รถกระบะสีดำขับเข้ามาเทียบจอดหน้าบ้านของพรานภาตามเวลานัดหมายพอดิบพอดี...ด้านคนขับมองเห็นแสงไฟสีขาวที่ลอดหน้าต่างออกมาจากในตัวบ้าน ทว่าเจ้าของบ้านกลับไม่ได้มารออยู่หน้าบ้านตามที่คิดไว้...
ร่างสูงถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะคิดติดค้างอะไรในใจก่อนจะออกรถมาหรือเปล่า ถึงได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำนิสัยแบบนี้ พลันก้าวขามายืนกอดอกพิงตัวไปกับประตูรั้วเหล็กคล้ายคนอารมณ์เสียอยู่เป็นเนืองๆ
“มาแล้วค่าๆ พราวมาแล้วค่าเฮีย ล็อกบ้านแป๊บนึงนะ รอแป๊บค่า”
คนตัวเล็กเปิดประตูบ้านออกมา ยังไม่ทันที่จะได้หันมามองหน้าสบตากับเขา เสียงเจื้อยแจ้วด้วยความรีบร้อนของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน พลันริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ หึ! ในลำคอ
“เหมือนเดิม ยังไงก็ยังงั้น”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้สบถออกมา ทั้งย้อนความคิดถึงเรื่องเก่าที่นานมากกว่าสิบปีสมัยเราสองคนยังสนิทกัน ไปโรงเรียนพร้อมกัน ตื่นเช้าเขาขับรถมารับเธอและตอนเย็นมาส่งที่บ้าน หรือไม่เราทั้งคู่ก็ไปเล่นที่บริษัทด้วยกัน เพราะพ่อแม่ของพวกเราทำงานด้วยกัน
อย่างนั้นเหรอ...ทว่ามันก็เป็นความหลัง ใจเจ้ากรรมก็ไม่รู้จะรื้อฟื้นมาทำส้นตีนอะไร กูถามมึงหน่อยเถอะไอ้สิงห์
คิดจนเพลิน...คนตัวเล็กที่เขาว่าก็มาหยุดอยู่ใกล้ตัวเสียแล้ว พราวนภาหันมายิ้มแหยะๆ ให้เขาพร้อมกับเอ่ยขอโทษเบาๆ
เธอรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด อทินไม่ชอบคนมาสาย สำหรับเขาเวลามันสำคัญตั้งแต่ไหนแต่ไร..และตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม
“พราวไม่นึกว่าเฮียจะมาเร็วขนาดนี้”
“ขอโทษค่ะ ที่ทำให้รอตั้งสองนาที”
เธอเอ่ยสองประโยคติดกันรวดเดียว คล้ายว่าดักไว้ก่อนไม่ให้คนตรงหน้าโกรธ
ชายหนุ่มได้แต่ชายตามองเธอที่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมการทำงานอย่างดี...และในใจก็คิดถือว่าใช้ได้ ก่อนจะเอ่ยคำพูดแล้วเดินหนีไป
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
พราวนภาได้แต่มองตามหลังเขาที่เดินอ้อมกลับไปทางฝั่งประตูคนขับ ก่อนหน้าทั้งคืนเธอคิดวนว่าจะต้องทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับเขาเพียงลำพัง ก็เลยงัดเอาความเป็นตัวเองสมัยเด็กออกมาให้เขาเห็น... ทว่าไม่ได้ผล เพราะคนนั้นตึงยิ่งกว่าอะไรดี
คนตัวเล็กได้แต่ตามน้ำไปอย่างว่าไม่ได้ ออกรถมาเขาไม่ยอมพูดอะไรกับเธอสักคำ มีเพียงเสียงเพลงที่คอยกลบไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป
“เอ่อ เราจะไปไหนกันคะเฮียสิงห์”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลื่อนใบหน้าไปมองเขาที่กำลังขับรถแบบดูทางอย่างใจจดใจจ่อ...แต่แล้วรอสามสิบวินาทีเขาก็ไม่ตอบเธอออกมาสักนิด คนตัวเล็กเห็นอย่างนั้นเลยต้องเลื่อนสายตากลับไปที่เดิม
หึ! ให้มันได้อย่างนี้สิ...ปกติเขาเป็นแบบนี้เหรอก็ไม่
อทินสำหรับเธอในเมื่อก่อนเขาคือพี่ชายแสนดีที่ไม่เคยดุด่าว่าร้ายเธอเลยสักครั้งเดียว แม้จะขึ้นเสียงใส่ก็ไม่เคยเลยด้วยซ้ำ ในวันที่โดนพ่อแม่ดุก็มีแต่เขาที่คอยปกป้องเธอไม่ห่าง..แต่แล้วปัจจุบันทำไมมันต่าง ต่างจากคนเดิมที่เธอเคยรู้จักเหลือเกิน
“ลง! จะกินไหมข้าวเช้า”
เธอไม่รู้ว่ารถจอดตั้งแต่เมื่อไหร่ พลันน้ำเสียงดุของเขากระแทกใจเธอให้ตื่นจากภวังค์ความคิด...ใบหน้าสวยหันกลับไปมองคนต้นเสียง ก่อนเพียงแวบเดียวก็รีบลงจากรถโดยไม่รอให้เธอได้ถามอะไรต่ออีก
นึกว่าเราจะรีบไปทำงาน...แต่สรุปมากินข้าวเช้ากันอย่างนั้นเหรอ?
เดินลงจากรถตามเขาเข้ามาภายในตลาดสด สองข้างทางขนาบข้างไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า รถเร่แผงลอยต่างๆ
ความวุ่นวายยามเช้าและแสงแดดที่โผล่พ้นขอบฟ้ามาพอดีในช่วงเวลาหกโมง ทำเธอได้หวนนึกถึงวันเก่าๆ ขึ้นมา... เพียงซึมซับบรรยากาศก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่อยู่ขอนแก่น ราวสิบปีได้ ย้ายไปที่กรุงเทพตั้งแต่วันนั้นที่เราสองคนทะเลาะกัน บอกพ่อกับแม่ว่าเธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป เลยขอให้พวกเขาเอาเธอไปอยู่ด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพ่อกับแม่ก็ตื้อเธออยู่ตั้งนาน...
สองขาก้าวเดินตามชายหนุ่มจนมาหยุดที่หน้าร้านข้าวเปียกเส้นเจ้าเก่าร้านหนึ่ง.. โต๊ะเล็กวางเรียงรายด้านหน้าคล้ายสภากาแฟขนาดย่อม ก่อนอทินจะเป็นฝ่ายที่เดินนำเธอเข้าไปและแวะทักทายกับเจ้าของร้านด้วยความคุ้นเคย
“อ้าวสิงห์ มาแต่เช้าเลยนะวันนี้ เอาเหมือนเดิมเนอะ”
คนตัวโตยกมือไหว้ด้วยความเคยชิน พลันสายตาก็หันหลังมามองหาคนที่เขาบอกให้ตามมา ทว่า..อยู่ไหนล่ะ?
“ครับป้าใจ แต่เพิ่มเป็นสองที่นะครับ”
“โอเคได้ ป้าจัดให้!”
ไม่อยากคิดรอเลยเอ่ยปากสั่งไปก่อน หวังว่าเธอจะตามเข้ามาที่หลัง และก็แน่นอนแหละ ตลาดเล็กนิดเดียวถ้าหลงก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี
“ไม่ได้มาคนเดียวเหรอ มากับใครล่ะ?”
เจ้าของร้านเอ่ยถามพลางหันหน้ากลับไปง่วนอยู่กับสิ่งของในครัว...ทว่าพอได้ยินเสียงฝีเท้าของลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามาเลยต้องเงยหน้าขึ้นไปมองตามปกติ
“ป้าใจ…สวัสดีค่ะ”
พราวนภาเอ่ยทักทาย เธอจำคุณป้าเจ้าของร้านได้ ร้านนี้คือร้านประจำที่แวะมากินก่อนจะไปโรงเรียนบางครั้ง ถ้าแม่ของเธอไม่มีเวลาทำข้าวเช้าให้
“หนูพราวเหรอ...เป็นไงมาไงลูก ป้าเกือบจำไม่ได้แน่ะ”
ป้าใจละมือจากการตักอาหารแล้วเดินเข้ามากอดเธอด้วยความดีใจ นานมากโขที่ไม่ได้เจอคนรุ่นลูก แต่แล้วทำไมวันนี้ถึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าได้นะ
“โตแล้ว สวยขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยเนอะ..ป้าคิดถึง”
“ขอโทษนะคะที่ไม่ได้แวะมาเลย พอดีพราวยุ่งๆ ค่ะ แต่ตอนนี้ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แล้วนะคะ เดี๋ยวพราวแวะมาทานบ่อยๆ น้า”
คำพูดของหญิงสาวคล้ายเอาอกเอาใจ ทว่ามันออกมาจากใจจริงหาความเท็จไม่ได้ เธอยังจำสมัยก่อนได้ดีและมันดีแค่ไหนกับการที่ได้เจอคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ายิ้มให้กันอีกหน ร่างบางจึงเดินมาทางโต๊ะที่อทินนั่งอยู่..
รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นป้าใจเลยเอ่ยขอตัวออกไปซื้อของที่ตลาด ทิ้งร้านไว้ให้ลูกชายเฝ้าแทน...และก็มีแค่พวกเขาสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านใน
พราวนภาหันมองหน้าคนตรงข้ามเป็นระยะในบางช่วง เธออยากจะเอ่ยปากชวนเขาคุยแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เพราะบางทีก็เหมือนเขามัวแต่เลื่อนดูมือถือจนเธอแทบหาจังหวะไม่ได้เลยแม้แต่นิด
“อร่อยเหมือนเดิมเลยอะ พราวไม่ได้กินนานมาก เฮียสิงห์มากินบ่อยไหมคะ?”
คงเป็นประโยคเดียวที่เธอคิดได้ เลยลองเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใสลองดู และแน่นอนว่าทันทีที่เขาได้ยิน คนหน้าเข้มก็เงยหน้ามามองเธอทันที
“ก็ไม่บ่อยแต่มาทุกอาทิตย์..ไม่เหมือนบางคนในรอบสิบปี ลืมรสชาติไปแล้วมั้ง”
คำพูดของเขาทำเธอต้องหยิบน้ำมากินแก้เขินไปหนึ่งอึก..ไม่รู้ว่าเขากำลังประชดเธออยู่หรือเปล่า เพราะเธอสัมผัสมันได้จริงๆ
“ไม่ลืมนะคะ อะไรอร่อยมันก็อร่อยเหมือนเดิมแหละ อีกอย่างพราวก็ยังชอบอะไรเดิมๆ อยู่”
เธอเลยลองทำตัวไม่แยแสบ้าง ก่อนจะสรรหาประโยคไหนมาแก้ขัด ปกปิดเรื่องที่ค้างคาใจไว้ ทำเขาที่ได้ยินถึงกับชะงักทันที
“หมายความว่าไง?” อทินถามด้วยน้ำเสียงเรียบปนความอยากรู้ในใจ...ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร แต่ตงิดใจตรงคำพูดสุดท้าย
“พราวหมายถึงชอบกินค่ะ ชอบกินอะไรอร่อยๆ เหมือนเดิม”
สาวเจ้าพูดเสริม เมื่อชายหนุ่มเอาแต่จ้องมองมาเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ก่อนบทสนทนาตัดจบด้วยน้ำเสียงเข้มของเขาเอง
“รีบกิน! เดี๋ยวเข้าไปที่ไซต์งานไม่ทัน”
“เอ่อ..โอเคค่ะ”
คำพูดของเขาทำเธอถึงกับต้องกัดฟันไปหนึ่งที ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจที่ตัวเองพยายามทำดีและทำตัวน่ารักต่อหน้าเขาเหมือนเคย คล้ายว่าเธอเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียวที่พยายามสร้างมิตรภาพระหว่างเราสองคน
จนแทบจะลืมไปแล้วว่าเขาในวันนั้นเป็นคนแบบไหน คิดว่ากำลังฝึกทหารอยู่หรือไง ทำไมชอบสั่งจังวะ!