เช้าวันที่สองของการปฏิบัติภารกิจ คาร์ลยืนรอคอยอยู่หน้าวิทยาลัยช่างกลกวังยาว์ แถวยาวเหยียดของการรอซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าเด็ดทอดยาว ราวกับงูเลื้อยขวางกั้น
คาร์ลทอดสายตาไปยังแถวที่ไร้จุดจบด้วยความเบื่อหน่าย ปล่อยความคิดล่องลอยไปกับเรื่องราวเมื่อวานในวิทยาลัยที่แสนจะแปลกตา
เมื่อวานนี้ เขาถูก “ดิว” เด็กหนุ่มผู้มีท่าทีเคร่งขรึม พาไปยังแผนกช่างไฟฟ้า ดิวอธิบายกฎระเบียบและแนะนำพื้นที่ต่างๆ ภายในวิทยาลัยอย่างละเอียด ในช่วงแรก ทุกอย่างดูเป็นไปตามปกติ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ดิวเริ่มเอ่ยคำเสียดสีคาร์ลบ่อยขึ้น ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าดิวกำลังระแวงหรือไม่ไว้ใจเขา
“หรือว่ามันระแวงกูวะ” คาร์ลพึมพำกับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่สายตาเหม่อลอยออกไปยังถนนเบื้องหน้า
“ว่าไงนะพ่อหนุ่ม” เสียงของป้าขายหมูปิ้งดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง คาร์ลสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรู้ตัวว่าถึงคิวของเขาแล้ว
“เปล่าครับป้า ผมเอาหมูสาม เหนียวสอง”
คาร์ลตอบอย่างรีบร้อน พร้อมยื่นเงินให้ป้าแม่ค้า หลังจากได้รับหมูปิ้งสีเหลืองทองที่ย่างจนหอมกรุ่น คาร์ลเดินออกมาจากร้าน พร้อมแกะหมูปิ้งไม้แรกเตรียมลิ้มรส ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้สัมผัสรสชาติ เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้เขาชะงักฝีเท้าและหันมองไปยังต้นเสียง
กลุ่มนักเรียนสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมาจากต่างสถาบันที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวิทยาลัยของเขา อีกกลุ่ม...ไม่สิ อีกคนหนึ่งสวมเสื้อช็อปแบบเดียวกับเขา นั่นบ่งบอกว่าคนผู้นี้อยู่แผนกเดียวกันกับเขาแน่นอน ทั้งสองฝ่ายกำลังมีเรื่องกันอยู่ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่ หน้าตาของแต่ละคนดูดุดันและอารมณ์เดือดดาล คาร์ลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเมินเฉยและตั้งหน้าตั้งตากินหมูปิ้ง ทว่าโชคร้ายยังคงตามมา ไม่ทันที่หมูปิ้งจะเข้าปาก เขาก็ถูกหนึ่งในกลุ่มที่กำลังตะลุมบอนผลักจนเสียหลัก หมูปิ้งหลุดจากมือและตกลงไปบนพื้นถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างน่าเสียดาย
“ไอ้เวร!”
คาร์ลสบถด้วยความโกรธที่พุ่งทะยาน ก่อนจะซัดหมัดใส่คนที่ทำให้หมูปิ้งของเขาตกพื้นไปเต็มแรง ร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้หมัดนี้หนักและแม่นยำ นักเรียนที่โดนหมัดล้มลงทันที คาร์ลไม่รอช้า รีบคว้าตัวเด็กนักเรียนอีกคนที่อยู่ในวงล้อมนั้น ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมแผนก และวิ่งหนีออกจากพื้นที่วุ่นวายหน้าวิทยาลัย
“กูจำได้ว่ามึงอยู่แผนกเดียวกันกับกู มึงชื่ออะไรนะ” คาร์ลถามด้วยความเหนื่อยหอบ
“กูชื่อแดน” คนที่ถูกลากมาด้วยกันตอบเสียงหอบไม่แพ้กัน
“ทำไมพวกมันถึงกระทืบมึงล่ะ?” คาร์ลถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ อยู่ๆ มันก็เข้ามากระทืบ”
แดนตอบด้วยเสียงที่ยังคงเหนื่อยล้า คาร์ลพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังไม่วางใจ เขาสอดส่องสายตามองหาต้นทางที่พวกนั้นอาจจะตามมา เมื่อไม่เห็นใครตามมา เขาก็ถอนหายใจและส่งสัญญาณให้แดนออกมาจากที่ซ่อน
ทั้งคู่เริ่มเดินกลับไปยังวิทยาลัย ถนนที่พวกเขาเดินผ่านดูเงียบสงบ ต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายสองข้างทางทอดเงามืดปกคลุมพื้นถนน ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็ถูกเตะเข้ากลางหลังอย่างจังจนล้มลง คาร์ลหันไปมอง เห็นกลุ่มนักเรียนจากวิทยาลัยตรงข้ามสะพาน ซึ่งเป็นคู่กรณีเดิม เขาไม่รอช้าที่จะสวนหมัดกลับไปพร้อมกับแดนที่ปล่อยหมัดเข้าใส่พวกนั้นอย่างไม่ยั้ง การต่อสู้ท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งและลมที่พัดมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเพิ่มความดุเดือดของการปะทะ
หลังจากต่อสู้กันอยู่นาน พวกเขาก็สามารถเอาชนะได้ในที่สุด คาร์ลหายใจหอบพลางมองหน้าแดนที่มีสีหน้าสะใจ ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวพ้นจากที่ตรงนั้น พวกเขาก็ถูกตำรวจในพื้นที่เข้าควบคุมตัวและพาไปยังสถานีตำรวจใกล้เคียง
เมื่อคาร์ลและแดนมาถึงโรงพัก บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความเงียบงัน พวกเขาถูกพาไปยังห้องรับรองที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อคละคลุ้ง เสียงเคาะประตูและเสียงโทรศัพท์ดังมาเป็นระยะๆ จากห้องข้างๆ คาร์ลมองไปรอบๆ ห้อง พื้นห้องเป็นสีเทาเรียบและมีเก้าอี้พลาสติกสีดำเรียงรายอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าและไม่พอใจ แดนหยิบโทรศัพท์ออกมาดูข้อความจากเพื่อนที่ยังไม่ได้เข้าเรียนในกลุ่ม เขาเห็นดิวถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่เข้าเรียน พร้อมด้วยคำถามอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ตอบ คาร์ลเห็นแล้วรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมในการตอบ แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ร้อยเวรเรียกเขาไปสอบสวนก่อน
ร้อยเวรที่ทำหน้าที่ในวันนี้เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดตำรวจที่สะอาดเรียบร้อยและมีป้ายชื่อติดอยู่ตรงหน้าอก เขาเดินเข้ามาในห้องรับรองพร้อมกับกระดาษบันทึกประจำวันในมือ ร้อยเวรทอดสายตามองคาร์ลและแดนด้วยสายตาที่แฝงความเคร่งขรึม
“พวกเธอสองคนบอกผมมาสิว่าทำไมถึงไปรุมต่อยเด็กพวกนั้น”
เสียงของร้อยเวรแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความจริงจัง คาร์ลรู้สึกถึงความไม่พอใจจากคำถามนั้น แต่เขาพยายามสงบสติอารมณ์และตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“พวกผมแค่ป้องกันตัวเองครับ พวกผมผิดเหรอ?” คาร์ลถามอย่างสงบนิ่งแต่แฝงด้วยความขุ่นมัว ในขณะที่แดนเริ่มพูดเพื่อชี้แจงสถานการณ์
“คืออย่างนี้ครับผู้หมวด ผมกำลังยืนกินหมูปิ้งอยู่หน้าวิทยาลัย แล้วพวกนั้นน่ะอยู่ๆ ก็เข้ามารุมกระทืบพวกผม ผมก็ถามแล้วว่ามีเรื่องอะไรหรือผมไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า รู้ไหมครับว่าพวกมันตอบว่าอะไร พวกมันตอบว่าหมั่นไส้หน้าผมเลยเข้ามารุมกระทืบผม แล้วจริงๆ แล้วเนี่ยไอ้เนี่ยมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย แต่มันดันยืนใกล้ๆ ผมแล้วโดนลูกหลง มันก็เลยซัดหน้าพวกนั้นไป แล้วสุดท้ายก็เลยกลายเป็นว่าพวกผมได้ซัดพวกมันจนหมวดมาถึงนี่แหละ”
แดนพูดอย่างยาวเหยียด ด้วยเสียงที่ค่อยๆ สงบลง คาร์ลมองแดนที่พูดด้วยความอึ้ง
ร้อยเวรพยักหน้าเล็กน้อยขณะรับฟัง เขาตั้งใจฟังรายละเอียดของเหตุการณ์และแสดงความเข้าใจ จากนั้นเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความเป็นทางการ
“เอาจริงๆ นะ ผมก็ได้ฟังจากคนที่เห็นเหตุการณ์คนอื่นเล่ามาบ้างแล้วแหละ แต่ผมแค่อยากจะฟังให้แน่ใจว่าพวกคุณจะพูดความจริงให้ผมฟังมากน้อยแค่ไหน งั้นผมลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน แล้วผมต้องขอเรียกคุณครูหรือผู้อำนวยการของสถาบันพวกคุณมานั่งฟังและมาไกล่เกลี่ยข้อตกลงกัน ตามนี้นะครับ” ร้อยเวรพูดก่อนจะออกไปโทรศัพท์เรียกครูหรือผู้บริหารของทั้งสองวิทยาลัยมาเพื่อไกล่เกลี่ย
การสอบสวนจบลง และคาร์ลรู้สึกผิดหวังกับการตัดสิน เขาคิดในใจว่า หากเขาเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษของสำนักงานตำรวจกองปราบปราม เขาคงไม่ลังเลที่จะจัดการกับคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้เขาอยู่ในบทบาทนักเรียนช่างของสถาบัน ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ
คาร์ลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งและเปิดแชทกลุ่ม เขาพิมพ์ข้อความตอบดิว ก่อนจะชวนแสนซนที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการมาดูเหตุการณ์ หลังจากรอไปหลายสิบนาที แสนซนก็ยังไม่มาถึงสถานีตำรวจ
ในขณะนั้น ร้อยเวรเดินออกมาพร้อมกับกระดาษบางอย่าง และเรียกคู่อริของคาร์ลและแดนมานั่งฟังการตัดสิน เสียงของร้อยเวรดังก้องในห้องที่เงียบสนิท
“ในครั้งนี้ถือว่ามีความผิดร่วมกันนะครับ คือทางฝั่งเทคโนอัจฉริยะพันธ์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็จริง แต่ทางช่างกลกวังยาว์ก็เป็นฝ่ายที่เข้าไปรุมต่อยพวกเขาจนหมอบเหมือนกัน ดังนั้นผมจะลงบันทึกประจำวันให้พวกคุณมีความผิดเท่ากัน และได้พูดคุยกับทางฝ่ายอาจารย์แล้ว พวกเขาจะลงโทษทางวินัยตามกฎของสถาบันเอง” ร้อยเวรกล่าวอธิบายถึงความผิดและโทษที่พวกเขาควรได้รับ
ในขณะที่ร้อยเวรกำลังกล่าวถึงคำตัดสิน แสนซนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ได้ยินคำพูดของตำรวจ เขาแสดงความโกรธอย่างเห็นได้ชัด และเตรียมตัวที่จะเข้าไปโต้แย้ง แดนเห็นท่าทีของแสนซนจึงรีบล็อกตัวเขาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายเพิ่มเติม
“เดี๋ยวคราวนี้ก็ได้เข้าไปอยู่ในคุกจริงๆ หรอกมึง”
แดนพูดพร้อมล็อกตัวแสนซนไว้ ทว่าก็เกือบจะต้านทานไม่อยู่ เพราะแสนซนมีแรงและกำลังที่มากกว่า เมื่อคาร์ลเห็นว่าแดนใกล้จะหมดแรงเต็มที เขาจึงเข้าไปล็อกคอแสนซนและพูดให้เขาใจเย็นลง
หลังจากนั้น คาร์ลตอบรับคำพูดของร้อยเวร และลากตัวแดนกับแสนซนออกจากสถานีตำรวจ โดยเดินไปยังวิทยาลัย บรรยากาศภายนอกมีแสงแดดส่องลงมาที่พื้น ถนนมีการจราจรค่อนข้างเบาบาง และลมที่พัดมาอย่างอ่อนโยนช่วยบรรเทาความเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การเดินกลับไปยังวิทยาลัยท่ามกลางบรรยากาศที่ดูสงบ แต่ความรู้สึกภายในของพวกเขากลับยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงและค้างคาใจ
เมื่อคาร์ล แดน และแสนซนมาถึงวิทยาลัยในช่วง 10 โมงกว่า แสงแดดที่แรงเกินกว่าจะเป็นแดดของยามสายกำลังแผดเผา ทำให้ทุกสิ่งดูราวกับกำลังอยู่ในทะเลทรายก็ไม่ปาน และบรรยากาศของวิทยาลัยดูเหมือนจะเป็นปกติ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของนักเรียนและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่เดินไปมา คาร์ลถูกเรียกตัวไปที่สำนักงานผู้อำนวยการ ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 1 สุดทางเดินด้านซ้ายของตึก 3 ซึ่งเป็นอาคารสูงที่โดดเด่นที่สุดในวิทยาลัย
เมื่อเข้ามาในสำนักงาน เขาพบว่าผู้อำนวยการที่เขาต้องพบเป็นชายรูปร่างดูดี หน้าตาหล่อเหลาคล้ายดาราเกาหลี ซ้ำยังมีแววตาที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ผู้อำนวยการนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเอกสารและของใช้สำนักงาน บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟสดและกลิ่นหนังสือที่เก็บสะสมไว้อย่างดี
“พวกคุณมาที่นี่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดบ้างไหม”
ผู้อำนวยการเริ่มถามด้วยท่าทางเคร่งเครียด ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ คาร์ลรู้สึกงุนงงกับคำถามที่ไม่คาดคิด ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเช่นนี้ในวันนี้ เขาเพิ่งมาที่วิทยาลัยเพียงสองวัน ดังนั้นการที่จะมีข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดในระยะเวลาอันสั้นนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
“เพิ่งผ่านมาสองวันเองครับ ผมว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง” คาร์ลตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกงงๆ อยู่เล็กน้อย กับการหาคำตอบให้กับคำถามที่ถูกยิงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เออเนอะ เพิ่งจะสองวันเอง มันจะได้ข้อมูลเร็วขนาดนั้นได้ยังไงล่ะเนอะ”
ผู้อำนวยการหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนจะขำขันกับความไม่คาดคิดนี้ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับลูกชายที่เพิ่งคลอดเมื่อวานให้คาร์ลฟังด้วยท่าทางที่ดูเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ คาร์ลนั่งฟังผู้อำนวยการพูดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขาด้วยท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ในใจเขานึกอยากจะกลับไปทำภารกิจของตัวเองมากกว่า เขาได้พิมพ์รายงานในแชทกลุ่มของหน่วยอย่างเงียบๆ แต่ก็ต้องทนฟังเรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดคาร์ลก็ได้รับการปล่อยตัว และสามารถกลับไปเข้าห้องเรียนได้ ในตอนพักเที่ยง เขาตัดสินใจไปเข้าห้องน้ำเพื่อคลายความรู้สึกอึดอัดที่สะสมมา เมื่อออกจากห้องน้ำ เขากำลังเดินไปยังโรงอาหาร ทว่าจู่ๆ เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะตกบันได เขารีบวิ่งไปจับตัวเธอไว้ทันที ก่อนที่เธอจะกลิ้งตกลงไป
“ไม่เป็นอะไรนะ” คาร์ลถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ขณะที่เขาสรวจดูว่าผู้หญิงคนนั้นมีบาดแผลหรือไม่
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ” ผู้หญิงตอบพร้อมกับยิ้มให้เขา รอยยิ้มของเธอทำให้คาร์ลรู้สึกเหมือนเธอกำลังพยายามดึงดูดความสนใจของเขา
“ไม่เป็นอะไรก็ดี” คาร์ลพูดสั้นๆ แล้วรีบเดินออกจากสถานการณ์นั้นไป เขารีบเดินต่อไปยังโรงอาหาร ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของนักเรียนและกลิ่นอาหารที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน
เมื่อถึงโรงอาหาร เขาสบตากับจิณที่โบกมือเรียกเขา เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะที่เพื่อนๆ นั่งอยู่ และเห็นว่าฟาซื้ออาหารมาให้เขา
“ช้าจังวะ” ฟาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“เกิดเหตุนิดหน่อย แต่มันไม่มีอะไรแล้ว” คาร์ลตอบอย่างไม่ยี่หระนัก เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้และเริ่มกินข้าวที่เพื่อนรักอย่างฟาซื้อมาให้ ทว่าเขาก็แทบจะสำลักข้าว เพราะข้อความในแชทกลุ่ม
“บอกไว้ก่อนเลยนะว่ามิ้มเป็นตัวน่ารำคาญคนหนึ่งเลยล่ะ โชคดีนะเว้ย”
ยี่ที่นอกจากจะบอกมิ้มว่าคาร์ลนั่งอยู่ตรงไหนแล้ว ยังจะหันมาทำหน้ายียวนกวนโมโหใส่เขาอีก แต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วให้กับอีกแชทหนึ่งที่ส่งมาหาเขา พร้อมกับวิธีเอาตัวรอดจากผู้หญิงที่ชื่อมิ้ม ซึ่งเขาก็ยังไม่รู้ว่าคนที่เสนอวิธีมานั้นจะทำอะไร เขามองไปที่ฝั่งตรงข้ามที่เขานั่ง พร้อมกับสายตาที่ส่งคำถามไปกลายๆ ทว่าเขาก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ได้เพียงสายตาที่บอกให้เขาเชื่อใจ
“คาร์ลคะ”
ทันใดนั้นเอง เสียงที่ดูเหมือนเป็นสัญญาณหายนะเล็กๆ สำหรับคาร์ลก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา ผู้หญิงคนนั้นมาพร้อมกับถุงขนมถุงใหญ่ในมือ ทำเอาจุ๊บแจง เด็กหนุ่มนักกินถึงกับตาวาว
“มิ้มเอาขนมมาให้ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับชูถุงขนมในมือให้ดู
คาร์ลหันไปมองคนที่นั่งตรงข้ามเขา พร้อมกับคำพูดที่เขาไม่อยากจะพูดมันออกไปเลยสักนิดเดียว
“ซนขา”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ได้รับทั้งสายตาที่เป็นคำถามจากคนในกลุ่มทุกคน และสายตาที่ยิ้มกรุ้มกริ่มของเจ้าของชื่อ และเป็นคนเดียวกับคนที่เสนอวิธีเอาตัวรอดจากผู้หญิงคนนี้ให้กับเขา
“ขา ว่าไงคะ อ๋อ หนูไม่ชอบกินขนมหรอกเหรอคะ… คาร์ลไม่ชอบขนม มึงเอากลับไปเลย” แสนซนไม่เปิดโอกาสให้มิ้มได้พูด เพราะเขาพูดรัวราวกับไม่อยากให้คู่กรณีได้เอ่ยปากออกมา
“อะไรกันครับเนี่ย พวกคุณมึงสองคนไปปิ๊งกันตอนไหน” สุดแสบ แฝดคนน้องของแสนซนถามออกมา พร้อมกับแววตาล้อเลียนอยู่ในที จากนั้นก็หันไปทางมิ้ม
“ในเมื่อคาร์ลมันไม่เอาขนม มึงก็เอามาให้กูแทนแล้วกัน ได้ใช่ป่ะคาร์ล ไอ้ซน” สุดแสบพูดอีกครั้ง
“ไม่เว้ยไอ้แสบ ขนมนั้นต้องเป็นของกู”
จุ๊บแจงที่จ้องขนมอยู่นาน ถึงกับเอ่ยปากค้านสุดแสบทันที ในเมื่อคนที่หญิงสาวอยากให้ขนมแต่มันไม่เอา ของกลางก็ต้องตกเป็นของคนที่อยากได้จริงๆ ตั้งแต่ต้นอย่างเขาสิถึงจะถูก
“น้อยๆ หน่อยจุ๊บแจง อย่าตะกละ”
สุดแสบหันไปแหวใส่อีกคนทันที ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้ถุงขนมถุงนั้นไป เพราะในที่สุด มิ้มก็เดินออกไปพร้อมกับถุงขนม เมื่อเห็นว่าคาร์ลไม่ต้องการ ท่ามกลางเสียงบ่นของเพื่อนๆ ที่ยังคงติดตามสถานการณ์
“เพราะมึงเลยเนี่ย เถียงกู มิ้มเลยเอาขนมไปแล้วเนี่ย” จุ๊บแจงว่าสุดแสบ
“ทานโทษนะ มันเอากลับไปเพราะเห็นมึงอยากกินจนน้ำลายหกซะมากกว่าละมั้ง” สุดแสบสวนกลับจจุ๊บแจงว่าสุดแส
“จะยังไงก็ช่าง แต่สองคนนี้ยังไงครับ เล่ามาให้หมด ไปปิ๊งกันตอนไหน อะไรยังไง” เจวันที่รู้สึกได้ว่าเขามีคู่แข่งทางหัวใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน นอกเหนือจากชาร์ม ทางชาร์มเองก็สนใจเช่นกัน ว่าแสนซนไปชอบพอกับคนที่ทั้งเขาและเจวันชอบได้อย่างไร
“สนใจข้าวในจานตรงหน้าก่อนดีกว่าไหม ไม่ต้องมาสนใจเรื่องกูหรอก”
คาร์ลพูดบ่ายเบี่ยงประเด็น ไม่ให้พวกเขามาจับผิดสิ่งที่เขาและแสนซนกระทำเมื่อครู่ ทว่าดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นผลนัก ในเมื่อคนพวกนี้ยังคงถามเซ้าซี้เขาไม่หยุด แต่เขากับแสนซนก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกไปเพิ่มเติมอีกแล้ว จนกระทั่งกินข้าวหมด เขาก็ลากแขนแสนซนให้ออกจากตรงนั้นทันที
“ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะสงสัยกันไม่หยุดจริงๆ นะนั่น”
แสนซนพูดยิ้มๆ พลางก้มมองแชทกลุ่มในโทรศัพท์ ก่อนจะหันมามองคนที่ตกเป็นประเด็นกับเขา ว่าจะเอาอย่างไรต่อ จะปล่อยให้เป็นไปตามที่เข้าใจ หรือจะอธิบายเรื่องทั้งหมดด้วยความจริง
“ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวก็หยุดกันไปเอง” คาร์ลพูดขณะเดินออกจากโรงอาหารพร้อมกับแสนซน เขาหันไปมองแสนซนที่เดินตามเขาไปทางตึกช่างไฟฟ้า การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่วุ่นวายและการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้คาร์ลรู้สึกว่าเขาต้องจัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างมีสติ และไม่ให้เรื่องเล็กน้อยมารบกวนภารกิจหลักของเขา
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน คาร์ลรีบเก็บของอย่างรวดเร็ว เสียงนาฬิกาที่บอกเวลาเลิกเรียนดังก้องไปทั่วห้องเรียน เป็นสัญญาณที่เขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ข้าวของของเขาถูกใส่ลงในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเสียงเก้าอี้ลากกระทบพื้น สร้างความวุ่นวายให้กับบรรยากาศรอบตัว ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อตอบโต้ในแชทกลุ่มทันที ความรู้สึกของเขาเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับความวุ่นวายทางสังคม ที่เกิดจากเหตุการณ์ตอนกลางวัน
ภายนอกห้องเรียน ความร้อนของแดดยามเย็นส่งคลื่นความร้อนระอุออกมา ทำให้ทางเดินที่เป็นพื้นคอนกรีตดูเหมือนจะร้อนระอุขึ้นมา ลมอ่อนๆ ที่พัดมาช่วยบรรเทาความร้อนลงเล็กน้อย ทว่าก็ไม่สามารถป้องกันความรู้สึกอึดอัดที่เกิดจากความเครียดในใจของเขาได้
“กูไปให้ความหวังนางตอนไหนวะเนี่ย”
คาร์ลพึมพำกับตัวเอง ขณะมองข้อความในแชทกลุ่มที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาว่าเขาเป็นคนที่ไปให้ความหวังกับมิ้มแล้วเททิ้ง เขาหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกขบขัน เมื่อเห็นข้อความของแบมที่พิมพ์ตอบโต้กับมิ้ม
แบม: ถ้าการที่ช่วยอิมิ้มไม่ให้ตกบันไดนี่คือให้ความหวัง @คาร์ล ทีหลังปล่อยให้มันตกไปนะคะสุดหล่อ 55
เขาหัวเราะให้กับตัวเอง พร้อมกับพิมพ์เลข 5 จำนวนสองตัว เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกแห้งๆ ในขณะที่อ่านข้อความถัดมาของมิ้ม ที่ไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ และยืนยันว่าจะไม่ยอมเลิกรากับเขา
“โอ๊ย วุ่นวายกับกูจริงๆ คนพวกนี้”
คาร์ลบ่นพึมพำ ขณะที่เขาหยิบกระเป๋าและเดินออกจากเขตวิทยาลัย ผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยนักเรียนที่เดินสวนทางไปมา เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อนๆ ดังก้องกังวานอยู่รอบตัว
แสนซน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในเหตุการณ์นี้ ก็พิมพ์ข้อความที่ดูเหมือนจะโอ้อวดว่าตนเองนั้นมีความสามารถพอที่จะไปรับไปส่งคาร์ลได้ ทว่าข้อความถัดมาของสุดแสบ ฝาแฝด กลับทำให้แสนซนต้องชะงักไป โดยสุดแสบบอกให้แสนซนตื่นเช้าก่อนที่จะไปส่งคาร์ล และในแชทก็เถียงกันไปมาจนกระทั่ง
เจวัน: จะยังไงก็ช่าง แต่สองคนนี้ยังไงครับ
ชาร์ม: เล่ามาให้หมด ไปปิ๊งกันตอนไหน อะไรยังไง
เจวันกับชาร์มพิมพ์ถามถึงรายละเอียดเรื่องราวระหว่างเขากับแสนซน ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่แสดงออกถึงการไม่ยอมรับคู่แข่งเพิ่ม
ชาร์ม: ไม่ยอมนะ
เจวัน: ใช่แล้ว เค้าไม่ยอมนะเตง
ในขณะที่เขากำลังรอรถแท็กซี่ เขาอ่านแชทกลุ่มที่ถูกส่งมาทีละข้อความ กระทั่งก่อนที่คาร์ลจะตอบออกไป จั๊ม เด็กหนุ่มที่อยู่ในแผนกไฟฟ้าแผนกเดียวกันกับคาร์ล ได้พิมพ์ข้อความแซะประมาณว่าคาร์ลเป็นพวกหล่อเลือกได้
พี่รู้ว่าพี่มันฮอต:
แต่ว่าอย่าแย่งพี่เลย
จั๊ม: ไอ้นี่มันมั่นดีว่ะ
ซน: หล่อกว่ามึงอ่ะจั๊ม
โอเค:
กูเลือก @ซน
ซนขา
ซน: ขาาา
เมื่อคาร์ลพิมพ์ข้อความนั้นเสร็จ เขาก็ไม่สนใจข้อความอื่นๆ ที่ถูกส่งต่อจากนั้นในแชทกลุ่มอีกเลย เขาเปิดแอปพลิเคชั่นเรียกรถแท็กซี่ เมื่อเรียกรถเสร็จ เขานำโทรศัพท์มือถือเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ข้อความที่เขาเพิ่งพิมพ์ไว้ถูกส่งออกไปในแชทกลุ่ม นั่นเป็นช่วงเวลาที่คาร์ลรู้สึกถึงความขนลุกแปลกๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าตัวเองทำเรื่องเช่นนี้ลงไปได้ เขาบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะมองออกไปยังถนนข้างหน้าวิทยาลัย เพื่อสอดส่องมองหารถที่เขาเรียกไว้ เมื่อรถที่เขารอคอยขับเข้ามาจอดที่ด้านหน้าของวิทยาลัยตรงที่เขายืนอยู่ เขาสังเกตเห็นรถแท็กซี่ที่มีสีสันสดใส และป้ายบอกเลขทะเบียนที่คุ้นตา ผ่านช่องแชทที่ถูกส่งมาจากแอปพลิเคชั่นที่เขาใช้เรียกรถแท็กซี่เมื่อครู่ เขาค่อยๆ เดินไปที่รถแท็กซี่อย่างเงียบๆ เสียงของฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงัดลง
เมื่อเขานั่งลงในรถแท็กซี่ แสงไฟสลัวจากถนนที่สาดส่องผ่านกระจกหน้ารถ ทำให้บรรยากาศภายในรถอบอุ่นและเงียบสงบ เสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานราบเรียบ และความสั่นสะเทือนเล็กน้อยจากถนนที่ไม่เรียบ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาพิงหลังกับเบาะและหลับตาลงชั่วขณะ ปล่อยให้ความคิดเกี่ยวกับข้อความที่เขาส่งไปในแชทกลุ่ม เป็นสิ่งที่เขาต้องจัดการและคิดต่อไปในระหว่างที่รถแท็กซี่พาเขากลับบ้าน
“พิมพ์เองก็ขนลุกเองว่ะ กูทำได้ไงวะเนี่ย” เขาบ่นพึมพำ เมื่อนึกถึงข้อความที่เขาพิมพ์เรียกแสนซนเมื่อก่อนขึ้นรถแท็กซี่ เขาเหลือบมองทางผ่านหน้าต่างภายในรถ พลางเงี่ยหูฟังเสียงฝนที่ตกลงมาตลอดทางที่รถเคลื่อนตัวออกจากวิทยาลัย เสียงฝนเหล่านี้เริ่มสร้างบรรยากาศที่ทำให้เขารู้สึกถึงความเงียบสงบ และการครุ่นคิดถึงความวุ่นวายที่เขาเพิ่งพานพบมา
เมื่อรถแท็กซี่มาถึงบ้านของเขา คาร์ลหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าโดยสาร และเดินออกจากรถ เขายืนอยู่ที่หน้าบ้านเพียงชั่วขณะหนึ่ง มองไปยังถนนที่เปียกชื้นจากฝน และรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน การได้กลับมาถึงบ้านทำให้เขารู้สึกถึงความสงบใจที่เขาต้องการอย่างมาก หลังจากวันวุ่นวายที่สุดในชีวิตของเขาเพิ่งสิ้นสุดลง