บทที่ 4: ความดำมืดของไรช์ที่สาม

3051 คำ
20 กันยายน ปีคริสต์ศักราช 1938 หน่วยของโทมัสได้รับคำสั่งให้ยกกำลังพลเข้าไปสมทบกับหน่วยอื่นๆ ที่อยู่ประชิดชายแดนเชโกสโลวาเกีย กองร้อยของโทมัสได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมสำหรับการรุกข้ามผ่านดินแดนไปในทันทีที่มีคำสั่งลงมา รออยู่เพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 29 กันยายน 1938 คำสั่งจากหน่วยเหนือก็ลงมายังหน่วยทหารทั้งหมดที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนของเยอรมนี-เชโกสโลวาเกีย และหน่วยของโทมัสต้องเป็นหน่วยแรกที่รุกเข้าไปในเขตแดนที่เรียกว่า ‘ซูเดเทินลันท์’ ที่เป็นอาณาเขตของเชโกสโลวาเกีย ซึ่งเยอรมนีอ้างว่าเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีคนเยอรมันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 3 ล้านคน (การยึดครองซูเดเทินลันท์ของนาซีเยอรมนี-Sudetenland) การยึดครองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่หน่วยของโทมัสยังคงต้องประจำการอยู่ที่นั่นต่ออีกเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่ออารักขาบุคคลสำคัญที่จะไปเยือนที่นั่นและดูแลความสงบเรียบร้อยต่างๆ ตุลาคม ปีคริสต์ศักราช 1938 ในช่วงเช้าในขณะที่โทมัสนำหน่วยออกลาดตระเวนเพื่อรักษาความสงบและค้นหาผู้ต่อต้านอยู่นั้น เขาก็ได้พบกับแวร์เนอร์ น้องชายของเขา ที่มากับกองพลยานเกราะเอสเอสที่ 1 ไลบ์ชตันดาร์เทอร์ เอสเอส อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพื่ออารักขาท่านผู้นำ ทั้งสองจึงแวะคุยด้วยกันเล็กน้อย “เป็นไงบ้างพี่?” แวร์เนอร์ทักทายพี่ชายของตัวเอง “ก็ดี แล้วแกล่ะ?” โทมัสตอบ ก่อนจะถามกลับไป “เรื่อยๆ ไม่ดีไม่แย่นั่นแหละ ผมหมั้นกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วด้วยนะ แต่ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลย มีพี่กับกึนเทอร์นี่แหละที่รู้” แวร์เนอร์พูด “เหรอ? แล้วเธอมีชื่อว่าอะไรล่ะ?” โทมัสถาม “เอ็ลซ่า…เอ็ลซ่า ฟอน ไอเซินแบร์ก” แวร์เนอร์ตอบคำถามพี่ชาย พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ถึงแม้พวกเขาจะเคยทะเลาะกันจนบ้านเกือบแตก แต่ในตอนนี้ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เขากับพี่ชายกลับมาคืนดีกันแล้ว และสามารถพูดคุยกันได้แบบปกติเหมือนที่เคยเป็น “อืม…จะทำอะไรก็บอกพ่อกับแม่ไว้ด้วยล่ะ” โทมัสพูด “ได้เลยพี่” แวร์เนอร์รับปาก “ฉันไปนะ รักษาตัวดีๆ ล่ะ ฉันว่าสงครามน่าจะมาหาพวกเราในไม่ช้านี่แหละ” โทมัสพูดกับน้องชาย ก่อนจะเดินจากออกมา “ใครจะกล้าทำอะไรเรากัน เยอรมนีน่ะแข็งแกร่งที่สุดนะพี่ ฮ่าๆๆ” แวร์เนอร์ตะโกนตามหลังมา ซึ่งโทมัสไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของแต่ละคนที่ได้รับมอบหมายมา . ตัดมาที่ทางสองแม่ลูกฮอฟมันที่ยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ ตัวของเฟลิเซียได้รับจดหมายจากสามีว่าเขาจะกลับบ้านในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากที่ภารกิจทั้งหมดเสร็จแล้ว ยาคอปที่เห็นจดหมายของผู้เป็นพ่อแบบนั้นก็ออกอาการดีใจยกใหญ่ เพราะเด็กน้อยคิดว่าพ่อของเขาช่างโชคดีที่ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในความยิ่งใหญ่ของเยอรมนี และปรารถนาที่จะได้เป็นอย่างพ่อของตัวเองในอนาคต วันหนึ่งในช่วงเช้าของวันหยุด ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังนั่งทานอาหารเช้ากันตามปกติ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายมาจากข้างๆ บ้านของพวกเขา ข้างๆ บ้านของพวกเขาคือบ้านของคุณมาร์กอทและสามี คุณป้าเพื่อนบ้านผู้แสนใจดีของครอบครัวฮอฟมัน พวกเขาถูกหน่วยเกสตาโปมาเคาะประตูบ้าน “เกิดอะไรขึ้นกันคะ?” คุณป้ามาร์กอทถาม “พวกแกต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ไอ้พวกยิวสารเลว” หัวหน้าของกลุ่มเกสตาโปคนนั้นพูดขึ้น “อะไรกันคะ!! ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ฉันเป็นคนเยอรมันแท้ๆ ตั้งแต่เกิดเลยนะคะ” คุณป้ามาร์กอทพยายามที่จะอธิบาย “พวกแกเลือกเอา ว่าจะยอมขึ้นรถไปดีๆ หรือโดนยิงตายอย่างหมาข้างถนนที่นี่!!” หัวหน้าเกสตาโปยื่นคำขาด โดยไม่แม้แต่จะฟังคำอธิบายใดๆ ทั้งนี้เพราะจากการสืบประวัติ พวกเขาพบว่าครอบครัวนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งในสายตระกูลที่มีการแต่งกับคนยิว นั่นหมายถึงสายเลือดอารยันที่มีเลือดยิวที่พวกเขาชิงชังปะปนอยู่ด้วย “เดี๋ยวสิคะ พวกคุณต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ เลย!!” คุณป้ามาร์กอทพยายามที่จะอธิบายความเข้าใจผิด “…” หัวหน้าของเกสตาโปไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขายกปืนขึ้นมาจ่อที่ศีรษะคุณป้ามาร์กอทและลั่นไกปลิดชีวิตของเธอในทันที รวมไปถึงสามีของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน พวกเขาสองคนโดนยิงจนเสียชีวิต ข้อหาขัดขืนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหน่วยเกสตาโปมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการสังหารใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวยิว ลูกๆ ของป้ามาร์กอทที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยทั้งคู่เองก็ไม่รอดเช่นกัน พวกเขาโดนยิงเข้าที่หลังคอจนเสียชีวิตตามพ่อกับแม่ไปติดๆ ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะถูกโยนขึ้นหลังรถบรรทุกไม่ต่างจากสัตว์ และขับออกไปจากจุดเกิดเหตุในทันที ยาคอปที่ตกใจเสียงปืนนั้นโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ในทันที ซึ่งตัวของเฟลิเซียนั้นเห็นเต็มสองตา ในวินาทีที่ร่างของคุณป้ามาร์กอทถูกลูกกระสุนปลิดชีวิตจนล้มทั้งยืน เธอรู้สึกเศร้าที่ต้องเสียคนดีๆ ไป เพียงเพราะพวกเขามีเชื้อสายแตกต่างจากที่พวกนาซีนั้นยึดถือ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ ในสภาวะที่สังคมบิดเบี้ยวแบบนี้ การแสดงออกถึงความคิดที่แปลกแยกไปจากคนหมู่มาก นั่นอาจจะทำให้ครอบครัวของเธอลงเอยเหมือนกับคุณป้ามาร์กอทก็เป็นได้ สิ่งที่เธอพอจะทำได้คือภาวนาให้มีใครสักคน ที่กล้าหาญมากพอที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจอันอยุติธรรมนี้ และปลดปล่อยเยอรมนีออกจากพันธนาการแห่งความหวาดกลัว “แม่ฮะ เกิดอะไรขึ้น?” ยาคอปเงยหน้าขึ้นมาถามผู้เป็นแม่ “คุณป้ามาร์กอทไม่อยู่แล้วนะลูก” เฟลิซียพูดกับลูกชาย “…” ยาคอปเงียบ เด็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาไม่ได้ไร้เดียงสามากพอที่จะไม่รู้ว่าแม่ของเขาหมายถึงอะไร แม้ยาคอปจะรู้สึกเศร้า เพราะป้ามาร์กอทมักจะทำขนมมาให้เขาอยู่เสมอ แต่ก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว พวกชั้นต่ำที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อของชาวอารยัน จำเป็นที่จะต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด หากขัดขืนก็จำเป็นที่จะต้องได้รับโทษที่หนักกว่าคนทั่วไปหลายเท่า “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ลูกทานอาหารเช้าต่อเถอะนะจ๊ะ” เฟลิเซียพูดปลอบลูกชาย “ฮะ…” ยาคอปรับคำ ก่อนจะไปทานซุปมันฝรั่งกับขนมปังต่อ สองสัปดาห์ต่อมา ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 1938 โทมัสก็เดินทางกลับมาที่บ้านหลังจากปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้ว “กลับมาแล้ว เฟลิเซีย ยาคอป” โทมัสพูดในตอนที่เปิดประตูบ้านเข้ามา “พ่อฮะ!!” ยาคอปวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ โทมัสอุ้มลูกชายของตัวเองเอาไว้ด้วยความคิดถึง ก่อนที่เฟลิเซียจะเดินออกมาจากในห้องครัว “ทานอะไรมาหรือยังคะคุณ? ถ้ายัง ฉันเตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้วนะคะ” เฟลิเซียพูดกับสามี “อื้ม! ยังเลย ที่กองร้อยไม่มีอาหารเลย ผมเลยรีบกลับมานี่แหละ” โทมัสพูด พร้อมกับวางตัวของยาคอปลง “งั้นไปล้างมือกับจัดการตัวเองก่อนเถอะนะคะ แล้วค่อยมาทานอาหาร ย็อคกับฉันเองก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกัน” เฟลิเซียพูดยิ้มๆ “โอเค เรามาทานมื้อเช้าด้วยกันนะ” โทมัสพูดกับภรรยาและลูกชาย “ตกลงค่ะ ฉันจะไปอุ่นซุปให้นะคะ” เฟลิเซียตอบสามี “วันนี้คุณแม่ทำซุปข้าวโพดฮะ กลิ่นหอมน่าอร่อยมากเลยฮะ คุณพ่อ” ยาคอปพูดกับผู้เป็นพ่อบ้าง “งั้นเหรอ? อื้ม! น่าอร่อยจริงๆ ด้วย” โทมัสพูดยิ้มๆ ตอบลูกชายของตัวเอง จากนั้น โทมัสจึงไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะมานั่งทานอาหารร่วมกับภรรยาและลูกชาย บนโต๊ะอาหาร เฟลิเซียแจ้งข่าวที่น่าเศร้าให้กับโทมัสทราบ เรื่องที่ครอบครัวของคุณป้ามาร์กอทโดนสังหารโดยหน่วยเกสตาโปอย่างโหดเหี้ยม โทมัสได้ฟังแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ แต่ก็รู้ดีว่าในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว และยังได้บอกอีกด้วยว่าในตอนนี้กองทัพเองก็กำลังถูกไล่ตรวจสอบโดยหน่วยงานอิสระของพรรคนาซี มีผู้ใต้บังคับบัญชาของโทมัสบางคนถูกไล่ออก เพราะพวกเขามีเชื้อสายอื่นที่นอกเหนือจากอารยัน บางคนถูกเนรเทศออกจากเยอรมนี บางคนก็ถูกย้ายให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดเอาไว้ ส่วนพวกที่เป็นนายทหารระดับสูงของกองทัพเองก็ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดเสียยิ่งกว่าชั้นผู้น้อยเสียอีก เพราะคติของพรรคนาซีคือ อารยันจะต้องถูกชี้นำโดยอารยัน เพราะอย่างนั้นจึงต้องเข้มงวดกว่าปกติ โทมัสบอกว่ามีบางคนถูกไล่ออก ยึดเหรียญตราต่างๆ และโดนเนรเทศออกนอกประเทศไปเลยก็มี ก่อนที่ตำแหน่งนั้นจะถูกแทนที่ด้วยพวกหัวรุนแรงที่ผ่านการอบรมจากพรรคนาซีมาแล้ว และมีความเป็นอารยันสูงตามแบบฉบับของพรรคนาซี ซึ่งโทมัสแสดงความกังวลในส่วนนี้ออกมา เพราะเขาคิดว่าพวกนั้นมีความคิดที่สุดโต่งจนเกินไป ขาดความเห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชา และในบางครั้งก็ยังพาหน่วยทหารหลายหน่วยไปเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย “เมื่อไหร่พวกชั้นต่ำจะหมดไปจากสังคมฮะ ท่านผู้นำบอกว่าถ้าพวกชั้นต่ำหมดไปจากสังคมแล้ว พวกเราจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้อีก” อยู่ๆ ยาคอปก็พูดขึ้นมาในขณะที่พ่อกับแม่ของเขากำลังคุยกันถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นทำให้โทมัสและเฟลิเซียตื่นตระหนกสุดขีด เพราะถ้าลูกชายของพวกเขากล้าพูดเรื่องที่น่ากลัวแบบนั้นออกมาได้โดยไม่สะทกสะท้านได้ นั่นหมายถึงพวกเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกชาย “ย็อค ฟังพ่อนะ สังคมเรามีผู้คนมากมายหลายแบบ การที่ใครคนหนึ่งมีเชื้อชาติต่างจากคนทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนเลวและสมควรที่ถูกกำจัดนะลูก” โทมัสพูดกับลูกชาย “แต่ว่า…” ยาคอปกำลังจะเถียง “ไม่ได้เลยนะ ย็อค ลูกลองคิดดูว่าถ้าเกิดในวันใดวันหนึ่งลูกกลายเป็นเหมือนพวกเขา ลูกจะรู้สึกยังไง ในวันนี้ลูกอาจจะหัวเราะเยาะพวกเขาที่โดนกระทำอย่างป่าเถื่อน แต่ถ้าวันข้างหน้าลูกต้องเป็นแบบพวกเขา ครอบครัวเราทั้งหมดถูกเลือกปฏิบัติ วันนั้นลูกจะรู้สึกยังไง?” เฟลิเซียเองก็สอนยาคอปด้วยเช่นกัน “ไม่มีวันที่ผมจะเป็นแบบพวกชั้นต่ำนั่น ผมเป็นคนอารยัน เลือดอารยันบริสุทธิ์!!” ยาคอปขึ้นเสียงกับพ่อและแม่เป็นครั้งแรกของชีวิต “ถ้าลูกคิดแบบนั้นก็ตามใจ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งลูกรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว วันนั้นพ่อกับแม่อาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้นะ” โทมัสพูดกับลูกชายเสียงเรียบ เขาไม่สามารถเตือนลูกชายไปมากกว่านี้ได้แล้ว เพราะถ้าเกิดว่ายาคอปนำเรื่องนี้ไปบอกกับหน่วยเกสตาโป ในตอนนั้นจะเรียกว่าหายนะของครอบครัวพวกเขาก็คงไม่ผิดสักเท่าไหร่นัก “…” ยาคอปยังคงดื้อเงียบ และยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็ก เด็กน้อยเชื่อว่าไม่มีวันที่เขาจะเห็นอกเห็นใจพวกคนชั้นต่ำกว่าเขาได้ เพราะท่านผู้นำคือผู้ที่เขาเทิดทูนมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คำพูดของท่านผู้นำ เหมือนกับพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเขาเลยก็ว่าได้ โทมัสและเฟลิเซียได้แต่มองหน้ากันและส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา พวกเขาหมดหนทางในการดึงความคิดของลูกชายของตัวเองแล้วจริงๆ ทำได้แค่ปล่อยให้ยาคอปไหลไปตามกระแสของสังคมเท่านั้น . มีนาคม ปีคริสต์ศักราช 1939 โทมัสต้องจากบ้านไปอีกรอบ คราวนี้กองทัพได้รับคำสั่งให้ยึดครองเชโกสโลวาเกียด้วยกำลังอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โทมัสนำทหารในกองร้อยออกรบกับทหารชาวเชโกสโลวาเกีย มีการต่อสู้บ้างประปราย แต่กองทัพเยอรมันนั้นแข็งแกร่งจนเกินกว่าที่ประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งจะต้านทานเอาไว้ได้ “หัวหน้าครับ รายงานครับ ทหารกองร้อยเราเสียชีวิตไป 12 นายจากการปะทะที่ผ่านมาครับ” สิบโทชิลเลอร์ ทหารผู้ช่วยของโทมัสรายงานสภาพของกองร้อย หลังจากที่การปะทะสิ้นสุดลง “ตอนนี้เราเหลือกำลังอยู่เท่าไหร่?” โทมัสถาม “ถ้าไม่นับคนเจ็บที่สถานีพยาบาลแล้ว ตอนนี้ที่พร้อมรบจริงๆ มีเหลือราวๆ 115 นายครับ” ชิลเลอร์รายงาน “แจ้งกองบัญชาการไปว่าเราขอกำลังเสริมเพิ่ม” โทมัสบอกกับลูกน้อง “ทราบแล้วครับ!!” ชิลเลอร์ทำความเคารพ ก่อนจะเดินจากไป ท้ายที่สุดแล้ว ในอีกไม่กี่วันต่อมา เชโกสโลวาเกียก็ถูกยึดครองโดยกองทัพเยอรมัน และถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรไรช์ที่สามของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โทมัสเขียนจดหมายถึงเฟลิเซีย ถึงสภาพสนามรบที่เขาพบเจอ แม้ว่ามันจะไม่ได้หนักหนาสาหัสมาก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ทหารหน้าใหม่หลายนายสติแตก จนวิ่งไปรับลูกกระสุนดื้อๆ เลยก็มี ยาคอปที่ตื่นเต้นที่ได้เห็นพ่อของตัวเองออกรบเพื่อชาติ จึงนำเรื่องนี้ไปอวดเพื่อนๆ ในห้องให้พวกเขาอิจฉา พร้อมกับบอกว่า “พ่อของฉันน่ะนะ เจ๋งที่สุดเลย!!” หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมา หลังจากที่ภารกิจทั้งหมดของโทมัสในเชโกสโลวาเกียเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ทำการสับเปลี่ยนกับทหารอีกหน่วยหนึ่งซึ่งเข้ามาทำหน้าที่รักษาการณ์แทน และได้เดินทางกลับบ้านของตัวเองที่ดอร์ทมุนด์ “กลับมาแล้ว” โทมัสตะโกนในขณะที่เปิดประตูเข้าไปในบ้าน “พ่อฮะ!!” ยาคอปวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเกือบสองเดือน โทมัสอุ้มลูกชายของตัวเองเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่เฟลิเซียจะเดินตามหลังมา “ยินดีต้อนรับกลับค่ะที่รัก สีหน้าดูเหนื่อยๆ นะคะ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เฟลิเซียพูดยิ้มๆ แต่ก็สังเกตว่าโทมัสนั้นสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก “อื้ม! เหนื่อยนิดหน่อยแหละ ต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย ลำบากพอสมควรเลย ลูกน้องในหน่วยผมก็ตายไปหลายคนเลย” โทมัสพูด พลางวางยาคอปลงบนพื้น “แย่จังเลยนะคะ” เฟลิเซียพูด เธอเห็นอกเห็นใจครอบครัวของทหารที่ต้องเสียชีวิตจากเรื่องที่ไร้สาระของพวกนักการเมือง และคิดว่าพวกเขาคงจะต้องรู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็นอย่างแน่นอน “คุณพ่อสุดยอดเลยนะฮะ ออกรบเพื่อท่านผู้นำและพรรคนาซี ท่านผู้นำคงภูมิใจในตัวของพ่อมากๆ เลย สักวันผมจะเป็นให้ได้อย่างพ่อฮะ” ยาคอปเกาะขาของผู้เป็นพ่อ พลางพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ย็อค ฟังพ่อนะ พ่อคือทหารเยอรมัน พ่อจะรบเพื่อเยอรมัน ไม่ใช่พรรคนาซี และพ่อเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าสงครามคือสถานที่ที่น่ากลัวและโหดร้ายทารุณจนเกินกว่าจะจินตนาการน่ะ” โทมัสพูดกับลูกชายของตัวเอง โทมัสยึดถือในเกียรติของตัวเอง เขาคือทหารของกองทัพเยอรมัน เขาจะรบเพื่อเยอรมัน และหากต้องตาย ก็จะขอตายในฐานะทหารของกองทัพเยอรมัน ไม่ใช่เพื่อพรรคนาซีอะไรที่ไร้สาระนั่น “ฮะ…” ยาคอปขี้เกียจเถียงกับผู้เป็นพ่อแล้ว เพราะทุกๆ ครั้งท่านจะสอนอะไรที่เขามองว่ามันผิดกับหลักที่เขายึดถืออย่างร้ายแรงจนน่ารำคาญ โทมัสเห็นลูกชายเป็นแบบนั้น เขาไม่รู้ว่ายาคอปจะเห็นด้วยหรือเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อหรือไม่ เขาได้แต่ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยชี้ทางที่ถูกต้องให้ลูกชายของเขาในอนาคตด้วย อีกทั้งเขายังภาวนาว่าขอให้การรุกรานครั้งนี้เป็นความทะเยอทะยานครั้งสุดท้ายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซี เพราะถึงแม้เขาจะเป็นทหาร แต่ก็ไม่ได้อยากให้เกิดสงครามขนาดนั้น ก่อนที่จะกลับมาบ้าน เขาได้แวะไปส่งจดหมายให้กับครอบครัวของทหารนายหนึ่งที่เสียชีวิตจากการโดนกระสุนเจาะเข้าไปที่ศีรษะ จนเสียชีวิตคาที่ พวกเขาโศกเศร้าเสียใจราวกับฟ้าดินจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น จนมันทำให้โทมัสกลัว กลัวว่าถ้าหากเขาต้องตายไปในสงคราม เฟลิเซียและยาคอปจะไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ เหมือนกับครอบครัวของทหารรายนั้น ‘ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมหิทธานุภาพ…ขอให้ภัยร้ายที่กัดกินเยอรมนีอยู่ ณ ตอนนี้ ผ่านพ้นไปได้โดยไวด้วยเถิด…และขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองครอบครัวของข้าพระองค์ทั้งยามตื่นและยามหลับ ขออย่าได้มีอันตรายมาแผ้วพานด้วยเถิด…’ นั่นคือสิ่งที่โทมัสภาวนาเป็นสิ่งสุดท้าย และดูเหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงตอบรับคำภาวนาของเขา…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม