไปให้สองแม่ลูก พวกเธอมองหน้าเขาเลิกลั่กด้วยไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้
"ขอบคุณมากๆ ค่ะ" รินลดารับมาก่อนยกมือไหว้ เท่านั้นร่างสูงก็จากไป เธอจึงยกนามบัตรใบนั้นขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนได้พบว่านามสกุลของเขาเหมือนเธอจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่พอคิดไม่ออกก็เลิกสนใจ พาแม่กลับบ้านด้วยความสบายใจที่มีมากกว่าเดิมนิดหน่อย เพราะหมดห่วงเรื่องพ่อแต่เป็นกังวลเรื่องอื่นแทน
"คิดดีแล้วหรอลูก ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักน่ะ" อรนภาพูดขึ้นในระหว่างเดินจูงมือกันเข้ามาในซอยบ้านพักที่เช่าอยู่
"จ้ะแม่ อยู่ๆ ไปก็คงจะรักกันไปเองนั่นแหละ หนูไม่เป็นไรหรอก ขอแค่พ่อปลอดภัยก็พอ" รินลดาบอกแม่ยิ้มๆ แต่คนฟังกลับอดสงสารลูกไม่ได้อยู่ดี เพราะเกิดมาจนร่างบางเลยต้องทนลำบากเคียงข้างพ่อกับแม่มาตั้งแต่เด็ก ต้องสละเวลาส่วนตัวมาช่วยพ่อแม่ขายของทุกวัน เวลาว่างก็รับสอนพิเศษให้เด็กๆ ละแวกใกล้เคียง ทำทุกอย่างเพื่อส่งตัวเองเรียน ไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นอย่างเด็กคนอื่นๆ ก็เลยทำให้ไม่มีเพื่อนเลยสักคน แต่รินลดาก็ไม่เคยน้อยใจหรือเรียกร้องอะไรเลยสักอย่าง พอมาเจอเรื่องนี้อีกหัวอกคนเป็นแม่ก็ยิ่งสงสารลูก..