ตอนที่ 1: ราตรีทมิฬใต้สายฝน
ความมืดมิดปกคลุมทั่วบริเวณ สายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีดำสนิท เม็ดฝนกระทบหลังคาคอนกรีตเก่าของบ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็กที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ห่างไกลจากแสงสีของตัวเมือง ผนังปูนซีดมีรอยร้าวตามยาวเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝน สีที่เคยทาไว้ลอกล่อนเป็นวงด่างยิ่งดูอึมครึมภายใต้ความมืดมิด กระจกหน้าต่างบางบานมีรอยร้าวเล็กๆ หยดน้ำเกาะพราว หลังคาคอนกรีตมีคราบดำของตะไคร่เปียกชื้น บรรยากาศเงียบสงัดวังเวง ราวกับถูกทอดทิ้งมานาน
รอบตัวบ้าน วัชพืชสูงรกเรื้อโบกไหวอย่างน่ากลัวตามแรงลมที่พัดกระโชกเป็นระยะ สนามหญ้าแห้งกรังเปียกปอน ทางเดินปูนซีเมนต์แตกเป็นร่อง มีน้ำขังเป็นแอ่งสะท้อนแสงไฟจากรถยนต์ที่แล่นผ่านไปไกลๆ ต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ แผ่กิ่งก้านดำมืดภายใต้สายฝน
ท่ามกลางความมืดมิดและสายฝนที่โปรยปราย กลับปรากฏเงาเคลื่อนไหวที่น่าหวาดหวั่น กลุ่มชายฉกรรจ์สวมชุดสูทสีดำสนิท ยืนกระจายตัวอยู่รอบบ้านอย่างเงียบเชียบ ร่มสีดำสนิทถูกกางเหนือศีรษะแต่ละคน ป้องกันสายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แสงไฟหน้ารถที่สาดส่องมาเป็นครั้งคราว เผยให้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมและดวงตาที่จับจ้องไปยังบ้านหลังเล็กอย่างไม่ลดละ การเคลื่อนไหวของพวกเขาไร้สุ้มเสียง แต่แฝงไว้ด้วยความตึงเครียด ราวกับกำลังเฝ้ารอเหยื่อที่จะปรากฏตัว
ภริตา วรเวทย์ วัย 25 ปี แนบกายชิดอยู่หลังพุ่มไม้ทึบริมรั้วเก่า เสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่ซึมผ่าน ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังบ้านหลังนั้นด้วยความหวาดระแวง แสงไฟจากรถยนต์ที่แล่นผ่านวูบวาบ เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวและหยาดน้ำตาที่ยังคงคลอหน่วย ภาพกลุ่มชายชุดดำภายใต้ร่มสีดำที่รายล้อมบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเธอ ตอกย้ำความจริงอันโหดร้าย พวกเขากลับมาแล้ว ในความมืดมิดและสายฝนที่โหมกระหน่ำ และพวกเขากำลังตามหาเธอ ความกลัวเย็นเยียบเกาะกุมหัวใจ จนเธอแทบกลั้นหายใจ
ในความมืดมิดและเสียงเม็ดฝนที่ซู่ซ่า ภริตาตัดสินใจเสี่ยง เธอค่อยๆ คลานต่ำออกจากที่ซ่อน เคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงใบไม้เปียกใต้ฝ่ามือเธอราวกับเสียงกระซิบแห่งความตาย เธอรู้ว่าหากถูกพบเห็น นั่นหมายถึงจุดจบ อิสรภาพของเธอจะถูกพรากไปตลอดกาล
เมื่อพ้นจากรั้วบ้าน ภริตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เงาของเธอเลือนรางไปกับสายฝนที่ตกหนักขึ้น แสงไฟจากรถยนต์ที่แล่นผ่านวูบวาบเป็นครั้งคราว ส่องนำทางไปยังตึกเก่าทรุดโทรมที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อถึงที่กำบัง เธอทรุดตัวลง หอบหายใจอย่างหนักหน่วง มือสั่นเทาควานหาโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่า หน้าจอแตกเป็นลายงา กดไปยังรายชื่อที่คุ้นเคย นิ้วเรียวเปียกชื้นแตะหน้าจอซ้ำๆ ด้วยความร้อนรน รอสายด้วยความกระวนกระวายใจราวกับมีปีศาจไล่หลัง ปลายสายยังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังซ้ำๆ ในหูของเธอ
ชายร่างท้วมคนหนึ่ง เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือที่ส่งสัญญาณสั่นเตือนเบาๆ จากกระเป๋าเสื้อขึ้นมา ดวงตาคู่เล็กเหลือบมองหน้าจอ ปรากฏชื่อ "ลูกสาว" สว่างวาบขึ้นมา แววตาที่เคยดูใจดีกลับฉายชัดถึงความวิตกกังวลและความหวาดหวั่นอย่างปิดไม่มิด เขาเม้มริมฝีปากหนาแน่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจไม่กดรับสาย
ชายร่างท้วมนั่งขดตัวอยู่ในมุมอับลมบนเรือสินค้าเก่าคร่ำครึ ที่กำลังแล่นฝ่าคลื่นลมไปยังดินแดนอันไกลโพ้น แสงไฟสลัวจากหลอดนีออนที่สั่นไหวตามแรงกระแทกของคลื่น สาดส่องให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยความทุกข์ระทม เขาจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพร้อมกับความขมขื่น ทิ้งปัญหาและหนี้สินราวกับภูเขา ที่ตกอยู่บนบ่าเล็กๆ ของลูกสาวบุญธรรม...ภริตา
แม้ในใจจะยังคงเป็นห่วงและกังวลถึงความปลอดภัยของภริตาเพียงใด ภาพใบหน้าเศร้าสร้อยของลูกสาวยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด แต่ความจริงอันโหดร้ายก็ฉุดรั้งเขาไว้ หนี้สินจำนวนสิบล้านบาทที่เขาก่อไว้กับเจ้าพ่อมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล ราวกับโซ่ตรวนที่พันธนาการเขาไว้ ไม่ให้กล้าหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับการตามล่าของเหล่าสมุนมาเฟีย
ความรักตัวกลัวตายนั้นมันรุนแรงเกินกว่าความผูกพันที่มีต่อภริตา เขาเลือกที่จะหนี…หนีออกนอกประเทศไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง ทิ้งให้ภริตาต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เขาเป็นผู้ก่อขึ้นแต่เพียงลำพัง
เมื่อไม่มีการตอบรับจากปลายสาย ภริตาจึงถอนหายใจสะอื้น กดวางสายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกทิ้งไว้กลางทะเลทราย
"พ่อนะพ่อทำไมทำกับหนูอย่างนี้" เสียงคร่ำครวญแผ่วเบา หลุดจากริมฝีปากสั่นเทาของเธอ "แล้วหนูจะอยู่ยังไง..."
ภริตาก้มหน้าลง มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับมืด ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเปรอะเปื้อนไปกับเสื้อผ้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝน เธอเดินโซซัดโซเซเข้าไปในซากตึกเก่า ผ่านช่องแคบๆ ที่พอให้ร่างเล็กๆ ของเธอแทรกตัวเข้าไปได้ ภายในมืดมิดและเย็นเยียบ กลิ่นอับชื้นและฝุ่นละอองคลุ้งไปทั่ว
เธอทรุดตัวลงบนพื้นปูนเย็นเยียบ ขดตัวกอดเข่าแน่น ความอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจถาโถมเข้าใส่จนยากจะทานทน น้ำตายังคงไหลรินอาบแก้ม เธอไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะมีใครตามมาหรือไม่ จะมีทางออกสำหรับเธอหรือไม่ ความมืดมิดรอบกายราวกับอนาคตที่ไร้ซึ่งความหวัง ในที่สุด เปลือกตาหนักอึ้งก็ปิดลง พร้อมกับความเหนื่อยอ่อนที่กล่อมเกลาให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่ารุ่งอรุณใหม่จะนำมาซึ่งความหวัง หรือความสิ้นหวังที่ดำมืดยิ่งกว่าเดิม...