ตอนที่ 3 งานใหม่ ที่พักใหม่

3536 คำ
บังเอิญ ฉันไม่ได้เจอเขา ร่วมสองเดือนกว่า เหตุเพราะความวุ่นวายเรื่องการหางาน ฉันเลื่อนหน้าจอในเว็บไซต์หางานพลางถอนหายใจ ฉันยื่นสมัครงานไปหลายที่ และมีบางที่ส่งแบบทดสอบออนไลน์มาให้ แน่นอนว่าฉันก็ทำแบบทดสอบอย่างตั้งใจ แต่มันคงไม่มากพอและไม่ตรงใจบริษัท มีบริษัทเรียกฉันไปสัมภาษณ์งานหนึ่งที่ เป็นบริษัทเกี่ยวกับสื่อที่มีชื่อมานาน เขาถามเหตุผลว่าทำไมฉันออกจากงานเก่า แน่นอนว่าฉันพูดไปตามความเป็นจริง ฉันต้องการหัวหน้าที่ไม่เจ้ากี้เจ้าการ รับฟังเหตุผลของคนอื่น ซึ่งเมื่อฉันบอกคำตอบนั้นกลับไป หัวหน้าที่นัดฉันสัมภาษณ์แสดงสีหน้าท่าทางด้วยการเบะปาก เลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะวางปากกาและกอดอกพร้อมพูดว่า ‘พี่ว่าที่นี่คงไม่เหมาะกับน้องหรอกนะ’ โอเค ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าฉันไม่ได้ทำงานที่นี่อย่างแน่นอน เสียงสัญญาณจากเครื่องวงกลม มีโลโก้ประทับอยู่ตรงกลาง สั่นสะเทือนพร้อมกับไฟสีแดงปรากฏขึ้น ฉันลุกขึ้นและหยิบเครื่องอิเล็กทรอนิกส์รูปวงกลมไปด้วย ร้านคาเฟ่สัญชาติเกาหลีใต้แห่งนี้ ไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก อาจจะเป็นเพราะยังไม่ถึงช่วงพักกลางวัน หรือไม่ เครื่องดื่มร้านนี้อาจจะแพงเกินไปสำหรับการดื่มดับกระหายระหว่างวัน “สตรอว์เบอร์รี่เฟรปเป้ไซส์แอลได้แล้วค่ะ” พนักงานร้านกาแฟหลังเคาน์เตอร์ วางแก้วพลาสติกที่มีเกล็ดน้ำแข็งสีแดงซีดปั่นละเอียดวางไว้บนถาดสีน้ำตาล ฉันยื่นเครื่องวงกลมและใบเสร็จให้หญิงสาวตรงหน้า หยิบแก้วน้ำกลับมานั่งที่เดิม “เฮ้อ” เวลาหกโมงในย่านการค้า แหล่งรวมตัววัยรุ่นเช่นนี้ มันช่างคึกคักผิดกับสภาพหัวใจของฉันตอนนี้เหลือเกิน มองออกไปด้านนอกร้าน มีเด็กสวมชุดนักเรียน นักศึกษา เดินพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี ทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย คิดถึง...แม้ชีวิตตอนนั้นจะดูวุ่นวาย น่าปวดหัว กับเรื่องเรียน เกรด เพื่อน แต่มันก็สนุกกว่าตอนนี้ อย่างที่หลายๆ คนบอกกันว่า ‘ชีวิตการทำงาน มันน่าปวดหัวกว่าตอนเรียนเยอะ’ แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธว่าช่วงชีวิตในแต่ละเวลา ในแต่ละบริบท มันต่างกันและยากที่จะรับมือพอๆ กัน วันนี้ฉันมีนัดกับ ‘นับสิบ’ เพื่อนสนิทตั้งแต่ประถม จนถึงมหาวิทยาลัย เราได้เรียนที่เดียวกัน คณะเดียวกันอีกต่างหาก สำหรับนับสิบมันไม่ใช่พรหมลิขิตที่เราได้มาเจอกัน แต่มันคือชะตากรรมและเวรกรรมต่างหาก ที่ต่างคนต่างก็หนีไม่พ้น เวรกรรมของแท้เลยล่ะ...นับสิบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในร้าน สภาพของเธอจะเรียกว่าหมดสภาพก็ไม่เชิง ในเมื่อใบหน้าของเธอยังจัดจ้านเพราะเครื่องสำอางราคาสูงที่เธอมักจะเจียดเงินเดือนส่วนหนึ่งซื้อมัน ทว่าสภาพผมบ๊อบสั้นเหนือติ่งหูมันค่อนข้างยุ่งเหยิง หน้าม้าเต่อของเธอชี้ฟูไปคนละทาง แน่นอนว่ามันทำให้ฉันสำลักน้ำที่ดื่มเข้าไปจนต้องหยิบทิชชู่ขึ้นมาปิดปาก “หัวเราะอะไรเอิญ” นับสิบหัวเสียเล็กน้อยที่เห็นฉันหัวเราะเธอเช่นนี้ เธอถอดกระเป๋าใบโตวางบนเก้าอี้ ล้มตัวเอนพิงพนักอย่างเหนื่อยกาย “สภาพทำไมเป็นแบบนี้วะสิบ ออฟฟิศงานหนักเหรอ?” นับสิบเป็นผู้หญิงตัวเล็ก มีเชื้อสายจีน ดวงตาชั้นเดียวเป็นเอกลักษณ์ของเธอ เธอเป็นผู้หญิงถึงไหนถึงกันไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องแฟชั่น นับสิบถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ชอบแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจ เห็นได้จากเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันนี้ ถึงจะไม่ใช่แบรนด์นอก แต่ก็เป็นเสื้อผ้าตัดเย็บดีของแบรนด์ไทย ทรงผมของเธอยิ่งโดดเด่นกว่าใคร เพราะมันตัดผมบ๊อบสั้นเหนือติ่งหูและหน้าม้าเต่อเกือบชิดหน้าผาก ถึงใครๆ ก็มองว่ามันคือแฟชั่นที่ประหลาด และยากที่จะแต่งออกมาให้ดูดี สำหรับนับสิบต่อให้เป็นทรงสกินเฮดมันก็ย่อมแต่งตัวให้ดูดีโดยง่าย “วันนี้กูไม่ได้เข้าออฟฟิศ กูไปทำงานข้างนอกมา แบกกล้องไปเยาวราชเดินขาลากอีก ไอ้พี่โบ๊ทก็อยากได้รูปวันนี้อีก” ฉันเข้าใจว่าทำไมนับสิบถึงบ่นเช่นนี้ ก็เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ แทนที่เธอจะได้พักนอนอยู่ห้องสบายๆ แต่กลับต้องไปถ่ายรูปนัดส่งงานหัวหน้างานวันนี้ “โห วันเสาร์ยังทำอีกเหรอ?” “จริงๆ มันไม่รีบหรอก แต่พี่โบ๊ทมันถามกูว่าวันเสาร์ว่างไหม ให้ไปถ่ายรูปร้านกาแฟแถวเยาวราชให้หน่อย ตอนแรกก็คิดว่าแค่สองสามร้านเปิดใหม่ แต่ที่ไหนได้...มันบอกว่าอยากได้ช่วงเยาวราชตะวันตกดิน แล้วมึงคิดดูดิ ตรงนั้นอะร้อนก็ร้อน ควันรถก็เยอะ แล้วตอนนี้กูหมดสภาพที่จะถ่ายรูปเลย” “แต่มึงก็ชอบไม่ใช่หรือไง?” “ก็ใช่ไง กูก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ บริษัทดีขนาดนี้ ให้กูเกาะอยู่ที่นี่จนตายเลยก็ได้” ฉันอิจฉานับสิบจริงๆ ที่ได้ทำงานบริษัทเกี่ยวกับด้านสื่อแบบนี้ ถึงแม้เราจะจบมาจากคณะวิชาเดียวกัน แต่นับสิบมันชอบถ่ายภาพ แล้วก็ชอบทำงานกราฟิก มันก็เลยได้งานที่นี่ เป็นบริษัทสื่อเปิดใหม่ได้สองปี แต่ก็มีชื่อเสียงได้เพียงแค่เปิดตัวมาไม่นาน เป็นที่รวมวัยรุ่น แหล่งความคิดใหม่ๆ ทำให้งานที่สร้างออกมาไม่เหมือนใคร แล้วก็เป็นสื่อที่ทุกเพศทุกวัยเข้าถึงง่ายมากกว่าแหล่งอื่น “ดีเนอะ มึงจบมาก็เจองานที่ใช่เลย” “อย่าทำเสียงเศร้าดิ ของกูเวลามันเหมาะเจาะ เข้าเปิดหาคนพอดี แล้วกูก็มีพอร์ตด้านนี้เยอะอยู่แล้วด้วย” ฉันถอนหายใจออกมา หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มให้ใจเย็นลงบ้าง ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับฉัน ทำไมงานที่ฉันทำถึงมีแต่เรื่องติดขัด เจอเพื่อนร่วมงานใช้อำนาจ ระบบที่เก่าแก่จนบางทีมันไม่ตอบโจทย์ของชีวิตคนปัจจุบัน “นานๆ ทีเจอกันจะมาทำหน้าอมทุกข์ไม่ได้นะเว้ย ยิ้มค่ะยิ้ม” นับสิบเอื้อมมือมาจับแก้มฉันและบิดเพราะมันเขี้ยวอย่างที่ชอบทำ ไม่ว่าจะเจอหน้ากันกี่ครั้ง แก้มฉันก็ช้ำเพราะแรงมือจากไอ้เพื่อนตัวดีตรงหน้า “โอ๊ย เจ็บนะสิบ” “ทำไมมึงซูบงี้วะไอ้เอิญ มึงเครียดอะไรหรือเปล่าวะ คือแก้มมึงตอบมากอะ ดูดิ...ใส่เสื้อผ้าหลวมโคร่ง” นับสิบขยับตัวออกเล็กน้อย ใช้สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า จริงๆ ตั้งแต่ลาออกจากบริษัทเก่ามา ฉันก็มีแผนหางานทำ รวมไปถึงย้ายห้องพัก ซึ่งตอนนี้ฉันก็ได้ให้นับสิบช่วยหาห้องพักอีกแรง อย่างน้อยก็ขอค่าเช่าเดือนละไม่เกินห้าพันบาท “ไม่มีอะไร ช่วงนี้กูทำฟรีแลนซ์จนลืมเวลากินเวลานอนอะ พอว่างก็มานั่งหางานแล้วก็หาห้องพักอีก พึ่งชั่งน้ำหนักไปเมื่อวาน กูลดมาได้สิบสามโล โคตรงงเลย...เสื้อผ้าทุกตัวคือใส่แล้วหลวมโคตร วันนี้ก็เลยจะมาซื้อเสื้อไปใส่ด้วย” “ไม่เบาว่ะเพื่อน ถึงผอมลงแล้วจะไม่มีแก้มให้กูหยิกเหมือนเดิม แต่มึงก็สวยไปอีกแบบนะเนี่ย” “เออช่างมันก่อน ว่าแต่เรื่องห้องที่มึงบอกว่าหัวหน้ามึงมีห้องให้เช่าอะ ได้ไหม ราคาเป็นไงบ้าง?” ตอนนี้ฉันต้องการที่พักที่ใหม่ เพราะสภาพแวดล้อมหอพักที่ฉันอยู่ปัจจุบันไม่ค่อยจรรโลงใจ ใต้หอพักก็มีวงเหล้าตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน วันดีคืนดีข้างห้องก็ทะเลาะกันเสียงดังจนฉันทำงานไม่ได้ และเมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวว่าชั้นบนของหอพักมีการฆาตกรรมสามศพ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉันตัดสินใจย้ายห้องพักออกอย่างง่ายดาย โดยไม่เสียดายเงินประกันหลักหมื่น “วันนี้ก็เห็นพี่มันทักจะมาคุยเรื่องนี้อยู่ แต่กูทำงานก็เลยไม่ได้ตอบพี่มันไป เห็นว่ามันส่งไฟล์รายละเอียดมาอะ เดี๋ยวกูขอไปสั่งน้ำก่อนเดี๋ยวมาเปิดให้ดู” ฉันพยักหน้าตอบรับ นั่งรอนับสิบสั่งน้ำและขนมมาจนเต็มโต๊ะ หลังจากนั้นนับสิบก็หยิบแท็บเล็ตสีเงินออกมาจากกระเป๋า เปิดแอปพลิเคชันส่งข้อความ เพื่อค้นหาข้อความจากหัวหน้างานหรือพี่ที่มันชอบเรียกเขาว่าพี่โบ๊ท “นี่ไง แถวปิ่นเกล้าอะ เห็นบอกว่าเป็นห้องของเพื่อนเขาที่ซื้อทิ้งไว้ พี่มันเลยแนะนำเพื่อนว่าปล่อยให้คนเช่าดีกว่าจะมาซื้อแล้วไม่ได้ทำอะไร โห...ห้องดีว่ะเอิญ” “มึงยังไม่เห็นห้องมาก่อนเหรอวะ?” “ไม่อะ เห็นพร้อมมึงนี่แหละ มันบอกเปิดให้เช่าต่อสี่พันห้า ไม่เกินงบที่มึงตั้งด้วย ค่าน้ำค่าไฟออกต่างหาก ส่วนเรื่องค่าสัญญากับเจ้าของห้องต้องนัดคุยกันอีกที” ไม่อยากจะเชื่อว่าห้องดูดีขนาดนี้จะราคาแค่สี่พันห้า ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว และส่วนโถง ห้องแบบนี้ถ้าดูในเว็บไซต์ทั่วไปก็ตกเดือนละหมื่น แต่นี่มันถูกเกินไปจนฉันตกใจ “มึงเดี๋ยวนะ มึงไม่คิดว่ามันถูกไปเหรอ ก็ดีขนาดนี้ แต่มาปล่อยเช่าแค่สี่พันห้า แน่ใจใช่ไหมว่าในห้องไม่มีคนตายอะ?” เดี๋ยวนี้ข่าวออกครึกโครมจะตายไป ไหนจะเว็บบอร์ดที่ออกมาพูดถึงที่อยู่อาศัย ว่าหน้าห้องมียันต์ มีสายสิญจน์ จนสืบเจอว่าแต่ก่อนห้องพักห้องเช่าพวกนี้เคยมีคดีฆาตกรรม ฉันถามนับสิบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่เพื่อนตัวดีก็หัวเราะลั่น จนคนรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว “ดูหนังมากไปไหมไอ้เอิญ โครงการนี้พึ่งสร้างเสร็จเมื่อสองปีที่แล้วนะเว้ย ไม่มีหรอกเรื่องผีสางอะ มึงอย่าคิดมาก” “แต่มันถูกเกินไปไง” “เอ้า ไอ้นี่ของดีราคาถูกแบบนี้ไม่ชอบอีก” “ไม่ใช่ แต่กูแค่แปลกใจว่าราคามันถูกอะ เจ้าของเขาจะได้กำไรอะไรวะ” “เอาน่า เพื่อนพี่มันรวย ซื้อคอนโดทิ้งไว้เล่นๆ แบบวันนี้นอนที่ทองหล่อ แต่พรุ่งนี้อยากเปลี่ยนบรรยากาศมานอนที่ปิ่นเกล้า บรรยากาศในเมืองกับฝั่งธนมันต่างกัน เขาอาจจะซื้อไว้ก็เพราะแบบนี้หรือเปล่า” “มึงก็พูดไปนั่น...แต่ยังไงมึงส่งรายละเอียดให้กูด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวกูโทรไปคุยกับเจ้าของห้องเอง” “ได้ๆ ตามนี้ พี่เขาชื่อกฤตลิน” ฉันพยักหน้าพลางดูไฟล์ที่นับสิบส่งมาให้ในโทรศัพท์ แต่ชื่อฟังก็รู้แล้วว่าคงเกิดมาในสภาพบ้านที่รวย คงอย่างที่นับสิบบอกว่าเขาคงจะมีเงินเหลือกินเหลือเก็บเลยซื้อห้องทิ้งไว้แบบนี้ แต่ก็ดีที่เขาปล่อยเช่าในราคาถูก ฉันตัดสินใจแล้ว ว่าภายในสองสามวันนี้ ฉันจะต้องย้ายออกมาจากหอพักที่เดิมให้ได้! . . . . . To. Kristalyn.chin@thebest.co Subject. ติดต่อเรื่องห้องพักที่ปิ่นเกล้า (คุณโบ๊ทแนะนำ) สวัสดีค่ะ คุณกฤตลิน ดิฉันปุณธิดานะคะ ต้องการติดต่อเรื่องเช่าห้องพักแถวปิ่นเกล้าที่คุณกฤตลินเปิดให้เช่าน่ะค่ะ พอดีคุณโบ๊ทเจ้านายของเพื่อนดิฉันแนะนำมาอีกที ดิฉันจึงอยากทราบรายละเอียดและนัดคุยกับคุณกฤตลินเพิ่มเติม พอจะสะดวกไหมคะ หากสะดวกฉันอยากทราบเบอร์โทรของคุณกฤตลินเพื่อติดต่อพูดคุยเรื่องรายละเอียด ขอบคุณค่ะ ปลายนิ้วสัมผัสอักษรตัวสุดท้ายของแป้นพิมพ์ มือขวาที่เริ่มเรียวยาวเลื่อนเมาส์กดไปที่ ‘send’ เพื่อส่งข้อความไปหาเจ้าของห้องคอนโดแถวปิ่นเกล้า หลังจากที่ฉันแยกย้ายจากนับสิบที่ย่านการค้าสยาม ระหว่างนั่งรถไฟฟ้า ฉันก็เลื่อนหาข้อมูลเกี่ยวกับที่พัก เพื่อดูรูปภาพเพิ่มเติม ก็พบว่าห้องขนาดกลางที่เพื่อนเจ้านายของนับสิบเปิดให้เช่า ช่างเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์ครบครันจนแทบไม่ต้องซื้อใหม่ ที่สำคัญราคามันถูกกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ถูกจนน่าใจหาย และฉันก็เผลอคิดไปไกลว่าที่นั่นเคยเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมจนต้องปล่อยเช่าหรือเปล่า ขณะนี้ภายในรถไฟฟ้าต่างเบียดเสียด จนแทบหายใจไม่ออก บางครั้งก็มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ของคนที่ยกแขนโหนราว ฉันแอบเห็นคนข้างๆ ที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ หยิบยาดมออกมาจากกระเป๋า ฉันว่าเขาคงทนกลิ่นจากร่างกายไม่ไหว เช่นเดียวกับฉันที่กลั้นหายใจ พลางสลับหายใจทางปาก ยิ่งใกล้ถึงสถานีปลายทาง ผู้โดยสารภายในขบวนรถก็เริ่มน้อยลง เสียงประกาศที่คุ้นเคยทำให้ฉันยืนขึ้น และเดินเข้าไปใกล้หน้าประตู รอรถจอดเทียบชานชาลา ทันทีที่ประตูขบวนรถเปิด ไอร้อนจากด้านนอกปะทะกับความเย็นของแอร์ในรถไฟฟ้า ทำให้แว่นเลนส์ใสของฉันเปลี่ยนเป็นฝ้าจนภาพเลือนรางมองไม่เห็น ฉันเดินรับบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว พลางฟังเสียงฟ้าคำรามคล้ายกับเสียงร้องไห้ รอเวลาให้น้ำตาหลั่งไหลโหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันหยิบหูฟังไร้สายสีขาวออกมา พร้อมเปิดเพลงไม่ให้ได้ยินเสียงรอบข้างที่จอแจ ห้องพักของฉันอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าอีกสามกิโลเมตร ฉะนั้นจึงต้องอาศัยมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปรับไปส่งเป็นประจำ “หอพักลีลาค่ะลุง” ฉันคุ้นเคยกับลุงคนนี้ดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่หอพักแถวนี้ใหม่ๆ ลุงแกมักจะให้บริการประมาณหกโมงเป็นต้นไป หากไม่ใช่ลุงคนนี้ ฉันก็จะเปลี่ยนไปขึ้นแท็กซี่แทน เพราะฉันเคยเจอเหตุการณ์ที่วินมอเตอร์ไซค์แซวเรื่องรูปร่างว่า ‘นั่งดีๆ นะน้อง พี่ไม่อยากไปเสียตังค์ปะยางรถใหม่’ บางครั้งก็มีประโยคเสียดแทงหัวใจ ‘โอ้โห รถพี่จะบรรทุกหลักกิโลไหวไหมเนี่ยน้อง’ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาเกิดมาในสังคมแบบไหน ถึงได้พูดจาดูถูกคนอื่นเช่นนี้ หากเขาบอกว่านี่คือการล้อเล่น ถ้าอย่างนั้นฉันก็สงสารชีวิตของเขาที่ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ล้อเล่นเรื่องรูปร่างจนเป็นปกติแบบนี้ ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ควรมีใครบนโลกต้องถูกเหยียดหยาม เพียงเพราะรูปร่าง สีผิว สำเนียงการพูด มันไม่ควรเลยว่าไหม... “ได้เลย ซ้อนท้ายมาเลยลูก” ลุงยื่นหมวกกันน็อกให้ฉัน จัดท่าเตรียมบิดคันเร่งอย่างทะมัดทะแมงแสนเท่ ฉันซ้อนท้ายและจับเสื้อกั๊กสีส้มสัญลักษณ์ของอาชีพนี้ไว้อย่างมั่นคง มอเตอร์ไซค์คันแก่จอดเทียบบริเวณด้านหน้าหอพักที่ฉันอาศัยอยู่ ฉันจ่ายเงินลุงและรีบเดินเข้ามาในบริเวณที่พักอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าหอพักมีชายหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มพร้อมน้ำสุราและเบียร์ตั้งเกลื่อนกลาด ในวงน้ำเมาด้านหน้ามีเครื่องดนตรีประกอบอย่างขวดเหล้าเปล่าและช้อนที่ทำหน้าที่เคาะจังหวะแทนไม้กลอง “น้องอู๊ดๆ กลับดึกอีกแล้วเหรอ สนใจมากินเบียร์กับพี่ไหมน้อง” “มึงอย่าชวน เดี๋ยวกับแกล้มหมด” เสียงโห่ร้องของพวกเขามันดังแทรกเข้ามาผ่านบทเพลงในหูฟัง แม้จะเปิดเสียงดังแต่ฉันก็ได้ยินวาจาแสนน่ารังเกียจ ฉันเมินเฉยต่อคำพูดพวกนั้น และก้าวเท้าเดินจ้ำอ้าวโดยไม่หันไปมอง “ทำเป็นเมิน คิดว่าสวยมากมั้ง กูไม่เอามึงหรอก” ฉันอยากจะขอยืมสากจากแม่ค้าส้มตำหน้าหอพักปาลงไปกลางวงเหล้าเหลือเกิน ฉันเดินเข้ามาในอาคารและกดลิฟต์แสนเก่าให้ขึ้นโดยไว อายุของหอพักนี้น่าจะหลายสิบปีได้ จากสภาพทางเดิน ลิฟต์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกช่างไม่สะดวกสบายอย่างที่บอกไว้ในเว็บไซต์สักนิด ไฟตามทางติดๆ ดับๆ รวมไปถึงไฟภายในลิฟต์ที่เปิดอ้าต้อนรับฉันก็ติดๆ ดับๆ ราวกับหนังสยองขวัญหรือหนังที่มีฆาตกร ฉันกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์อย่างจำใจ ในใจก็เอาแต่ภาวนา ว่าขออย่าให้เจอเรื่องเหนือธรรมชาติในตู้สี่เหลี่ยมเล็กๆ นี่เลย ฉันก้มหน้าเล่นโทรศัพท์แสร้งทำไม่สนใจบรรยากาศเช่นนี้ แน่นอนว่ามันได้ผลจนลิฟต์เปิดออกบริเวณชั้นที่ฉันพักอาศัยอยู่ ฉันเดินออกจากลิฟต์และรีบวิ่งไปที่ห้องของตนเอง ขณะกำลังสาวเท้าวิ่ง ฉันก็ล้วงไปหยิบกุญแจในกระเป๋าอย่างรีบร้อน ไขประตูทั้งที่มือไม้สั่น ไฟตามทางเดินบนชั้นนี้ก็ริบหรี่เกินทน เมื่อฉันสามารถเปิดประตูและแทรกตัวเข้ามาในห้อง ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่... ฉันโยนกระเป๋าลงบนเตียงขนาดสามฟุต มันเคยเป็นเตียงแคบๆ สำหรับคนรูปร่างใหญ่ แต่ตอนนี้มันกว้างพอที่จะให้ฉันพลิกตัวได้ ฉันทิ้งตัวลง เอาใบหน้าซุกหมอน ทันใดนั้นเองเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันหยิบมันขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นข้อความตอบกลับของคุณกฤตลินเรื่องที่อยู่อาศัย เขาส่งเบอร์โทรมาให้ฉัน และบอกว่าสามารถโทรไปหาเขาเมื่อไรก็ได้ ฉันรีบคัดลอกหมายเลขและโทรไป เสียงสัญญาณรอสายดังไม่นานนัก ก่อนที่จะมีเสียงตอบรับมาว่า (สวัสดีครับ) “สวัสดีค่ะ คุณกฤตลินใช่ไหมคะ?” ฉันพูดจาอย่างสุภาพนุ่มนวล น้ำเสียงจากปลายสาย ฉันพอจะเดาได้ว่าเขาคือนักเจรจาทางธุรกิจ หรือมีวาทศิลป์ที่ดีมาก เสียงของเขาไม่ได้ดุอย่างที่ฉันคิดไว้เหมือนตอนแรก น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความใจดีและอบอุ่น (ใช่ครับ) “อ๋อค่ะ ดิฉันปุณธิดานะคะ ที่ส่งเมลไปถามเรื่องที่พัก พอดีอยากจะทราบรายละเอียดเพิ่มเติมน่ะค่ะ ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม” (คุณปุณธิดาได้อ่านไฟล์โครงการ ที่ผมส่งให้โบ๊ทหรือเปล่าครับ) “อ่านแล้วค่ะ แต่ไม่คิดว่าราคาค่าเช่าจะถูกขนาดนี้ คือสภาพห้องแบบในรูปภาพเลยใช่ไหมคะ” ฉันขยับตัวเอื้อมไปหยิบแล็ปท็อป คลิกเข้าไปในโปรแกรมตอบกลับข้อความ เพื่อดูข้อความที่นับสิบส่งเข้ามาตอนอยู่ร้านกาแฟ ฉันเลื่อนดูสภาพห้อง ไล่อ่านทีละบรรทัด สำรวจแต่ละรูปภาพ ราคาไม่สมเหตุสมผลกับสภาพห้องเลยสักนิด (ครับตามนั้นเลย แต่อาจจะมีค่าทำสัญญาหนึ่งปีนะครับ คุณปุณธิดาคงไม่ติดใช่ไหม?) “อ๋อไม่ติดๆ ค่ะ สัญญาหนึ่งปีนี่เท่าไรคะ” (หนึ่งหมื่นเหมือนห้องพักทั่วไป ยังไงคุณปุณธิดานัดดูห้องก่อนได้นะครับ) “ถ้าอย่างนั้นคุณกฤตลินว่างวันไหนบ้างเหรอคะ?” (แล้วแต่คุณปุณธิดาสะดวกเลยครับ ผมยังไงก็ได้) ฉันเลิกคิ้วหลังจากที่เขาเอ่ยประโยคนั้นจบ คุณกฤตลินดูไม่มีขั้นตอนอะไรมาก ผิดกับห้องพักอื่นที่เคยเช่าอยู่มา ที่นี่ถือว่าเป็นกันเองแล้วก็คุยง่ายมากที่สุด แต่ฉันก็ต้องดูสถานการณ์ต่อไป คนให้เช่าบางคนพออยู่ไปก็กลายเป็นอื่น อย่างขึ้นค่าเช่าโดยไม่บอกผู้เช่าก่อน บางทีก็หัวหมอขึ้นราคาหน่วยค่าน้ำค่าไฟแพงหูฉี่ “ถ้าอย่างนั้นเป็นวันจันทร์ได้ไหมคะ?” (ได้ครับ แต่วันจันทร์นี้ผมอาจจะว่างช่วงสิบโมงเป็นต้นไปนะครับ เพราะตอนเช้าผมมีประชุมที่บริษัท) “ได้ค่ะๆ ยังไงเดี๋ยวฉันโทรถามทางกับคุณอีกครั้งนะคะ” (ครับ) “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่รบกวนคุณกฤตลินแล้วนะคะ...” ยังไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยประโยคบอกลา เสียงสุขุมเรียบนิ่งจากปลายสายก็สะกดให้ฉันนิ่งงัน ใจของฉันเผลอเต้นแรงยามที่เขาเอ่ยประโยคนั้น ประโยคสั้นๆ แต่ใจฉันเผลอทำงานหนักอย่างรุนแรง (เรียกผมว่าองศาก็ได้นะครับ...คุณปุณธิดา) ฉันหวังเหลือเกินว่า ขอให้ความบังเอิญในชีวิตฉัน เป็นจริงขึ้นมาสักครั้ง...ขอให้องศาจากปลายสาย บังเอิญเป็นคนคนนั้นได้ไหมนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม