พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงตอบรับฟังคำภาวนาของโทมัส เพราะในเดือนกันยายน 1939 กองทัพเยอรมันได้รุกฝ่าแนวออกตีรุกรานประเทศโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ
และนั่นตามมาด้วยการประกาศสงครามกับเยอรมนีของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส คู่ปรับตลอดกาลของเยอรมันตั้งแต่มหาสงครามครั้งแรก
ในการรุกรานโปแลนด์นั้น โทมัสเองก็ต้องเข้าร่วมในการรบครั้งนี้ด้วย หน่วยของเขารุกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สังหารทหารโปแลนด์ไปมากมาย ในขณะเดียวกันหน่วยของเขาเองก็เสียหายหนักไม่แพ้กัน
แต่เนื่องจากมีการเสริมกำลังบำรุงกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้การรุกไปข้างหน้านั้นเป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งมีการสนับสนุนจากยานเกราะนานาชนิด อาทิเช่น รถถัง ปืนใหญ่อัตตาจร ยานเกราะพิฆาตรถถัง รถบรรทุกทหารกึ่งสายพาน นั่นทำให้การรุกรบนั้นรุนแรงและเด็ดขาด
ทหารโปแลนด์หลายหน่วยต้องยอมจำนนต่อกลยุทธ์แบบสายฟ้าแลบของเยอรมัน บ้างก็ถูกสังหาร บ้างก็ถูกจับเป็นเชลยสงคราม แต่บ้างก็สู้จนตัวตาย
กองร้อยของโทมัสจับเชลยศึกได้หลายคน และส่งพวกเขากลับไปในแนวหลัง ก่อนจะรุกไปข้างหน้าต่อตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่คุมกองพลอยู่
“หัวหน้าครับ! วันนี้หน่วยของเราเสียหายน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ครับ เสียชีวิตไป 5 นาย บาดเจ็บไป 3 นาย รวมเป็น 8 นายครับ”
สิบโทชิลเลอร์รายงานให้โทมัสฟัง
“พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่เราต้องเป็นปีกซ้ายร่วมกับกองร้อย B ในการเข้ายึดเมืองข้างหน้านี้ ส่งหน่วยลาดตระเวนไปดูกำลังของพวกโปลที แล้วมารายงานผมด้วย”
โทมัสออกคำสั่งกับลูกน้อง พลางชี้ไปบนแผนที่ที่ประชุมกับผู้บังคับบัญชาเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา
เนื่องจากกองร้อยที่โทมัสเป็นหัวหน้าอยู่นั้นทำงานแยกจากหน่วยอื่นๆ จึงมีความยืดหยุ่นสูงในการปฏิบัติหน้าที่ และสามารถทำในสิ่งที่คิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อการรบได้อย่างอิสระ แต่ยังคงขึ้นตรงต่อกองบัญชาการกลางของกองพลอยู่
“ทราบแล้วครับ! อีกเรื่องครับท่าน ทหารสื่อสารแจ้งมาว่า พรุ่งนี้กองพันยานเกราะที่ 17 จะมาสนับสนุนเราในการรบครับท่าน”
ชิลเลอร์รายงานข่าวให้โทมัสฟัง
“ทราบแล้ว ผมจะรายงานให้ผู้พันฟังเอง”
โทมัสพยักหน้ารับทราบ
หลังจากนั้นชิลเลอร์ก็เดินจากไป โทมัสทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะนับตั้งแต่เริ่มการรุกราน เขาแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย สิ่งนี้มันสร้างภาระให้กับร่างกายของเขาอย่างมหาศาล
เขาเฉียดเข้าใกล้ความตายมาหลายรอบแล้ว เคราะห์ดีที่ยังไม่ถึงฆาต แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน
‘ไปรายงานข่าวให้ผู้พันทราบก่อนแล้วกัน แล้วค่อยกลับมาพักผ่อน’
โทมัสคิดในใจ ก่อนจะเดินตรงไปที่เต็นท์บัญชาการของกองพัน
หลังจากรายงานข่าวเสร็จ นายทหารหนุ่มก็เดินกลับมาที่เต็นท์พักของตัวเอง ก่อนที่จะเอนศีรษะลงนอนและหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดหลายวัน
.
หลังจากนั้นกองพลทหารราบที่โทมัสสังกัดอยู่ก็ได้รุกไปข้างหน้าต่อ โดยมีการสนับสนุนจากกองพันยานเกราะที่ 17 เพื่อการรุกไล่ที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
โทมัสได้ข่าวมาจากพวกเชลยศึกว่าโปแลนด์เองก็กำลังแย่ เนื่องจากที่อีกฟากหนึ่งของประเทศ สหภาพโซเวียตก็พึ่งเปิดแนวรบกับโปแลนด์เช่นกัน การต้องรับศึกสองด้านนั้นทำให้โปแลนด์อาจจะต้องพ่ายแพ้สงครามเร็วกว่าที่คาดเอาไว้
และดูเหมือนว่าทางเบื้องบนคงจะตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว เพราะในอีกไม่กี่วันต่อมา กองทัพเยอรมันและกองทัพแดงของทางสหภาพโซเวียตก็เดินทัพมาบรรจบกันที่ตอนกลางของประเทศโปแลนด์ แบ่งแยกโปแลนด์ออกเป็นสองฝั่ง และทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน (สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอฟ)
ส่วนทหารโปแลนด์ที่เหลือรอดนั้นหลบหนีออกจากประเทศของตัวเองไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อไปสมทบกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส รอเวลาที่จะทวงคืนประเทศของตัวเองคืนกลับมาในอนาคต
หลังจากที่ยึดครองโปแลนด์ได้แล้ว หน่วยของโทมัสได้ทำการสับเปลี่ยนกำลังพลกับหน่วยที่จะเข้ามาควบคุมและรักษาพื้นที่แทน และตัวของเขากับลูกน้องในหน่วยก็ถูกส่งกลับเยอรมนีเพื่อปรับกำลังใหม่
โทมัสได้ยินถึงเรื่องสงครามครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในทิศตะวันตก ที่กองทัพเยอรมันจะตรงเข้าไปรุกรานฝรั่งเศสเพื่อล้างแค้นจากมหาสงครามครั้งที่ผ่านมา
ในตอนนี้แม้แต่เวลาจะให้นอนแบบเต็มอิ่มยังไม่มี โทมัสจึงไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องอื่นๆ ที่มันยังมาไม่ถึง เขาลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเคยหวาดกลัวขนาดไหนในยามที่หยิบปืนขึ้นมาเพื่อยิงทหารข้าศึก
แต่สิ่งที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของโทมัสคือ เสียงกรีดร้องอันแสนทรมานจากการที่คมกระสุนหรือระเบิดฝังเข้าไปในร่างกาย และสีหน้าความหวาดกลัวสุดขีดต่อภัยสงครามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าจากทหารของทั้งสองฝั่ง
ถ้าหากมันเลี่ยงสงครามไม่ได้จริงๆ โทมัสขอให้มันเป็นเหมือนกับการรุกรานโปแลนด์ในครั้งนี้ ที่เต็มไปด้วยความฉับไว รวดเร็ว และรุนแรง จนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน
โทมัสภาวนาว่าอย่าให้มันเป็นเหมือนมหาสงครามครั้งแรก ที่ทหารหลายร้อยนายต้องจมปลักอยู่ในคูแคบๆ ทอดแนวยาวหลายสิบหรือหลายร้อยกิโลเมตร รอวันวิ่งขึ้นไปรับห่ากระสุนจากฝ่ายตรงข้าม
โทมัสกลับมายังบ้านของตัวเองที่ดอร์ทมุนด์ เพื่อใช้เวลาอยู่กับภรรยาและลูกชายให้เต็มที่ ก่อนที่จะต้องกลับเข้าไปประจำการอีกครั้งในยามที่ถูกเรียกตัว
ชีวิตประจำวันของนายทหารหนุ่มไม่มีอะไรมากเท่าไหร่นัก เขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม เพราะลางสังหรณ์บอกกับเขาว่านับจากนี้ไป เขาอาจจะไม่ได้นอนพักอย่างเต็มอิ่มอีกเลยยามที่อยู่ในสงคราม
อีกทั้งยังคงไปทำงานที่กองร้อยตามปกติ บางวันชิลเลอร์รายงานว่าหน่วยที่อยู่แนวหน้าต้องเผชิญกับการต่อต้านของกองกำลังใต้ดินของโปแลนด์ ที่ก่อวินาศกรรมต่อยุทธปัจจัยของกองทัพจนเสียหายอย่างหนัก
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อกองทัพเยอรมัน เพราะหากไม่มียุทธปัจจัยสงคราม นั่นหมายความว่ากองทัพจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของทบวงตำรวจรักษาความปลอดภัย และทหารรักษาการณ์ในพื้นที่ปฏิบัติการ ที่ต้องตามไล่ล่ากลุ่มผู้ต่อต้านเหล่านี้
โทมัสทำได้แค่ภาวนาว่าทุกอย่างมันจะโอเคขึ้น แต่มันก็เป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ เพราะไม่นานหลังจากนั้น ภัยสงครามและความหวาดกลัว เงามืดของไรช์ที่สามก็แผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินยุโรป
10 พฤษภาคม ปีคริสต์ศักราช 1940
กองทัพเยอรมันเคลื่อนพลรุกรานประเทศในยุโรปตะวันตก เคลื่อนพลผ่านทางอาร์แดน โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยการรุกรานครั้งนี้กระทำอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าครั้งที่เคยเป็นมา
กองทัพของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสไม่สามารถต้านทานการรุกรานของเยอรมันในครั้งนี้ได้เลย เพราะพวกเขามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ด้อยกว่า และการสนับสนุนทางอากาศของกองทัพเยอรมันนั้นเหนือกว่าในทุกๆ ด้าน
16 พฤษภาคม ปีคริสต์ศักราช 1940 ประเทศฝรั่งเศส
โทมัสเคลื่อนพลไปข้างหน้าตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา เขาต้องเข้าตีเมืองสำคัญพร้อมกับทหารอีกสองกองร้อยในกองพันทหารราบที่ 107 โดยมีการสนับสนุนจากกองพันยานเกราะที่ 134
มีการยิงต้านทานอย่างดุเดือดจากทหารฝ่ายตรงข้าม ทหารในหน่วยของโทมัสล้มตายไปหลายนาย บางนายนอนบาดเจ็บโดยไร้ที่กำบัง ยานเกราะฝั่งเยอรมันเองก็กำลังยิงปะทะกับฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด
เสียงคนเจ็บครวญครางไปทั่วบริเวณ ในขณะที่ทุกอย่างกำลังสับสนอลม่านนั้น สายตาของโทมัสจับจ้องไปที่ร่างของทหารเยอรมันนายหนึ่งที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้น
“แม่ครับ ช่วยผมด้วย…ผมยังไม่อยากตาย…”
ทหารหนุ่มรายนั้นร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร ขาข้างซ้ายของเขาแหลกไม่เหลือชิ้นดีจากแรงระเบิด ถึงรอดไปจากตรงนี้ก็อาจจะตายจากการเสียเลือดอยู่ดี
แต่…ไม่ลองก็ไม่รู้…
โทมัสจึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะลองเสี่ยงช่วยเหลือทหารรายนั้นดู เขากระโจนออกไปจากที่มั่น ท่ามกลางห่ากระสุนที่ยิงกดมาอย่างหนัก
“เอาล่ะไอ้หนู อดทนไว้! ฉันจะลากนายไปที่กำบัง แล้วค่อยให้แพทย์สนามตรวจดูอาการนายก็แล้วกันนะ!!”
โทมัสพูด ก่อนจะพยายามลากทหารนายนั้นไปยังที่กำบังที่ใกล้ที่สุด
แต่ทว่า…
กระสุนนัดหนึ่งได้พุ่งเข้าใส่ร่างของโทมัสบริเวณต้นขาด้านซ้าย จนเขาล้มลง
“ร้อยโทโดนยิง!!! ยิงคุ้มกัน!!”
สิบโทชิลเลอร์ตะโกนร้องบอกทหารในหน่วย
ทหารเยอรมันระดมยิงกระสุนกดไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามลุกขึ้นมายิงได้ ก่อนที่สิบโทชิลเลอร์จะวิ่งเข้าไปหาโทมัสเพื่อตรวจดูอาการ
โทมัสยังไม่ตาย กระสุนพุ่งทะลุขาของเขาไป เขายังสามารถพูดติดตลกได้ตอนที่ชิลเลอร์ตรวจดูอาการเขา
“นี่มันเจ็บยิ่งกว่าตอนโดนแม่ฉันตี ตอนเธอรู้ว่าฉันแอบโดดเรียนอีกนะเนี่ย ฮะๆๆๆ”
“ผมจะลากท่านไปยังที่กำบังที่ปลอดภัยนะครับ อดทนไว้นะครับท่านร้อยโท!!”
ชิลเลอร์ลากโทมัสไปยังที่กำบังใกล้ๆ
“ไปลากเจ้าหนูนั่นมาด้วย!”
โทมัสออกคำสั่งให้ไปช่วยเหลือทหารเยอรมันหนุ่มที่เขาพยายามช่วยเหลือในตอนแรก
“ไม่ทันแล้วครับท่าน เขาเสียชีวิตแล้วครับ!”
ชิลเลอร์พูด เพราะตอนที่ไปช่วยเหลือโทมัส ทหารรายนั้นไม่ได้ส่งเสียงร้องหรือหายใจอีกต่อไปแล้ว
“โถ่เว้ย!! ไอ้พวกฝรั่งเศสสารเลว!!”
โทมัสสบถด่าทอพวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนเอง
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนี่คือสงคราม สถานที่ที่พร้อมจะพรากชีวิตทุกคนไปได้ทุกเมื่อหากเผลอประมาทแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่นานนักแพทย์สนามประจำกองร้อยก็วิ่งเข้ามาดูอาการของโทมัส เขาจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ ก่อนจะวิ่งไปดูอาการคนอื่นที่บาดเจ็บต่อ
หลังจากการรบที่ยืดเยื้อมานานสามชั่วโมง ในที่สุดกองพันทหารราบที่ 107 สังกัดกรมทหารราบที่ 12 และกองพันยานเกราะที่ 134 ก็สามารถยึดเมืองและจับเชลยศึกทั้งหมดเอาไว้ได้
ยอดผู้เสียชีวิตนั้นแม้จะไม่มาก แต่ยอดผู้บาดเจ็บนั้นสูงจนน่าตกใจ จนต้องมีการร้องขอกำลังเสริมมาจากหน่วยที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อให้ยังคงสามารถทำการรบต่อไปได้
โทมัสถูกนำตัวไปส่งที่สถานีพยาบาลเป็นการเร่งด่วน เขาถูกถอดออกจากแนวรบและส่งกลับแนวหลังเพื่อพักฟื้นอาการบาดเจ็บพร้อมๆ กับทหารอีกหลายนาย
ในระหว่างที่พักฟื้นที่โรงพยาบาลนั้น โทมัสได้ข่าวว่ากองทัพเยอรมันสามารถยึดมหานครปารีสได้แล้ว ซึ่งนั่นทำให้ชาวเยอรมันทุกคนนั้นชื่นชมและยินดีในความสำเร็จครั้งนี้ จนมีการเลี้ยงฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ที่สามารถกำราบศัตรูตัวฉกาจในมหาสงครามลงได้
ส่วนโทมัสได้รับเหรียญตรากล้าหาญจากความกล้าหาญในครั้งนี้ และได้รับการเลื่อนยศจากร้อยโท (Oberleutnant) เป็น ร้อยเอก (Hauptmann) ซึ่งนั่นหมายถึงภารกิจที่จะหนักขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
หลังจากพักฟื้นอยู่หนึ่งเดือน โทมัสก็ถูกส่งกลับบ้านเพื่อพักฟื้นในส่วนที่เหลือกับครอบครัว
ทันทีที่โทมัสเปิดประตู เฟลิเซียก็วิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความเป็นห่วงในทันที เพราะเธอได้จดหมายจากสิบโทชิลเลอร์แล้ว เขาบอกเธอว่าโทมัสถูกยิง แต่ไม่ได้บอกความร้ายแรง นั่นทำให้เฟลิเซียตกใจเป็นอย่างมาก
“ฉันนึกว่าจะเสียคุณไปแล้วนะคะ”
เฟลิเซียพูดในขณะที่กอดโทมัสไปด้วย
“ผมก็เหมือนกัน นึกว่าจะต้องตายแล้วซะอีก”
โทมัสกอดตอบกลับไป
“พ่อฮะ พ่อยิงศัตรูได้เยอะเลยไหมฮะ?”
ยาคอปเดินเตาะแตะเข้ามากอดขาของโทมัส เขาอยากรู้ เพื่อที่จะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ ที่โรงเรียนว่าพ่อของเขาเจ๋งแค่ไหนที่ยิงพวกข้าศึกตายไปเยอะๆ
“…”
โทมัสไม่ได้ตอบ แต่ยิ้มตอบลูกชายกลับไป
ชั่วขณะหนึ่งโทมัสเห็นใบหน้าของทหารหนุ่มนายนั้นที่เขาพยายามช่วยเหลือซ้อนทับกับยาคอป นายทหารหนุ่มจึงย่อตัวลงมากอดลูกชายของตัวเองเอาไว้แน่น ท่ามกลางความงุนงงของยาคอปว่าพ่อของตัวเองเป็นอะไรกันแน่
“ช่างเรื่องสงครามพรรค์นั้นเอาไว้ก่อนเถอะนะคะ คุณกลับมาเหนื่อยๆ น่าจะอาบน้ำอาบท่าสักหน่อย แล้วค่อยรับประทานอาหารดีไหมคะ?”
เฟลิเซียเสนอไอเดียให้กับโทมัส
“อื้ม! เอาสิ อยู่แนวหน้ามีแต่อาหารรสหยาบๆ ทั้งนั้นเลย สู้ฝีมือของคุณภรรยาสุดน่ารักของผมไม่ได้เลยสักนิดเดียว”
โทมัสพูดหยอกเย้าภรรยา
“คุณนี่ละก็! เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะคะ!”
เฟลิเซียหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ก่อนจะฟาดแขนของโทมัสเบาๆ
หลังจากนั้นครอบครัวฮอฟมันก็ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันอย่างมีความสุข โทมัสไปส่งยาคอปที่โรงเรียนบ้างในบางวัน พอกลับมาบ้านก็พักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย ตกเย็นก็ไปรับยาคอปกลับจากโรงเรียน
ด้านยาคอปก็อวดเพื่อนๆ ของตัวเองถึงภารกิจที่พ่อของตัวเองทำเพื่อประเทศชาติ และได้รับบาดแผลแห่งเกียรติยศมา จนเพื่อนๆ ต่างพากันอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถบๆ ที่มีพ่อที่เท่และดูองอาจขนาดนั้น
นอกจากนั้นเขายังได้รับคำชมจากคุณครูอยู่บ่อยครั้ง เพราะเมื่อถามว่าโตขึ้นไปมีใครอยากที่จะเป็นทหารที่รบเพื่อชาติบ้านเมืองบ้าง ตัวของยาคอปมักจะเป็นคนแรกๆ ที่ยกมือและพูดว่าตัวเองนั้นพร้อมที่จะรบกับข้าศึกเพื่อท่านผู้นำและนำพาเยอรมนีให้พุ่งถึงขีดสุด
ซึ่งมันทำให้ยาคอปนั้นโดดเด่นและเป็นที่น่าจับตามองในชั้นเรียน เพราะเหล่าคุณครูมองว่า เด็กน้อยคนนี้คือผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของพวกเขา และมีแรงบันดาลใจที่ดีจากผู้เป็นพ่อนั่นเอง
ส่วนเฟลิเซียก็ปฏิบัติตัวตามปกติที่ดูแลทั้งพ่อทั้งลูกเป็นอย่างดี มีในบางมื้อบางโอกาสที่เธอจะทำพายแอปเปิลของโปรดของสามีและลูกชายให้พวกเขาได้ทาน เพื่อฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของทั้งสองคน
กันยายน ปีคริสต์ศักราช 1940
โทมัสถูกเรียกตัวกลับไปยังหน่วยเดิมของเขาอีกครั้ง เขาต้องจากบ้านและทิ้งให้เฟลิเซียกับยาคอปอยู่บ้านกันสองคน
“ผมไปนะที่รัก…”
โทมัสพูดลาภรรยาของตัวเอง ก่อนจะออกจากบ้าน
“รักษาตัวด้วยนะคะคุณ”
เฟลิเซียพูดพร้อมกับลูบแก้มของสามีอย่างแผ่วเบา
“ได้สิ! ไว้ผมจะเขียนจดหมายมาหานะ”
โทมัสพูด ก่อนจะถือถุงใส่ของส่วนตัวสะพายขึ้นบ่า
“ค่ะ โชคดีนะคะคุณ”
เฟลิเซียร่ำลาสามีเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่โทมัสจะเดินออกมาจากบ้าน เพื่อไปขึ้นรถที่กองร้อย เขาไม่รู้ว่าสถานที่ถัดไปที่จะต้องไปคือที่ไหน แต่ในเมื่อมันคือคำสั่ง เขาจำเป็นต้องทำมันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
โทมัสลงรถที่สถานีรถไฟ ก่อนจะรับภารกิจจากผู้บังคับบัญชาที่คอยอยู่ที่สถานีรถไฟ เขาและหน่วยของเขาจะต้องถูกส่งไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ยึดครอง และปราบปรามหน่วยต่อต้านที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
ก่อนที่โทมัสจะออกเดินทางโดยรถไฟไปพร้อมกับพวกทหารหน้าใหม่ที่มาเป็นกำลังเสริมให้กับหน่วยของเขา ที่เสียหายจากการปราบปรามพวกกองกำลังใต้ดินอย่างหนัก
หลังจากนั่งรถไฟมาได้ราวๆ 3 วัน ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเนเธอร์แลนด์ พวกเขาทั้งหมดเดินทางไปที่กองบัญชาการของกองพลทหารราบเพื่อรายงานตัวและรับทราบภารกิจอีกครั้ง
ในเต็นท์พักผ่อนส่วนตัวของหน่วย โทมัสเขียนจดหมายถึงภรรยาและลูกชายว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ที่เนเธอร์แลนด์ค่อนข้างเงียบสงบ ห่างไกลจากสงคราม แต่ก็ยังมีกลุ่มต่อต้านที่ต้องคอยปราบปราม ซึ่งกินแรงและพลังงานไปเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นโทมัสยังได้หาซื้อโปสต์การ์ดเล็กๆ เพื่อเป็นของฝากให้ยาคอปใส่ไปในจดหมายด้วย
“ชิลเลอร์ ฉันวานนายส่งจดหมายนี้ให้ครอบครัวฉันหน่อย”
โทมัสวานลูกน้องคนสนิทให้ส่งจดหมายที่เขาเขียนไปให้กับทางบ้านของเขา
“ได้ครับ ท่านร้อยเอก”
ชิลเลอร์รับจดหมายไป
“แล้วก็…ไปพักผ่อนสักหน่อยนะ”
โทมัสพูดกับชิลเลอร์ ผู้ที่ทำงานหนักกว่าใครๆ ในกองร้อย ผู้ที่ได้รับยศสิบเอกมาพร้อมกับตอนที่เขาได้ร้อยเอกมาหมาดๆ
“ทราบแล้วครับท่าน”
ชิลเลอร์วันทยหัตถ์แสดงความเคารพ ก่อนจะเดินจากไป
ครอบครัวฮอฟมันไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ที่พวกเขารู้ก็คือ จดหมายนี้มันจะช่วยเยียวยาหัวใจพวกเขาท่ามกลางสถานการณ์ที่มืดหม่นเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี…