EP 05
จนตรอก
10.50 P.M.
โรงพยาบาล
“ใครเป็นอะไรกันนะ” โทซองรำพึงรำพันพลางเปิดประตูรถแล้วเดินตามชินซองเข้าไปในโรงพยาบาล
ก่อนหน้านี้โทซองขับรถตามยองวอนมาตั้งแต่ที่เห็นว่ายองวอนมีท่าทีร้อนใจหลังจากที่กดรับโทรศัพท์จากใครสักคน จากนั้นยองวอนก็วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ซึ่งเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ทั้งชินซองและโทซองก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่น่าจะสู้ดีนัก
“ยองวอน”
เสียงใครสักคนตะโกนเรียกยองวอนดังมาจากหน้าเคาน์เตอร์ ยองวอนชะงักฝีเท้าในฉับพลันก่อนจะรีบเดินตรงไปหาเพื่อนสนิทที่กำลังรอเขาอยู่ในทันที
“บอนซอง”
“รู้จักเหรอ” โทซองกระซิบกระซาบถาม
ชินซองพยักหน้าหนึ่งครั้งแทนคำตอบ สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่ยองวอนและบอนซองที่กำลังยืนมองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“อยู่ในห้องไอซียูน่ะ เมื่อกี้นี้อยู่ๆ ยองแอก็ช็อกไป หัวใจหยุดเต้นไปเกือบนาที หมอปั๊มหัวใจขึ้นมา ตอนนี้โดยรวมพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องให้หมอดูอาการอย่างใกล้ชิด คงต้องพักที่ไอซียูสักสองสามวัน”
คำอธิบายจากบอนซองทำให้ยองวอนถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง ท่าทางอิดโรยของเขาทำให้คนที่แอบมองอยู่ถึงกับกัดฟันกรอด ถึงชินซองจะรู้ว่าการกลับมาของยองวอนจะต้องเป็นเพราะต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าสถานการณ์มันจะแย่และหนักหนาสาหัสขนาดนี้
เพราะหนักมากขนาดนี้ยองวอนถึงได้กล้าเสนอตัวให้เขาสินะ การถูกเปลี่ยนมันคงเป็นความหวังเดียวของยองวอน ชินซองจับต้นชนปลายได้ในทันที แม้จะยังไม่รู้ถึงรายละเอียดที่ลึกลงไปก็ตาม
“ยองแอปลอดภัยแล้ว”
“อืม เดี๋ยวฉันจะคุยกับหมอสักหน่อย นายกลับไปพักเถอะ วันนี้นายอยู่ดูแลยองแอมาทั้งวันแล้ว ฉันจะอยู่ต่อเอง” ยองวอนฝืนยิ้มทั้งที่ยังไม่พยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ
บอนซองยิ้มจาง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ยองวอนพลางเอื้อมมือไปตบบ่ายองวอนเป็นการให้กำลังใจแบบที่ชอบทำมาเสมอแทนการเดินกลับออกไปตามที่ยองวอนบอก
“นายเองก็ควรจะพักบ้างยองวอน ยังไงซะสองสามวันนี้ยองแอก็ยังออกจากไอซียูไม่ได้หรอก นายควรจะเชื่อใจหมอ”
“ฉัน...”
“ยองแออยากเห็นนายยิ้มเพื่อน แต่สภาพตอนนี้นายดูไม่ได้เลยว่ะ ฉันว่านายควรจะกลับไปพัก ไปเถอะ ฉันไปส่ง” บอนซองตัดบทอย่างต้องการจะมัดมือชก เขารู้ว่ายองวอนจะไม่ยอมกลับเพราะเป็นห่วงยองแอมาก แต่การดูแลตัวเองให้แข็งแรงก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าหากยองวอนล้มป่วยไปอีกคน สถานการณ์มันอาจยิ่งแย่ไปกันใหญ่
“ขอบใจ ถ้างั้นนายไปรอที่รถก่อนก็ได้ ฉันอยากคุยกับหมอให้แน่ใจ”
“ได้สิ” บอนซองยิ้มอีกครั้งเมื่อสามารถโน้มน้าวใจยองวอนได้สำเร็จ สีหน้าที่เหนื่อยล้าของยองวอนทำให้เขารู้สึกหดหู่ อยากจะช่วยเหลือให้ได้มากกว่านี้ แต่ที่ทำอยู่ก็เต็มความสามารถที่สุดเท่าที่เพื่อนอย่างเขาจะสามารถทำได้แล้วจริงๆ
บอนซองผละตัวออกมา ตั้งใจจะเดินไปรอยองวอนที่ลานจอดรถ ส่วนยองวอนก็แยกตัวออกไปที่ลิฟต์เพราะต้องกลับขึ้นไปที่ชั้นบนเพื่อพบกับหมอประจำตัวของยองแอ อาการของยองแอคือสิ่งที่ทำให้เขากังวล และคงจะนอนไม่หลับถ้าหากไม่ได้รับคำอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้ววันพรุ่งนี้ยังมีโอกาสจะเกิดอะไรขึ้นอีก แล้วเขาควรจะทำยังไงต่อไป
ตลอดเวลาที่ยองแอเข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล สิ่งที่ยองวอนได้เรียนรู้ก็คือทุกวินาทีที่กำลังเดินไปข้างหน้ามีค่ามากเหลือเกิน เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด
“หวัดดีบอนซอง เราไม่เจอกันนานเลยนะ” ชินซองที่เดินย้อนกลับมาดักรอบอนซองอยู่ที่โถงทางเดินที่เชื่อมระหว่างตัวตึกไปยังลานจอดรถก้าวออกมาเผชิญหน้ากับบอนซองอย่างตั้งใจ ดวงตาของบอนซองเบิกโพลงเมื่อไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะได้พบเจอกับชินซองในสถานการณ์แบบนี้
“พี่ชินซอง”
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย”
“คือผม...”
“ฉันรู้ว่านายเป็นคนเอานามบัตรฉันให้กับยองวอน เพราะฉะนั้นนายคงรู้ว่าเขากำลังต้องการฉัน” ชินซองดักทางอย่างรู้ทัน เพราะถ้าหากจะมีใครสักคนที่สามารถบอกข่าวเรื่องของยองวอนกับเขาได้ ก็คงมีเพียงแค่ลีบอนซองคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
เหตุผลข้อแรกคงเป็นเพราะยองวอนมีเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คน และชินซองรู้ดีว่าลีบอนซองคนนี้คือเบอร์หนึ่งที่ยองวอนไว้ใจ ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือลีบอนซองเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของลีวังซอง ประธานกรรมการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่วังซองกรุ๊ป หนึ่งในพันธมิตรของชินกรุ๊ป ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่บอนซองจะสามารถมีนามบัตรของเขาอยู่ในมือ
“ครับ ยองวอนน่าจะคุยกับหมอราวๆ ครึ่งชั่วโมง” บอนซองบอกอย่างนั้น
ชินซองกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินนำบอนซองไปที่รถของเขาที่ก่อนหน้านี้โทซองเองก็ขับมาจอดเอาไว้ใกล้กันกับรถของบอนซองโดยบังเอิญ ทั้งคู่แยกย้ายกันเข้าไปนั่งในรถโดยไม่รอให้เสียเวลา ก่อนที่ชินซองจะเริ่มถามคำถามแรกที่ถึงแม้สีหน้าของบอนซองจะแสดงออกชัดเจนว่าลำบากใจ แต่ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะพูดเท่าที่เขารู้ว่าสามารถพูดออกไปได้ ส่วนอะไรที่ไม่ควรพูด เขาก็จะไม่มีทางหักหลังยองวอนเด็ดขาด แม้ว่ามันจะเป็นความหวังดีก็ตาม แต่ถ้าคนรับไม่ต้องการ มันอาจจะทำให้เขาเสียเพื่อนอย่างยองวอนไป
“ฉันคิดว่านายรู้อยู่แล้วว่าฉันจะถามอะไร”
“ครับ แต่ผมบอกพี่ไม่ได้ทั้งหมดหรอก พี่ก็น่าจะรู้ว่ายองวอนไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย”
“หมายถึงนายหรือฉันล่ะ ถ้านายคิดว่าฉันกำลังวุ่นวายอยู่ก็ขอให้นึกย้อนกลับไปถึงนามบัตรที่นายหยิบยื่นให้เพื่อนของนายด้วยบอนซอง เพราะนั่นหมายถึงการที่นายเปิดโอกาสให้ฉันเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้”
ไหวพริบของชินซองทำงานได้ดีเสมอ ยิ่งการต้อนมนุษย์ที่ถูกจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อารมณ์รุนแรงและควบคุมมันไม่ค่อยจะได้ให้จนมุมยิ่งเป็นเรื่องที่เขาถนัด สังเกตได้จากสีหน้าที่เริ่มอึดอัดของบอนซองในเวลานี้
“ครับ ก็จริงของพี่ เอาเป็นว่าผมจะพูดเท่าที่ผมรู้ และ...คิดว่ามันจะทำให้อะไรดีขึ้นมาบ้างก็แล้วกัน”
“ฉันฟังอยู่” น้ำเสียงเย็นชาของชินซองทำให้บอนซองนึกหนักใจ แต่ยังไงซะก็คงไม่ผิดถ้าเขาจะบอกให้ชินซองรู้เรื่องของยองแอ เพราะยองวอนเองก็ตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากชินซองเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ยองแอป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันครับ เธอ...”
“ยองแอเป็นใคร” ชินซองถามแทรกอย่างนึกสงสัย เขาสังเกตเห็นว่าบอนซองมีสีหน้าลำบากใจเพิ่มมากขึ้นมาเมื่อได้ยินคำถาม
“ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องตอบ เล่าต่อสิ”
“ยองแอเป็นน้องสาวของยองวอนครับ” บอนซองตัดสินใจบอกเมื่อท่าทีขึงขังของชินซองทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าชินซองน่าจะกำลังเข้าใจผิด และอย่างน้อยท่าทีแบบนั้นของชินซองก็พอจะทำให้บอนซองใจชื้นขึ้นมาได้นิดหน่อยว่าชินซองน่าจะยังพอมีเยื่อใยกับยองวอนอยู่บ้าง
“น้องสาวงั้นเหรอ” น้ำเสียงแปลกใจของชินซองทำให้บอนซองต้องพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่าง
“เธอเพิ่งอายุเก้าขวบน่ะครับ”
ชินซองเงียบกริบ ในสมองกำลังคำนวณหาความสัมพันธ์ของยองวอนและยองแอเท่าที่พอจะเป็นไปได้
ชินซองจำได้ว่าตอนที่เขาพบกับยองวอนตอนนั้นยองวอนก็น่าจะอายุประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี หลังจากนั้นอยู่ๆ ยองวอนก็หายไป นับจากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็เก้าปี นั่นแปลว่าเธอน่าจะเกิดหลังจากที่เขาไม่ได้พบกับยองวอนแล้ว เขาถึงได้ไม่เคยรู้มาก่อนว่ายองวอนมีน้องสาว
“เล่าต่อสิ” ชินซองเปิดโอกาสให้บอนซองพูดอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็ดูมีท่าทีกระตือรือร้นที่จะเล่ามากขึ้นกว่าเมื่อตอนก่อนหน้านี้พอสมควร อาจเป็นเพราะบอนซองเองก็พอจะจับความรู้สึกของชินซองที่มีต่อยองวอนได้ เขาจึงเริ่มรู้สึกไว้ใจ จากก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มั่นใจว่าชินซองจะทำยังไงถ้าหากได้พบเจอกับยองวอนอีกครั้ง
“เมื่อสามเดือนก่อนยองแอตรวจพบเชื้อมะเร็งครับ เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หลังจากตรวจพบแล้วเธอก็เข้ารับการรักษาทันทีแต่ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้น ร่างกายของเธอตอบสนองกับตัวยาไม่ดีเท่าที่ควรทำให้ต้องเปลี่ยนยาไปหลายชุด แถมช่วงแรกยังติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้ต้องพักการรักษาเพื่อให้ร่างกายของเธอฟื้นตัวด้วย ทุกอย่างล่าช้าไปหมดจนเหมือนเป็นโอกาสให้มะเร็งมันลุกลาม หมอต้องดูแลอย่างใกล้ชิดมาตลอด”
คำบอกเล่าจากบอนซองทำให้ชินซองนึกถึงคำพูดของยองวอนขึ้นมา...
‘ต้องจนตรอกแค่ไหนนายถึงได้เดินมาเสนอตัวให้ฉัน’
‘มากจนพี่อาจคิดไม่ถึง เพราะผมเองก็ยังคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะต้องทำแบบนี้’
ก่อนหน้านี้ชินซองคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายของคำว่าจนตรอกได้ดี กระทั่งได้รับรู้เรื่องราวของยองวอน มันไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจเพียงแค่ความหมายของคำคำนั้น แต่กลับเป็นการเข้าใจถึงความรู้สึกของมัน เพียงแต่คงไม่มีทางรู้ซึ้งเท่ากับยองวอนแน่ๆ
“ยองแอเริ่มไอเป็นเลือด ถ่ายเหลว มีรอยฟกช้ำตามตัว ผมก็เรียงลำดับไม่ถูกหรอกครับว่าเธอมีอาการอันไหนก่อนหลัง รู้แต่ว่าทั้งหมดเป็นผลมาจากการทำคีโม ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่า...จะหาย” บอนซองเว้นช่วงไปนิดหน่อยก่อนจะพยายามพูดจนจบ สีหน้าและน้ำเสียงของบอนซองบอกชินซองได้ดีว่าเขาเองก็คงรู้สึกผูกพัน รักและเอ็นดูยองแอมากพอๆ กับที่ยองวอนรู้สึก
“แล้วหมอว่ายังไง”
คำถามของชินซองทำให้บอนซองยิ้มขื่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ซึ่งชินซองก็พอจะสัมผัสได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดี
“หมอบอกว่าโอกาสรอดของยองแอ...”
“ช่างเถอะ ฉันคิดว่าฉันเข้าใจแล้ว” ชินซองเลือกจะจบความอยากรู้เรื่องของยองแอเพียงเท่านั้นเพราะเขาไม่อยากจะรู้สึกหดหู่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“แล้วคุณป้าล่ะ เมื่อกี้ฉันก็ไม่เห็นเธอเลย เห็นแต่นายกับยองวอนแค่สองคน”
“แม่ของยองวอนเสียไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้วครับ”
ห้าปีก่อนงั้นเหรอ แบบนี้ก็เท่ากับว่ายองวอนอยู่ตามลำพังกับยองแอมาตลอดสี่ปีหลังจากที่แม่เสียงั้นเหรอ
“แล้วพ่อของยองแอล่ะ” ชินซองยังคงไม่หยุดถาม สิ่งเดียวที่เขาต้องการรู้ก็คือทำไมถึงได้มียองวอนคนเดียวที่วิ่งเต้นกับเรื่องนี้
“เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ ไม่เคยถาม ไม่เคยเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ แล้วยองวอนเองก็ไม่เคยพูดถึงด้วย เคยได้ยินมันปลอบยองแอครั้งหนึ่งตอนงานวันพ่อที่โรงเรียนของยองแอว่าพ่ออยู่บนสวรรค์ ตอนนั้นยองแอน่าจะห้าขวบ คุณป้าเพิ่งเสียเมื่อไม่นานครับ” บอนซองเล่ายิ้มๆ
ชินซองพยักหน้าสองสามครั้งก่อนจะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดให้แน่ใจอีกครั้ง หวังว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดหรือขาดข้อมูลตรงไหนที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ไป ซึ่งก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าจะทำยังไงต่อ
“พี่จะช่วยยองวอนรึเปล่าครับ” บอนซองเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวังไม่ต่างจากสายตาของยองวอนที่มองเขาเมื่อชั่วโมงก่อน
“นายอยากให้ฉันช่วยรึเปล่าล่ะ”
“ตอบยากจังครับ ใจหนึ่งก็อยาก แต่อีกใจ...ก็ไม่” บอนซองตอบอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งชินซองรู้และเข้าใจดีถึงเหตุผลที่บอนซองไม่ได้พูดมันออกมา
ไม่มีใครอยากมีเพื่อนเป็นแวมไพร์หรอก เพราะชีวิตจริงมันไม่ได้สวยหรูอย่างในนิยายหรือในซีรีส์แน่ๆ
“ฉันจะลองหาวิธีอื่นดูก็แล้วกัน” ชินซองบอกเสียงเรียบ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางปากระบายความอึดอัดในอก แม้จะช่วยไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยๆ เขาก็พอจะจับต้นชนปลายได้ถูกแล้ว
‘ผม...อยากเป็นของพี่...อย่างลึกซึ้ง’
อีกหนึ่งประโยคของยองวอนที่ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวของชินซอง เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมยองวอนถึงได้กล้าที่จะพูดแบบนั้นออกมา เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมศักดิ์ศรีของยองวอนถึงได้กองอยู่แทบเท้าเขาอย่างง่ายดายเหลือเกิน ทั้งหมดก็เพื่อน้องสาวอันเป็นที่รัก เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของบอนซอง ทั้งชีวิตของยองวอนในตอนนี้ก็แทบไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากเธอ และเพื่อนรักอย่างบอนซอง
“พี่มีอะไรจะถามผมอีกรึเปล่าครับ” บอนซองถามขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ
ชินซองหันไปมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักศึกษาในคลาสของเขาเมื่อครั้งสมัยที่ยังพอมีเวลาไปช่วยบรรยายที่มหา’ลัยแล้วส่ายหัวปฏิเสธ มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยเพื่อรักษามิตรภาพที่สำหรับเขาแล้วมันยังคงงดงาม แม้จะมีบางช่วงเวลาที่เคยคิดว่าทำหล่นหายไปจากชีวิตแล้วก็ตาม
“ไม่ถามแน่เหรอครับ”
“ไม่ นายไปเถอะ ถ้ายองวอนลงมาเห็นนายคุยกับฉัน นายจะลำบากใจเปล่าๆ” ชินซองรีบบอก ทั้งที่เขารู้ดีแก่ใจว่าบอนซองชี้นำให้เขาถามเพราะอยากจะเล่า แต่ก็เพราะรู้นั่นแหละ เขาถึงไม่ถาม
“ครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อน ขอบคุณแทนยองวอนกับยองแอล่วงหน้านะครับพี่ ถ้ามีโอกาส ผมอยากให้พี่ไปเจอยองแอดูสักครั้ง เธอน่ารักมากครับ แล้วก็เข้มแข็งเหมือนยองวอนมากทีเดียว” บอนซองบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูรถพลางก้าวเท้ากลับลงไป
“เดี๋ยวบอนซอง”
“ครับพี่” ท่าทีกระตือรือร้นที่จะหันกลับมาของบอนซองทำให้ชินซองยกมุมปากขึ้นยิ้มอีกครั้ง ก่อนที่จะต้องปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมเพื่อแสดงออกให้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้เรียกเพื่อจะถามในสิ่งที่บอนซองคงอึดอัดใจและกำลังอยากจะพูด แค่อยากจะถามอะไรที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้อีกเรื่องเท่านั้น
“ยองวอนพักอยู่ที่ไหน”
ท่าทางห่อเหี่ยวลงของบอนซองบ่งบอกว่าเขาผิดหวังมากจริงๆ ที่ชินซองไม่ได้ถามอะไรแบบที่เขาแอบคิดและดีใจล่วงหน้าเอาไว้
“อะพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ นี่แหละครับ เพิ่งย้ายมาได้สองเดือนเพราะยองวอนอยากไปกลับโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด”
ก็เป็นความคิดที่ดี เพราะเจ้าตัวคงรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นแน่ๆ
“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ”
“บ้านเช่าเล็กๆ ที่ชานเมืองน่ะครับ แต่ขายไปแล้วก่อนที่คุณป้าจะเสีย”
“ขาย?”
“อ้อ ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยครับว่าคุณป้าเองก็เสียเพราะโรคมะเร็งเหมือนกัน”
ให้ตายสิ ตลอดเก้าปีที่หายหัวไป เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของนายกันแน่นะคิมยองวอน
“บอนซอง”
“ครับพี่ พี่จะถามพี่ก็ถามเถอะ ถ้าพี่ไม่ถาม ผมจะบอกแล้วนะ”
เป็นอีกครั้งที่ท่าทีอึดอัดใจของบอนซองทำให้ชินซองหลุดยิ้ม
“เอาเป็นว่าฉันไม่ถาม แต่ถ้านายอยากจะพูดก็พูดมา เร็วๆ ล่ะ ยองวอนออกจากลิฟต์แล้ว” ชินซองบอกใบ้ เขารู้เพราะว่าโทซองส่งข้อความมาบอกน่ะ ก่อนหน้านี้เขาแยกกับโทซองเพราะเขาต้องการจะมาคุยกับบอนซอง ส่วนโทซองก็แยกไปแอบฟังรายละเอียดที่ยองวอนคุยกับหมอ แล้วก็มีหน้าที่ดูต้นทาง ถ้าหากว่ายองวอนเดินออกมาแล้วให้รีบรายงานให้ชินซองรู้ทันที
“ตกลงจะไม่พูดใช่มั้ยบอนซอง” ชินซองแกล้งเร่งเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนลำบากใจที่จะพูดทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดูคันปากอยากจะพูดอยู่เลย
“ผมไม่แน่ใจหรอกครับว่าที่ผมคิดมันจะถูกรึเปล่า แต่ตลอดเวลาที่ยองวอนหนีพี่มา ผมไม่เคยเห็นเขามีความสุขเลย”
ชินซองไม่แน่ใจนักว่าเขาควรรู้สึกยังไงเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากปากของบอนซอง จึงทำได้เพียงแค่ยิ้ม
“ผมอยากเห็นยองวอนกลับมายิ้มได้อีกสักครั้ง พี่เองก็น่าจะอยากเห็นใช่มั้ยครับพี่ชินซอง”
“นายไปรอยองวอนที่รถเถอะ แล้วฉันจะลองหาทางช่วยดู”
“ครับ ขอบคุณที่พี่รับฟัง” บอนซองบอกลายิ้มๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินกลับไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้กันกับประตูทางออก ซึ่งต้องเดินย้อนกลับไปนิดหน่อย และระหว่างที่ชินซองมองตามแผ่นหลังของบอนซองไปนั้น ยองวอนก็กำลังเดินตามออกมาพอดี โชคดีที่บอนซองเดินถึงตัวรถไปก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีแล้วเหมือนกัน
ยากจะหาเหตุผลว่าทำไมก้อนเนื้อในอกของชินซองถึงได้เต้นแรงขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นดีใจ ก็อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นฉับพลันเพียงเพราะเขารู้ตัวดีว่าเขาทำทุกอย่างในทางตรงกันข้ามกับยองวอนมาตลอด
ถ้าทุกอย่างเป็นแบบที่บอนซองเล่ามา ชินซองก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมยองวอนถึงได้เลือกจะบากหน้ากลับมาหาเขา แต่ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนั้น ทำให้ชินซองเกิดคำถามในใจขึ้นมาว่าถ้าหากว่ายองวอนไม่ได้กำลังจนตรอก เขาจะได้มีโอกาสพบกับยองวอนอีกรึเปล่า
ในขณะที่ใจหนึ่งก็ให้อภัยอย่างง่ายดาย แต่อีกใจกลับไม่สามารถแกล้งลืมคำถามที่เกิดขึ้นได้เลย
ไม่นานโทซองก็เปิดประตูเข้ามานั่งที่เบาะด้านข้างคนขับ เพราะตอนนี้ชินซองนั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยรถแทนที่เขาไปเรียบร้อย สีหน้าของโทซองต่างไปจากโทซองคนเดิมจนชินซองสัมผัสได้ว่าสถานการณ์และเรื่องราวที่โทซองกำลังจะเล่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดี
ยังจะมีอะไรแย่ไปกว่าที่น้องสาวเพียงคนเดียวและเปรียบเสมือนทุกอย่างในชีวิตกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง และไม่มีโอกาสหาย สิ่งที่บอนซองพูดไม่จบเพราะชินซองไม่ได้อยากจะฟัง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะคาดเดาไม่ได้
ยองแอ...กำลังจะตาย ทุกคนรู้ดี แม้แต่ยองวอนเองก็น่าจะเข้าใจถึงข้อนี้ เพียงแต่เขาเลือกจะปิดกั้นมัน