“มึงเลือกมาสักคนเถอะสิงห์ ไอ้ห่า! กูรอจนน้ำแข็งละลายหมดแล้วเนี่ย”
สายตาของเพื่อนสนิทตวัดมองไปยังอทินเป็นรอบที่สาม พร้อมทั้งเอ่ยคำพูดด้วยความรำคาญใจ... วันนี้ไอ้เพื่อนตัวดีมันไปกินยาเบื่อหนูมาหรือไง อาการเมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด แถมนั่งซดอย่างเดียวจนแทบไม่ได้หายใจ
“ออกไปเถอะ วันนี้กูไม่มีอารมณ์”
คนตัวโตสะบัดมือไล่พนักงานสาวพีอาร์ที่เข้ามายืนเรียงแถวด้านหน้าโซฟาในห้องวีไอพี...ก่อนสาวทั้งห้าคนจะถอนใจหายออกมาพร้อมทั้งทำสีหน้าผิดหวังไปตามๆ กัน
หมด จบ พอ!! แม้นว่าใครๆ ก็อยากเป็นเด็กของเฮียสิงห์ เพราะได้ข่าวว่าเปย์หนักใช่ย่อย อยากได้อะไรก็ได้ ขอแค่ถูกใจก็พอ แต่คืนนี้กลับต้องผิดหวังเพราะเจ้าพ่ออารมณ์บ่จอย
“มึงเป็นเหี้ยไรวะ ไม่มีอารมณ์แต่นัดพวกกูมากินเหล้าเนี่ยนะ!”
มาวินบ่นอุบก่อนจะส่ายหัวด้วยความเสียอารมณ์ กลายเป็นว่าเขาคนเดียวที่ดูเป็นคนเจ้าชู้ เพราะมีถึงสองคนนั่งขนาบข้างอยู่ตอนนี้
“ได้ข่าวว่าพราวย้ายกลับมาอยู่ขอนแก่นเหรอ?”
ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งเงียบก่อนหน้านั้นละสายตาจากหน้านิตยสารเกษตรหันไปลอบมองเพื่อน ก่อนจะเอ่ยประโยคชวนตั้งคำถาม...คล้ายว่าเป็นคนมองโลกออกที่สุด แถมตรงประเด็นซะด้วย
เมื่อพอเพื่อนสนิทได้ยินอย่างนั้น ก็ยกซัดรวดทีเดียวสองแก้วแบบไม่มียั้ง จนเขาถึงขั้นต้องได้เอ่ยปราม “เบาๆ มึง ระวังตายก่อนอายุขัย”
“มึงรู้ได้ไง?” อทินตวัดสายตามายังคนถาม
“เปล่า กูได้ยินข่าวมาจากฝน ลูกพี่ลูกน้องกู”
และก็จริงอย่างที่ภาคินัยคิด...พอได้เห็นอาการที่คล้ายว่าเป็นคำตอบจึงเลื่อนสายตากลับไปสนใจหนังสือตรงหน้าดังเดิม ทว่า...ปล่อยให้อีกคนที่มัวแต่มองนมสาวก่อนหน้านั้น พึ่งจะเบนความสนใจมา
“เดี๋ยวๆ นี่กูตกข่าวอะไรไป เกิดอะไรขึ้น แล้วมึงเจอกันกับน้องรึยัง?”
มาวินตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องใหม่ที่ผุดขึ้นในวงเหล้า เพราะทุกคนต่างคุ้นเคยกับพราวนภาดี แต่แล้ววันนึงเธอก็เลือกย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ ซึ่งเขาก็พอจะรู้มาบ้างว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะต้องการหลบหน้าไอ้เพื่อนตัวดี
“มึงรีบเล่ามาเลยไอ้สิงห์” คะยั้นคะยอคนตรงหน้าด้วยแววตาคาดคั้นเอาคำตอบ...มาวินไม่เข้าใจ ทว่าก็เหมือนจะรู้สาเหตุว่าอาจจะใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้
“เจอแล้ว เมื่อเช้า” อทินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ทำคนตรงหน้าอยากรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นอีกสุดๆ
“แล้วน้องคุยอะไรกับมึงไหม?”
“คุย แต่กูไม่อยากคุย” เขาทำหน้าเอือม ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาซัดไปอีกหนึ่งยก
“อ้าวไอ้เหี้ยนี่ แตนตอดปากมึงรึไง ถึงไม่อยากพูด” มาวินสบถออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดูทีท่าของคนตรงข้ามก็ไม่ได้สู้ดีมากนัก
“กูแค่คิดว่าน้องมันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..กูแค่ไม่เข้าใจ”
“กูเข้าใจมึงนะ ก็ใครมันจะไปคิดวะ ว่าคนที่ไม่ยอมมาเจอหน้ากันตลอดสิบปี อยู่ดีๆ แม่งโผล่มาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ หึ! แต่จะให้พูดอะไรน่ะเหรอ ก็คงจะรู้กันอยู่แล้วล่ะมั้ง”
ไม่รู้ว่าผีห่าตัวไหนเข้าสิง จากคนที่นั่งเงียบไม่สนใจเขาอีกครั้ง กลับร่ายประโยคที่ไร้ซึ่งบทนำขึ้นมาจนต้องเรียกสายตาของคนภายในห้อง...จนมาวินถึงขั้นต้องเอ่ยเสียงกระแทกกลับ
“เออ กูก็เข้าใจมึงไอ้สิงห์ แต่กูไม่เข้าใจว่ามึงจะเอาหนังสือเกษตรมาอ่านอะไรในร้านเหล้า ห่ะ! ไอ้เหี้ยคินท์ จะมาสอนกูปลูกถั่วฝักยาวรึไงสัด!”
มาวินพูดติดตลกก่อนจะหัวเราะร่าออกมา พร้อมทั้งสีหน้ายั่วตีน เสตามองภาคินัยที่ก็ตาแข็งกลับคืนเหมือนกันเมื่อโดนเพื่อนสวนคำพูดจามาแบบนี้... แทนที่ทั้งสองจะเห็นใจอทินอย่างที่พูด ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามาเขม่นกันเอง จนคนตัวโตต้องนั่งเครียดคนเดียว
“คนไม่มีธรรมชาติในหัวใจอย่างมึง ไม่เข้าใจหรอก!”
ภาคินัยสวนกลับเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะถอนหายใจพรืดเดียวออกมาเพราะความขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพวกเล่นลิ้นไม่มีวันจบแบบมาวิน..... หลังเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายจบลง เลยกลายเป็นเสียงของอทินที่เข้ามาแทนที่
“กูควรจะทำตัวยังไงวะ?”
อยู่ๆ คนที่นั่งซัดเหล้าเพียวๆ ก็พูดแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงเพลง...ก่อนหน้านั้นที่ดึงอารมณ์ไปพูดติดตลกเพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศมันดูเครียด แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะเครียดหนักขนาดนี้ จนถึงกับปล่อยวางอะไรไม่ได้
กับน้องสาวที่เคยสนิทแต่ตอนนี้ไม่สนิทแล้ว มึงจะเอาอะไรอีกวะสิงห์! มาวินได้แต่คิดในใจ
“ก็ไม่ทำยังไงแหละ ทำเหมือนเดิม มึงอย่าไปคิดให้มันเยอะ! วันนี้เจอกัน พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เจอก็ได้ มึงก็ใช้ชีวิตของมึงไปสิ”
มาวินเอ่ยตอบด้วยความรำคาญ ใจจริงอยากจะตัดบทสนทนา ไม่รู้จะสรรหาเรื่องตึงเครียดมาให้เสียบรรยากาศทำไม ก่อนจะหันไปพูดติดตลกแล้วชนแก้วกับสาวข้างกายอีกคน
“ใช่ไหมคะน้องไอซ์ เราไปที่อื่นกันดีไหมคะ? พี่วินน่าจะไม่ไหวแล้วค่ะ”
“เร็วไปไหมคะพี่วิน ไอซ์ยังไม่ทันเมาเลยน้า”
สาวเจ้าพูดจีบปากจีบคอพร้อมกับเอาหน้าอกใหญ่ดันถูหน้าอกมาวินแล้วซบลงไปด้วยท่าทางออดอ้อนสุดฤทธิ์
“กูไปล่ะเพื่อน เลิกดราม่า! พวกมึงก็แยกย้ายเถอะ”
มาวินหันมาพูดแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมควงเด็กสาวออกไปจากห้องอย่างรีบร้อน ขืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปมีหวังเพื่อนทั้งสองคงได้ดูหนังสดแบบหกมิติ
“อย่าไปสนใจมัน ปล่อยมันไปพวกเพลย์บอยเห็นสาวดีกว่าเพื่อน”
ภาคินัยส่ายหน้ามองตามคนที่เดินออกไป ก่อนจะหันมาตบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนสนิท... เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ โตๆกันแล้วให้ได้แค่คำปรึกษา แต่ไม่เข้าใจว่ามันถึงขั้นไหนก็แค่นั้น
“ก็ตามที่ไอ้วินมันพูด วันนี้เจอ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เจอสักหน่อย”
“ไม่เจอเหี้ยไรล่ะ ตอนนี้พราวมาทำงานกับกู”
คนตัวโตตวัดสายตามองมายังเพื่อนที่กำลังอ้าปากเหวอ...เออ กูขอโทษที่ก่อนหน้านั้นพยายามจะปลอบทั้งที่ไม่รู้ว่ามึงเป็นส้นตีนอะไรนักหนา แต่ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้งทุกอย่างแล้วล่ะ... ทว่ายังไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อดี ทำได้เพียง...
“ทำตามหัวใจตัวเอง มึงอยากทำอะไรก็ทำ กูว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เรื่องที่ผ่านมาก็ลืมๆ มันไปเถอะ น้องมันก็ยังเด็กมึงเองก็ยังเด็กในตอนนั้น เหมือนเด็กทะเลาะกันไง ตอนนี้ก็ดีกันแล้ว”
สัจธรรมแห่งความจริงถูกฉายซ้ำ คนที่เข้าใจธรรมชาติย่อมเข้าใจโลก เป็นอย่างที่เขาพูดกันจริงๆ
ทว่าในหัวคนฟังกลับคิดตรงกันข้าม...ถ้าหากทำอย่างที่ภาคินัยพูดได้ก็คงจะดี แต่หัวใจเจ้ากรรมของเขา จากตอนแรกที่งงและสับสน หลังๆ มาเริ่มกลายเป็นโกรธและไม่เข้าใจ มีอะไรทำไมไม่พูดไม่คุย เล่นหายไปดื้อๆ บทจะมาก็มาแบบไม่มีสัญญาณ
แล้วบทจะกลับไปอีกเมื่อไหร่ มันจะเกิดขึ้นอีกครั้งไหมก็ไม่รู้
พอกลับมาเจอกันอีกที ก็ควรจะขอโทษหรืออธิบายอะไรให้เขาฟังสักนิด ทั้งที่เขาก็พยายามติดต่อเธอในช่วงแรกๆ แม้อาจจะมีลืมไปบ้าง แต่ก็เดาไม่ถูกว่า ณ ตอนนั้นเธอต้องการอะไรจากเขา เลยปล่อยเลยตามเลย
ความโกรธในตัวของอทินที่มีต่อเธอมันมากกว่าความพยายามทำความเข้าใจ อาจเป็นเพราะว่าเราสองคนไม่เคยเคลียร์ปัญหาที่ค้างคาให้มันจบ และพอวันนี้มันยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เขาก็เล่นไม้แข็งไม่ไยดีใส่เธอ.. สนุกมากใช่ไหมที่ทำแบบนี้ หรือเพราะเขาใจดีเกินไปในเมื่อก่อน...ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เขาจะลองใจร้ายกับเธอบ้าง
ให้รู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เธอทำมันก็แย่ไปไม่น้อยกว่าใคร...
สงสัยงานนี้ต้องมีสั่งสอนกลับบ้างซะแล้วละ