ในโกดังสินค้าเก่าแห่งหนึ่ง ท่ามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายและค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงแสงไฟสลัวจากหลอดไฟที่ห้อยต่องแต่ง สาดส่องเป็นวงแคบๆ ภายในบริเวณอันกว้างขวาง การลำเลียงสินค้าและอาวุธดำเนินไปอย่างขะมักเขม้น ลูกน้องหลายคนต่างเร่งรีบยกหีบลังขนาดต่างๆ ที่บรรจุอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดนานาชนิด สินค้าอันตรายเหล่านี้กำลังจะถูกส่งออกนอกประเทศ เพื่อแลกกับเงินทองจำนวนมหาศาลที่จะตกอยู่ในมือของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่
บนชั้นสองของโกดัง เงาร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำสนิท ยืนเด่นเป็นสง่าภายใต้แสงไฟที่ลอดผ่านหน้าต่างแตกๆ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาคมกริบคู่สวยกวาดมองลงไปยังเบื้องล่าง ที่ลูกน้องของเขากำลังทำงานกันอย่างขมีขมัน ภายนอกและภายในโกดัง มีลูกสมุนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถืออาวุธครบมือ กระจายกำลังสอดส่องและตรวจตราพื้นที่อย่างเข้มงวด พวกเขาพร้อมที่จะรับมือกับทุกภัยคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายนอกที่อาจเข้ามาสอดแนม ก่อกวน ปั่นป่วน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จ้องจะเข้ามาจับกุมพวกเขา
ชายหนุ่มบนชั้นสอง รูปร่างสูงโปร่งสง่างามราวกับนายแบบ แม้ชุดสูทสีดำจะปกปิดรูปร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจซ่อนเร้นบ่ากว้างและแผงอกที่แน่นกระชับได้ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ราวกับถูกสลักเสลามาอย่างพิถีพิถัน จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้มที่พาดเฉียง ดวงตาคมกริบคู่นั้นดำสนิท ราวกับห้วงเหวลึก แต่ในขณะเดียวกันก็เปล่งประกายอำนาจและความเฉลียวฉลาดอย่างน่าเกรงขาม ริมฝีปากหยักได้รูปนั้น มักจะปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบที่น้อยคนนักจะกล้าสบตาโดยตรง เขาคือ อานนท์ ภูวเมธากานต์ วัย 35 ปี ราชันย์แห่งโลกใต้ดิน ผู้กุมชะตาชีวิตของผู้คนมากมายไว้ในมือเพียงข้างเดียว ภายใต้ความหล่อเหลาและท่าทางที่ดูสุขุมนั้น ซ่อนไว้ซึ่งความเหี้ยมโหดและอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด ใครก็ตามที่ขวางทางเขา... จะต้องพบกับจุดจบที่น่าสะพรึงกลัว
ทันใดนั้น ลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งชื่อ "จอม" รูปร่างกำยำ เดินขึ้นบันไดมาหยุดตรงหน้าเขา
"เรียบร้อยครับนาย สินค้าล็อตสุดท้ายกำลังถูกโหลดขึ้นรถแล้ว" จอมรายงานเสียงต่ำ
อานนท์พยักหน้าเล็กน้อย ดวงตายังคงจับจ้องไปยังความเคลื่อนไหวด้านล่าง
"ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม" เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยถาม แต่แฝงไว้ด้วยความเฉียบคม
"ทุกอย่างราบรื่นดีครับนาย ลูกน้องของเราตรวจตราพื้นที่อย่างละเอียด ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้ามาใกล้" จอมตอบอย่างมั่นใจ
อานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อย "ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหูเรื่องตำรวจชุดใหม่ที่กำลังตามสืบเรื่องของเรา"
"ผมสั่งให้ทุกคนระวังตัวเป็นพิเศษแล้วครับนาย พวกมันไม่มีทางเข้ามายุ่มย่ามที่นี่ได้แน่นอน" จอมรีบยืนยัน
อานนท์ถอนหายใจแผ่วเบา สายตาคมกริบยังคงจับจ้องไปยังความมืดมิดภายนอกโกดัง "อย่าประมาทเด็ดขาด แล้วเรื่องหนี้สิบล้านล่ะ มีความคืบหน้าบ้างไหม"
สีหน้าของจอมเปลี่ยนไปเล็กน้อย "ยังไม่มีวี่แววครับนาย พวกของเรากระจายกำลังตามหาตัวเขาอยู่ แต่เขาดันหายตัวไป หาไม่เจอเลย ไอ้แก่สารเลวนั่นมันหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้!"
อานนท์หันกลับมามองหน้าจอม ดวงตาคมกริบราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปในความคิดของลูกน้อง
"ไอ้แก่หน้าโง่นั่นมันคิดว่าหนีพ้นเงื้อมมือของฉันได้งั้นเหรอ ฉันให้เวลาพวกนายอีกไม่นาน ตามล่าตัวมันมาให้ได้ ไม่ว่ามันจะซุกหัวอยู่ที่ไหนก็ตาม หนี้สิบล้าน...ฉันต้องได้คืน แม้แต่กระดูกสักชิ้นฉันก็จะตามไปขุด!" เสียงของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
"ครับนาย! ผมจะสั่งให้ลูกน้องตามหามันให้เจอ จะลากคอมันกลับมาให้ถึงมือนาย!" จอมรีบตอบรับด้วยความหนักแน่น
อานนท์พยักหน้าอย่างพึงพอใจเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองความมืดมิดภายนอกโกดัง สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเงามืด
เมื่อภารกิจในโกดังเสร็จสิ้น อานนท์ก็ก้าวเท้าออกจากตัวอาคารไปยังรถยนต์หรูสีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ลูกน้องคนหนึ่งรีบเปิดประตูรถผู้โดยสารด้านหลังให้เขาอย่างรู้งาน อานนท์ทรุดตัวลงนั่งบนเบาะหนังนุ่มสบาย กลิ่นอับชื้นของฝนและความเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะใบหน้าคมคายของเขา
ไม่นานนัก ขบวนรถยนต์สีดำสนิททั้งหมด ซึ่งรวมถึงรถตู้ทึบอีกสามคัน ก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากโกดังเก่า มุ่งหน้าไปตามถนนลาดยางที่เปียกชื้น แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปข้างหน้า แหวกผ่านม่านฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับโลกภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและความเงียบงัน ขบวนรถแล่นไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงความทรงจำถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายและความลับดำมืดที่ถูกซุกซ่อนไว้ในโกดังร้างแห่งนั้น
ท่ามกลางความมืดมิดและบรรยากาศอันเงียบเหงาในตึกเก่า ภริตาค่อยๆ ขยับตัวอย่างเชื่องช้า เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ เปิดขึ้น ความเหน็บหนาวจากเสื้อผ้าที่ยังคงเปียกชื้น และความวิตกกังวลที่สะสมมา ทำให้เธอไม่สามารถหลับลงได้อย่างสนิท ห้วงความหวาดกลัวหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาพบกับความมืดมิดที่รายล้อม และความว่างเปล่าที่กัดกินหัวใจ เรื่องราวร้ายๆ ที่เธอพยายามจะลืมเลือน กลับเข้ามาวนเวียนในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภริตาลุกขึ้นยืนอย่างหมดเรี่ยวแรง ขาเรียวแทบจะทรุดลงกับพื้น เธอเดินไปยังซอกเล็กๆ ซอกเดิมที่เธอเคยแทรกตัวเข้ามา หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเบียดกายออกไปสู่โลกภายนอก ฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้ว เหลือเพียงละอองฝนบางเบาที่ยังคงโปรยปราย แต่ความมืดมิดของรัตติกาลยังคงปกคลุมไปทั่ว เวลาล่วงเลยไปจนเกือบตีสอง ภริตาตัดสินใจที่จะเสี่ยงเดินกลับไปยังบริเวณบ้านหลังเดิม เพื่อสำรวจว่ากลุ่มชายชุดดำยังคงเฝ้ารออยู่หรือไม่
ภริตาค่อยๆ ย่างเท้าอย่างระมัดระวังไปตามถนนที่มืดมิด แสงจันทร์สลัวลอดผ่านเมฆบางๆ ส่องให้เห็นเงาของตึกรามบ้านช่องทอดยาวอย่างน่าขนลุก สองข้างทางเงียบสนิท ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอ และเสียงย่ำเท้าเบาๆ บนพื้นคอนกรีตที่ยังคงเปียกชื้นจากสายฝนที่เพิ่งซาลง
หัวใจของภริเต้นระรัวในอก ความกังวลและความหวาดกลัวยังคงเกาะกุมจิตใจ เธอไม่รู้ว่าอะไรกำลังรออยู่ข้างหน้า กลุ่มชายชุดดำเหล่านั้นยังคงเฝ้ารอเธออยู่ที่บ้านหลังนั้นหรือไม่ หรือว่าพวกเขาอาจจะกำลังซุ่มรอเธออยู่ตามรายทาง ความคิดเหล่านี้ทำให้เธอต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวาดระแวง สายตากวาดมองไปรอบทิศทางอย่างไม่วางตา
ในความมืดมิดและความเงียบสงัดนี้ ภริตารู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความมุ่งมั่นเล็กๆ ที่ยังคงผลักดันให้เธอก้าวเดินต่อไป เธอต้องรู้ เธอต้องเห็นด้วยตาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอ และเธอจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ความจำเป็นที่จะต้องหาทางออกและปกป้องตัวเอง ทำให้ความกลัวค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า แม้ว่ามันจะมืดมิดและน่าสะพรึงกลัวเพียงใดก็ตาม