หลายวันผ่านไปในกรงทองแห่งนี้ พริกหวานใช้ชีวิตราวกับตุ๊กตาในตู้โชว์ มีเสื้อผ้าสวยงามราคาแพงที่ถูกส่งมาให้ใหม่ทุกวัน มีอาหารเลิศรสจากเชฟระดับมิชลินสตาร์มาเสิร์ฟถึงห้องสามเวลา แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในใจเธอได้เลย
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ... ฟรานเชสโกไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในห้องนอนนี้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น เขาไม่ได้มาวุ่นวาย ไม่ได้มาแตะต้องตัวเธออย่างที่เธอหวาดกลัว เขาปล่อยให้เธออยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง มีเพียงการ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงสถานะนักโทษของเธอ
ความกลัวในตอนแรกค่อยๆ ลดระดับลง กลายเป็นความสับสนและระแวง พริกหวานใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสำรวจเพนท์เฮาส์ที่กว้างใหญ่ราวกับวัง เธอได้รับอนุญาตให้เดินได้ทั่ว แต่ห้ามออกจากประตูหน้าโดยเด็ดขาด เธอเรียนรู้ว่าฟรานเชสโกมักจะขลุกตัวอยู่ในห้องทำงาน หรือไม่ก็ออกไปข้างนอกในช่วงกลางคืนและกลับมาตอนรุ่งสาง
แม้จะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่พริกหวานก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับเธอเลย นอกจากการกักขังและคำพูดร้ายกาจในวันแรก มันทำให้ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาซับซ้อนขึ้น เกลียด... แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
จนกระทั่งคืนหนึ่ง...
พริกหวานกำลังจะเข้านอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอได้ยินเสียงความวุ่นวายดังมาจากด้านนอกห้องนอน เสียงคนวิ่ง เสียงพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดด้วยภาษาอิตาเลียนที่เธอฟังไม่ออก แต่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
ด้วยความอยากรู้และความเป็นห่วงที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอแง้มประตูห้องนอนออกไปดูช้าๆ
ภาพที่เห็นทำให้เธอแทบหยุดหายใจ...
ฟรานเชสโกกำลังถูกลูกน้องคนสนิทสองคนพยุงเข้ามาในสภาพสะบักสะบอม เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน โดยเฉพาะบริเวณหัวไหล่ข้างซ้ายที่ชุ่มโชกจนน่ากลัว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซีดเผือด เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก แต่ดวงตาสีน้ำหมึกกลับยังคงฉายแววดุดันไม่สร่าง
"ไปตามหมอ!" ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนสั่ง
"นายท่านไม่ยอมไปโรงพยาบาลครับ!" อีกคนตอบกลับอย่างร้อนรน
พริกหวานยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่ประตู ใจของเธอกระตุกวูบอย่างแรง ภาพของเขาที่บาดเจ็บสาหัสกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ... มันคือความเห็นใจ... และความตกใจ
เธอเห็นลูกน้องพยุงเขาไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น ก่อนที่คนหนึ่งจะวิ่งไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลขนาดใหญ่ออกมา
ฟรานเชสโกกัดฟันแน่นขณะที่ลูกน้องพยายามจะถอดเสื้อเชิ้ตที่ชุ่มเลือดของเขาออก "ออกไปให้หมด!" เขาตวาดเสียงกร้าว แม้จะอ่อนแรงแต่ก็ยังเต็มไปด้วยอำนาจ "กูทำเองได้!"
ลูกน้องมีสีหน้าลำบากใจแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่โค้งคำนับแล้วรีบถอยออกไปจากห้อง ทิ้งเจ้านายที่บาดเจ็บไว้กับกล่องปฐมพยาบาล
พริกหวานเห็นเขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย พยายามจะใช้มือข้างขวาถอดเสื้อด้วยตัวเอง แต่แค่ขยับตัวเล็กน้อย สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
วินาทีนั้น... ขาของพริกหวานก้าวออกไปจากห้องนอนเองโดยอัตโนมัติ
เธอเดินตรงไปที่โซฟา ฟรานเชสโกเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาแปลกใจระคนหงุดหงิด "เข้ามาทำไม! กลับไปที่ห้องของเธอซะ!"
พริกหวานไม่ตอบ แต่เธอกลับคุกเข่าลงข้างโซฟา หยิบกรรไกรจากกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมา
"จะถอดเอง หรือจะให้ฉันตัด" เธอถามเสียงเรียบ พยายามข่มความสั่นในน้ำเสียงเอาไว้
ฟรานเชสโกจ้องหน้าเธอเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจในความใจกล้าของเธอ แต่สุดท้ายเขาก็พิงหลังกับพนักโซฟาอย่างยอมจำนน "ตัด"
พริกหวานสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มลงมือตัดเสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อผ้าที่ชุ่มเลือดถูกตัดออก เธอก็ได้เห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ของเขา... ปากแผลเปิดกว้างและมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด มันคือรอยกระสุนปืนอย่างไม่ต้องสงสัย
"ฉันเคยเรียนพยาบาลมาบ้างตอนมัธยม... พอจะทำแผลเบื้องต้นได้" เธอพูดขึ้นมาเบาๆ เหมือนจะอธิบายให้ตัวเองฟังมากกว่าให้เขาฟัง
เธอหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมาเตรียมจะเช็ดรอบๆ แผล
"ไม่ต้อง..." เขาพูดเสียงห้วน "ฉันไม่ต้องการความสงสารจากเธอ"
"ฉันไม่ได้สงสาร" พริกหวานสวนกลับทันควัน ดวงตาของเธอจ้องสบกับเขาอย่างไม่ยอมแพ้ "ฉันแค่ไม่อยากให้คุณตาย... เพราะถ้าคุณตาย หนี้ของแม่ฉันก็จะยังอยู่ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปตกอยู่ในมือใครที่เลวร้ายกว่าคุณรึเปล่า"
มันเป็นคำแก้ตัวที่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ส่วนหนึ่งมันคือความจริง และมันก็เป็นเหตุผลเดียวที่เธอยอมบอกตัวเองว่าทำไมถึงต้องมานั่งทำแผลให้ผู้ชายที่กักขังเธออยู่ตรงนี้
ฟรานเชสโกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน "ปากดีเหมือนเดิม"
พริกหวานไม่สนใจคำพูดของเขา เธอเริ่มลงมือทำแผลอย่างตั้งใจ ใช้สำลีกดลงไปรอบๆ ปากแผลเพื่อฆ่าเชื้อ ฟรานเชสโกสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา เขาเพียงแค่นั่งนิ่ง จ้องมองใบหน้าของเธอที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำแผลให้เขา
ในระยะใกล้ขนาดนี้ เขาสังเกตเห็นแพขนตาที่งอนยาวของเธอ จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากันอย่างมุ่งมั่น... แปลก... ที่ในสถานการณ์แบบนี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกถึงแรงปรารถนาทางกาย แต่กลับเป็นความรู้สึกบางอย่างที่สงบนิ่งและน่าค้นหา
เมื่อทำความสะอาดเสร็จ พริกหวานก็หยิบผ้าก๊อซสะอาดมาปิดแผลแล้วพันทับด้วยผ้าพันแผลอย่างคล่องแคล่ว ตลอดกระบวนการ ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นอีก มีเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนในห้องที่เงียบสงัด
"เสร็จแล้ว" เธอพูดพลางเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง "แต่คุณควรจะไปให้หมอเอาหัวกระสุนออก"
เมื่อเสร็จธุระ เธอก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินกลับเข้าห้อง แต่แล้วข้อมือของเธอก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือใหญ่ที่ไม่ได้บาดเจ็บของเขา
"เดี๋ยว"
พริกหวานหันกลับมามองอย่างตกใจ "มีอะไรอีก"
ฟรานเชสโกไม่ได้ตอบ แต่สายตาของเขายังคงจ้องมองเธอไม่วางตา มันเป็นสายตาที่อ่านไม่ออก... ไม่ใช่สายตาของนักล่าที่มองเหยื่อ แต่เป็นสายตาของผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิงคนหนึ่งอย่างพิจารณา
"ออกไปได้แล้ว" สุดท้ายเขาก็พูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับปล่อยมือจากข้อมือเธอ "แล้วก็อย่าคิดว่าทำดีกับฉันแค่นี้ แล้วฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆ"
พริกหวานเม้มปากแน่น รู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดนั้น แต่ก็เชิดหน้าขึ้น "ฉันไม่เคยคิด"
เธอหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา แผ่นหลังของเธอพิงอยู่กับบานประตู หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
เธอวางมือทาบลงบนหน้าอกตัวเอง... สัมผัสอุ่นๆ จากมือของเขายังคงติดอยู่ที่ข้อมือ... และภาพบาดแผลฉกรรจ์ของเขาก็ยังติดตา
เธอเกลียดเขา... แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเป็นห่วง...
ทำไม... หัวใจเจ้ากรรมถึงต้องสั่นไหวให้กับพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นด้วย...