บังเอิญ
‘ทำไมมึงถึงได้ซวยแบบนี้วะเอิญ’ นี่คือคำกล่าวของ ‘นับสิบ’ เพื่อนสนิทตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัย แม้ว่าต่างคนต่างก็แยกย้ายกันทำงานของตัวเอง แต่เราก็ยังติดต่อและพูดคุยกันเสมอ นับสิบวางสายไปแล้ว ทิ้งให้ฉันถอนหายใจอยู่บนรถเมล์ เผชิญหน้ากับมลพิษทางอากาศของกรุงเทพตั้งแต่เช้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้ไปเยือนที่นั่น บริษัทที่ฉันทำงานได้ร่วมสามเดือนและยังไม่ผ่านโปรเสียด้วยซ้ำ ก็ถูกไล่ออกก่อนจะได้ขึ้นเงินเดือน
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจทิ้งและเอนศีรษะลงบนพนักเก้าอี้แข็งๆ ของรถเมล์ไร้เครื่องปรับอากาศ เสียงฟ้าร้องในเดือนมิถุนายน มันเหมือนเสียงแห่งความโชคร้าย ผ่านไปครึ่งชั่วโมงรถเมล์ก็มาจอดอยู่ด้านหน้าซอยย่านธุรกิจ ฉันเดินไปตามเส้นทางอย่างไม่รีบร้อน ในกระเป๋าผ้าของฉันมีกระเป๋าผ้าใบใหญ่พกมาด้วย เพื่อเก็บของบนโต๊ะทำงาน
ฉันถูกหัวหน้าแผนกบัญชีไล่ออก และวันนี้ก็คือวันที่ฉันต้องมาเก็บของกลับห้อง
แม้หัวหน้าฝ่ายบัญชีคนนั้นจะไม่มีสิทธิ์ไล่ฉันออก แต่อย่างไรเธอก็คือญาติของเจ้าของบริษัท ฉันมั่นใจว่าตอนนี้ฉันพ้นสภาพการเป็นพนักงานที่นั่นเรียบร้อยแล้ว
ประตูกระจกถูกผลักไปด้านหน้า ฉันเห็นฝ่ายประชาสัมพันธ์มองหน้าฉันและกระซิบกระซาบพูดคุยกัน แน่นอนว่าคงไม่พ้นเหตุการณ์เมื่อวาน ที่มันลุกลามใหญ่โต เป็นที่พูดถึงทั่วทั้งบริษัทและต่างแผนก ฉันไม่สนใจคนเหล่านั้น และเดินเข้าไปในลิฟต์กดชั้นสาม พลางกอดอกยืนรอตู้โลหะเคลื่อนขึ้นด้านบน
อีกไม่กี่วินาที ฉันจะกลายเป็นผู้หญิงตกงานสมบูรณ์แบบ
ติ๊ง! ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก บรรยากาศมันไม่เหมือนกับหนังบางเรื่องที่ฉันเคยดูในโรง หากในหนังฉากลิฟต์เปิดออกคือการตกหลุมรักใครบางคนเพียงครั้งแรกที่สบตา หรือไม่มันอาจจะเป็นฉากที่รอใครสักคนมานานหลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายปี แต่เรื่องจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ทุกอย่างตรงหน้าก็มีแต่ความว่างเปล่า ฉันเห็นคราบกาแฟสีเข้มกับถ้วยกระดาษสีขาวเปื้อนสีน้ำตาล หกกระจายระเนระนาดอยู่บนพื้นกระเบื้องเงาวับ
ฉันเดินออกมาจากลิฟต์และเดินเข้าออฟฟิศที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ร่วมสามเดือน ฉันเกลียดสเปรย์ปรับอากาศกลิ่นส้ม ที่พี่โอ๋หัวหน้าฝ่ายบัญชีชอบนักชอบหนา ฉันเกลียดเสียงกระซิบกระซาบ เวลาคนต่างแผนกเดินเข้ามา พวกเขามักจะทักทายด้วยวาจาเป็นมิตร แต่ฉันรู้ดี...ยามที่เขาหันหลังกลับไป คนที่นี่จะสุมหัวและพูดเรื่องไม่เหมาะสมอย่างขบขัน ทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ จนฉันรู้สึกรังเกียจ
ฉันไม่ชอบที่นี่ ภาพลักษณ์บริษัทไม่ได้บ่งบอกว่าบุคลากรภายในองค์กรจะมีคุณภาพที่ดีตามชื่อเสียงสักนิด
ฉันชื่นชมในการทำงานของหลายคนที่นี่ และฉันก็อยากติเตียน กับบางคนที่มีอายุงานนานมากกว่าคนอื่น แต่เขากลับทำให้คุณภาพของบริษัทตกต่ำลง...
“ยังจะมีหน้ามาทำงานอีกเนอะคนเรา” โดยเฉพาะหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของฉัน
คิดเสียว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงนกเสียงกายามเช้า ฉันไม่ได้ให้ค่ากับคำเสียดสี กระแหนะกระแหนของพวกเขา และมุ่งหน้าเดินมาที่โต๊ะทำงาน จัดการเก็บของทุกอย่างกองรวมกันใส่กระเป๋า
“น้องเอิญ ทำไมเก็บของล่ะคะ?” พี่แพงหัวหน้าทีมคอนเทนต์ที่เดินถือแก้วกาแฟออกมาจากครัวเล็กๆ ของออฟฟิศชั้นนี้เอ่ยทัก พร้อมมีสีหน้าประหลาดใจไม่ใช่น้อย
“ว่าแล้ว เด็กแบบนี้มันจะทนงานได้เท่าไรเชียว แค่สามเดือนก็วิ่งหนีหางจุกตูดซะแล้ว แค่งานเล็กๆ ยังทำไม่ได้เลย ต่อให้ไปสมัครงานที่อื่นก็ไม่มีใครรับหรอกแบบนี้” ฉันตวัดสายตาขึ้นมามองหน้าหญิงคนนั้น ฉันเกลียดถ้อยคำเย้ยหยัน พี่โอ๋เป็นคนพูดจาเสียดสีว่าร้ายฉันก่อน พูดจาเรื่องรูปลักษณ์ ด่าทอ จนฉันทนไม่ไหว ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานสักนิด
“พี่แพง เมื่อวานหนูเมลไปบอกพี่แพงแล้วนะคะ ส่วนไฟล์สคริปต์เมื่อวานหนูส่งแยกไปให้ในเมลของบริษัทเรียบร้อยแล้ว งานที่หนูค้างอยู่ในเดือนนี้ หนูจะรีบเคลียร์ส่งให้พี่นะคะ” พี่แพงถอนหายใจออกมา พลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงานของฉัน
“อย่าไปสนใจคำพูดพี่โอ๋เขาเลย เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว” ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงต้องยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของใครก็ไม่รู้ ต่างแผนก ทำงานคนละหน้าที่ แต่ทำไมพี่โอ๋ถึงได้มีอิทธิพลต่อคนในออฟฟิศมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ ทุกคนเกรงกลัวเธอ เกรงใจเธอ แต่ลับหลังก็ต่อว่าเธอ
ยิ้มเข้าหากัน แต่ก็ซ่อนมีดปลายแหลมไว้ด้านหลังพร้อมสังหารกันได้ทุกเมื่อ
“พี่แพงจะว่าหนูก็ได้นะคะว่ามีความอดทนไม่มากพอ เมื่อวานหัวหน้าเรียกหนูไปคุยแล้วค่ะ เขาให้หนูออก...เหตุผลก็เพราะหัวหน้าฝ่ายบัญชีบอกว่าหนูทำงานผิดพลาด ไม่ฟังความเห็นคนอื่น อยู่ร่วมกับคนในบริษัทไม่ได้”
“แค่นี้เองเอิญ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหัวหน้าให้” คำว่าแค่นี้ของพี่แพงทำให้ฉันยกยิ้มขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นรอยยิ้มของความขบขัน หรือสมเพชต่อความคิดของพี่แพงกันแน่
“หนูดีใจที่เขาไล่หนูออก ไม่ต้องหรอกค่ะพี่แพง”
“ทำมาเป็นพูดดี จะคอยดูว่าสารรูปแบบนี้ จะมีบริษัทที่ไหนเอาไหม” ฉันเบื่อคนอย่างพี่โอ๋ที่สุดในโลก มองคนอื่นว่าแย่ โดยไม่มองย้อนดูตัวเองเลยสักนิด ว่าที่ยังอยู่ในบริษัทได้ทั้งที่แต่ละวันก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์ นินทาลูกน้องแบบนี้ มันเป็นเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ญาติของเจ้าของที่นี่
ใครกันแน่ที่น่าสมเพชกว่ากัน
“นั่นสิคะ จะมีใครรับหนูเข้าทำงานไหมก็ไม่รู้ หนูไม่ได้โชคดีเหมือนพี่โอ๋หรอกค่ะ มีน้องเป็นเจ้าของบริษัท ถึงจะทำงานพลาดเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เขาก็คงไม่กล้าไล่ ที่ได้ทำงานอยู่แบบนี้ก็เพราะว่าเกรงใจ ไม่ใช่ความสามารถ ดีจังนะคะ” ตั้งแต่เกิดมาจนเกือบจะเบญจเพส ฉันพึ่งเคยได้ต่อว่าด่าคนอย่างจริงจังก็วันนี้ และฉันไม่เสียใจเลยด้วยซ้ำที่ฉันได้พูดคำนี้ออกไป
โล่งอก เหมือนยกภูเขา ฉันก้มหน้าเก็บของไม่สนใจเสียงของพี่โอ๋ ถึงแม้ว่าเธอจะด่าฉันเสียหายเท่าไรก็ตาม คนแบบนี้ยิ่งให้ค่า เราก็ยิ่งจะได้รับพลังลบเข้ามาในชีวิตมากมาย
“อีเด็กนี่ อย่าให้เห็นว่ากลับมาที่นี่อีกล่ะ ไม่อย่างนั้นได้เจอกันแน่”
“ไม่อยากเจอค่ะ” ฉันพูดแค่นั้นก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากออฟฟิศชั้นที่สาม โดยไม่ลืมยกมือไหว้ลาพี่แพง ส่วนคนอื่นๆ อย่างนั้นน่ะหรือ ตอนที่ทำงาน ฉันแค่จะหันไปถามเรื่องงานทุกคนก็เมินหน้าใส่แล้ว เพราะฉะนั้นในเมื่อพวกเขาไม่เห็นค่าของฉันตั้งแต่แรก ฉันก็จะไม่ให้ค่าพวกเขาเช่นกัน
เสียงร้องโวยวายดังลั่นลอดผ่านประตูกระจก ฉันคงจะได้ยินเสียงของเธอเป็นครั้งสุดท้าย และหวังว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันจะได้เจอสังคมใหม่ ที่ไม่ใช่สังคมแห่งการเสแสร้งเหมือนที่นี่
. . . . .
เวลา 11.43 นาฬิกา
กลิ่นหอมของเมล็ดพันธุ์ของกาแฟคั่วที่ดีส่งกลิ่นอบอวลผ่อนคลายชวนให้อยากหลับตา ฉันนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งเดิม เก้าอี้ที่คุ้นเคย มุมที่คุ้นตา แต่ทว่ามุมคุ้นเคยกลับไม่มีผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ ฉันนั่งอยู่ที่นี่ร่วมสองชั่วโมง ลูกค้าประจำเดินเข้าออกหลายสิบ หรือไม่บางคนก็พกแล็ปท็อปติดตัวมาทำงานและสั่งกาแฟดื่มที่นี่ อันที่จริงฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากจะหาที่นั่งแก้เซ็ง ไม่ได้มาแอบมองใครบางคนเหมือนทุกวัน
มองออกไปนอกกระจกก็เห็นว่า ท้องฟ้าในยามนี้เปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นหมอง เมฆสีขาวคล้ายเปื้อนคราบเขม่าลอยเคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้า
ชีวิตของฉันในตอนนี้ เหมือนเมฆสีเทาไม่มีผิด หากมันหมองหม่นเกาะตัวกันแน่น พวกมันก็คงกลั่นออกมาเป็นสายฝนตกลงมาในไม่ช้า ดั่งเช่นน้ำตาของฉันที่อยากไหลรินออกมา
“อเมริกาโน่ เอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อต แล้วก็ขอเป็นชีสพายหนึ่งชิ้นครับ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ เสียงนั้นเรียกสายตาของฉันให้หันไปมอง และมันก็เป็นเสียงของเขาจริงๆ ด้วย แต่ที่แปลกไปก็คือ เขามากับผู้หญิงหนึ่งคน หน้าตาของเธอน่ารัก ผมประบ่า แต่งตัวสีเบจน่ารัก จนฉันละสายตาออกจากเธอไม่ได้
“พี่องศาคะ น้องขอโกโก้บราวนี่หนึ่งแก้วนะ”
“ครับ...ตามนี้เลยครับ” พึ่งรู้ว่าเขาคนนี้ที่ฉันแอบมองทุกวันชื่อ ‘องศา’ เขาตอบกลับผู้หญิงคนนั้นด้วยน้ำเสียงละมุนละไม ก่อนจะหันไปบอกกับพนักงานที่ทำหน้าที่รับรายการเครื่องดื่ม เขาจูงมือผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าฉันและไปนั่งบริเวณโต๊ะประจำ มุมที่สายตาของฉันสามารถมองเขาได้เต็มตา
ใจของฉันก็ดันปวดขึ้นมาพร้อมกับฟ้าร้องคำรามดังเปรี้ยงปร้างดังสนั่น...เขาทั้งสองคงเป็นแฟนกัน
“ไอ้เอิญ มึงอย่าร้องนะเว้ย” ขณะที่ก้มหน้า ฉันพึมพำกับตัวเอง กะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาอย่างหน้าไม่อาย ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องนั่งมองพวกเขาทั้งสอง ไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งที่หัวใจฉันเจ็บแทบบ้า
ไม่คิดเหมือนกันว่าจะชอบคนที่ชื่อ ‘องศา’ มากขนาดนี้
ไม่คิดว่าจะต้องมารู้สึกเสียใจที่เห็นเขากับผู้หญิงคนอื่น
ฉันรีบลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำด้านหลังร้าน ห้องน้ำที่นี่มีห้องน้ำแค่สองห้องสำหรับชายหญิงเท่านั้น มีอ่างล้างมือขั้นกลางระหว่างประตู และต้องเดินเข้าไปในทางยาวที่ประดับตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับและดอกไม้แห้ง ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องน้ำ ฉันมองสภาพตัวเองในกระจกสะท้อนอย่างสมเพช ผู้หญิงรูปร่างอ้วน แต่งตัวแสนเชย แถมยังพึ่งตกงานอีก ฉันไม่มีอะไรดีพอที่จะให้เขาหันมามองฉันเลย
อยากเป็นคนที่ดีในสายตาคนอื่นบ้าง แต่คำต่อว่า ถากถางตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้ฉันขังตัวเองอยู่ในกรงไม่กล้าออกไปไหน น้ำตาฉันไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าหลายรอบ แต่มันก็ไม่หยุดไหลลงมาอาบแก้ม
“ทำไมต้องไปชอบเขาด้วยวะ” ฉันไม่ชอบความรู้สึกผิดหวังเช่นนี้ ผิดหวังทั้งที่ยังไม่มีโอกาสเริ่ม ผิดหวังทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางสมหวัง ฉันนั่งลงบนชักโครกก่อนจะกดโทรหาเพื่อนสนิทที่สุด พักเที่ยงเช่นนี้ นับสิบคงพอจะมีเวลาพูดคุยบ้าง สักห้านาทีก็ยังดี
(มีอะไรเอิญ กูพึ่งได้พักเที่ยงเนี่ย)
“มึง...” เสียงของฉันสั่นเครือ มือหนึ่งข้างบีบขยำกระโปรงจนเป็นรอยยับ ดวงตาฉันพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำใสที่เอ่อเต็มดวงตา นับสิบคงตกใจไม่ใช่น้อยที่ฉันแสดงออกเช่นนี้
(เฮ้ย เอิญเป็นไรเปล่า?)
“มึง วันนี้โคตรแย่เลยว่ะ โคตรแย่เลย”
(เอิญมึงใจเย็นๆ มีอะไรก็ค่อยๆ เล่าออกมา) ฉันพยายามผ่อนลมหายใจให้ใจเย็นลงบ้าง ฉันหลับตาและประมวลคำพูดที่ต้องการอยากจะระบายให้เพื่อนฟัง...วันนี้มันเป็นวันที่โคตรแย่สำหรับฉัน จริงๆ มันก็แย่เหมือนทุกวันตั้งแต่ฉันเกิดมา
“กูไม่รู้อะสิบ ตอนนี้กูไม่รู้ว่ากูร้องไห้เพราะอะไร กูไม่ได้เสียใจที่โดนไล่ออกจากงาน แต่คำพูดของพี่พวกนั้นมันทำให้กูอึดอัดอะมึง แล้วอีกอย่างมึงจำผู้ชายที่กูเล่าให้ฟังได้ไหม?”
(นั่นแน่)
“เขามีแฟนแล้ว มึง...กูไม่คิดว่ากูจะรู้สึกมากขนาดนี้ ชื่อเขากูก็พึ่งรู้จัก ไม่เคยคุยกัน แต่ทำไมกูถึงรู้สึกว่ากูชอบเขามากขนาดนี้วะ กูไม่ชอบแบบนี้เลยสิบ กูไม่ชอบความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย” ฉันพูดไปและร้องไห้ไป ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกกับผู้ชายที่แอบมองได้มากขนาดนี้ ถึงเขาจะมีแฟนหรือไม่มีแฟน มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันตั้งแต่แรก ทว่าทำไมฉันยิ่งรู้สึกเจ็บที่เห็นเขามากับผู้หญิงคนอื่น
(ไอ้เอิญ มึงชอบเขาขนาดนี้เลยเหรอ?)
“ไม่ได้อยากชอบสักหน่อย มันเป็นของมันไปเองอะ กูพยายามเลิกชอบแล้ว แต่พอเห็นหน้าเขา กูก็ชอบเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก กูรำคาญตัวเองอะสิบ ฮึก...” ฉันได้ยินเสียงตบดังแปะ คาดว่าน่าจะเป็นนับสิบที่ตบหน้าผากตัวเองเพราะเอือมระอาฉัน เธอถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้รำคาญ แต่เธอรู้สึกว่าปัญหาของฉันมันแก้ไขยากสิ้นดี
เหมือนจะง่าย แต่ก็ยาก ความรู้สึกคนมันห้ามได้ที่ไหนกัน
(จริงๆ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ใช่แฟนเขาก็ได้นะเว้ย คิดในแง่ดีดิ อาจจะเป็นน้องหรือไม่ก็เพื่อนที่สนิท) สิบพยายามปลอบใจฉัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ฉันเอนตัวพิงชักโครก พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลริน กัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
“มึงคิดบวกมากไปไหมอะสิบ”
(มึงต่างหากที่คิดลบ ส่วนเรื่องที่มึงรำคาญตัวเองวันนี้อาจจะเป็นเพราะมึงเจอปัญหาที่บริษัท มันเลยทำให้มึงคิดมาก พอเจอตาผู้ชายคนนั้นมากับผู้หญิงที่มึงคิดไปเองว่าเขาเป็นแฟนกันอีก มึงเลยคิดเยอะจนเครียดไงเอิญ คำพูดบางคนหรือความคิดบางอย่าง ทิ้งได้ก็ทิ้งไปนะมึง กูไม่อยากเห็นมึงคิดมาก)
“ขอบคุณนะมึง มึงกินข้าวอยู่ใช่ไหมอะ เห็นเสียงตะโกนดังลั่นเลย”
(เออกำลังมากินข้าวกับเพื่อนที่ออฟฟิศอะ เห็นบอกว่าพามาร้านข้าวมันไก่เจ้าเด็ด)
“เออ ไปกินข้าวเถอะ ไว้เจอกันนะมึง”
(เออๆ บาย) หลังจากนั้นนับสิบก็วางสาย ส่วนฉันก็ทิ้งแขนลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรง ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม จัดการเสื้อผ้า หน้า ผม ของตัวเองให้ดีขึ้น ถ้าออกจากห้องน้ำไปด้วยสภาพนี้ล่ะก็ มีหวังคนในร้าน รวมถึงเขาคนนั้นคงจะมองฉันเป็นตัวตลกแน่นอน ฉันลุกขึ้นพลางเปิดประตูออก ทันใดนั้นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น
“เฮ้ย!” ขณะที่ฉันกำลังก้าวออกจากห้องน้ำ ฉันก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง ผงะก้าวถอยหลังยามที่เห็นชายร่างสูง เขากำลังยืนล้างมืออยู่บริเวณอ่างด้านหน้า ช่วงเสี้ยววินาทีเขาหันมาสบตา เราสองคนยืนห่างกันไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองฉัน พลางยิ้มให้จนเผลอใจสั่น
อยากเลิกชอบ...แต่ก็กลับมาตกหลุมพรางอีกจนได้
“เอ่อ ขอโทษค่ะ นึกว่าไม่มีคนอยู่” ไม่รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อ ‘องศา’ คนนี้มาเข้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไร ฉันหวังเหลือเกินว่าเขาจะไม่ได้ยินบทสนทนาอันแสนเพ้อเจ้อของฉัน จะมีผู้หญิงคนไหนกันที่ร้องไห้ให้กับผู้ชายแปลกหน้า หากเขาได้ยิน...เขาต้องมองฉันเป็นตัวตลกแน่ๆ
เขาคงจะอายพอสมควร ที่มีหญิงร่างอ้วนเข้ามาชอบแบบนี้
“ไม่เป็นไรครับ” อย่ายิ้มแบบนี้ได้ไหม ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วนะองศา เขาหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดมือและก้าวถอยหลังออกมาจากอ่าง ทำให้ฉันมีช่องว่างมากพอที่จะเดินเข้าไปล้างมือ ฉันคิดว่าเขาคงจะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่เมื่อเงยหน้ามองในกระจก ฉันเห็นเขาจ้องมองฉันผ่านบานกระจกบานนี้
มีอะไรแปลกหรือเปล่าวะ ฉันคิดในใจพลางมองหน้าตัวเอง หันซ้ายขวาสำรวจใบหน้า ก้มหน้ามองเสื้อผ้าตัวเองว่ามีอะไรผิดแปลกไปหรือไม่ เมื่อสำรวจดีๆ แล้ว ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่ผิดปกติ ฉันมองเขาบนกระจกอีกครั้ง และครั้งนี้เขาหลุดยิ้มออกมาจนฉันทำสีหน้าไม่ถูก
หรือเขาจะได้ยินสิ่งที่ฉันพูดกับนับสิบ
“ชื่ออะไรเหรอครับ?”
“คะ?” ฉันชี้ตัวเองอย่างสงสัยระคนตกใจ มองเขาในกระจกบานใหญ่หน้าห้องน้ำ คนอย่างเขาน่ะหรือจะมาถามชื่อผู้หญิงอย่างฉัน สีหน้าท่าทางของเขาไม่ได้รังเกียจหรือมองฉันไม่ดีสักนิด
“ผมองศาครับ พอดีผมอยากถามชื่อคุณน่ะ ผมเจอคุณบ่อยที่ร้านนี้”
“อ๋อค่ะ บังเอิญ”
“ครับ?”
“คือชื่อบังเอิญค่ะ เรียกว่าเอิญเฉยๆ ก็ได้”
“ครับเอิญเฉยๆ” ฉันเกลียดคนเล่นมุกนี้ที่สุด แต่พอเป็นผู้ชายคนนี้พูด ฉันกลับรู้สึกว่ามันตลกจนหลุดยิ้มออกมา อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นฉันทำตัวไม่ถูก จากผู้ชายขี้เล่นเขาก็เปลี่ยนเป็นสุขุมมากขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ เราชื่อบังเอิญ”
“ครับบังเอิญ...บังเอิญมากๆ เลย”