ฉันเลือกอะไรไม่ได้ เลยต้องจำยอมเดินลงมาหาอะไรกินที่ 7-11 คนเดียวเพราะไม่สามารถที่จะทนต่อพิษของความหิวได้ จะยืนรอให้เขาเห็นใจหรือสงสารก็คงได้หิวไส้ขาดตายซะก่อน
ร้าน 7-11 อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของฉันค่ะ ใกล้ ๆ นี่เอง เดินไปประมาณห้าสิบเมตรก็ถึงแล้ว
ฉันเดินเลือกซื้อของกินในร้านเสร็จก็เดินกลับมาที่คอนโด ฉันซื้อของมาเยอะมากเพราะกะจะกินให้พุงกางไปเลย ไม่อิ่มฉันก็ไม่ยอมนอนอ่ะบอกเลย
แต่เดินมาถึงตรงล็อบบี้คอนโดฉันก็ปะเข้ากับพี่เอ็กซ์คิวที่ยืนทำหน้านิ่งพลางจ้องมองมาที่ฉันด้วยแววตาที่ไม่สบอารมณ์ตามสไตล์ของเขา ฉันมองสำรวจร่างกายของเขาก็เห็นว่าเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เป็นชุดสบาย ๆ ฮู้ดสีดำและกางเกงขาสั้น
ไหนบอกง่วง จะนอนแล้วไง แล้วมายืนทำแป๊ะอะไรตรงนี้ พูดแล้วก็รู้สึกเคืองอยู่นะ เฮอะ!
ฉันเปรยสายตามองเขาเล็กน้อยแล้วเดินผ่านหน้าเขามาแบบไม่ทักไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไป หรือจะเรียกว่าทำเป็นเมินเขานั่นแหละ
“เดี๋ยว!” เขาพูดทักขึ้นก่อน ทำให้ฉันที่กำลังเดินอยู่ต้องหยุดชะงักฝีเท้าทันที ก่อนจะหันไปมองหน้าเขา
“มีอะไร!?” ฉันแกล้งพูดกระแทกเสียงใส่เขาไป เขาทำหน้าอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติภายในระยะเวลาไม่ถึงห้าวินาที
“เดินไปคนเดียว?”
“ก็ใช่สิ จะให้เดินไปกับหมาที่ไหนล่ะ” ฉันตอบไปแบบกวน ๆ กึ่งประชดนิดหน่อย นิดหน่อยจริง ๆ
“แล้วทำไมไม่รอ”
“รออะไร?” เขาให้ฉันรออะไร?
“ฉันคิดว่าเธอจะรอฉันอยู่หน้าห้อง” เขาพูดออกมาเบา ๆ แล้วหลบสายตาของฉัน ทำเอาฉันงง
“พี่ไม่ได้บอกให้พิ้งค์รอนิ่” ฉันย้อนกลับไป
จริง ๆ นะ เขาไม่ได้บอกให้ฉันรอ แถมปิดประตูใส่หน้าฉันอีก
“เฮ้อ~ ช่างมันเถอะ” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเดินผ่านหน้าฉันไปกดลิฟต์
“พี่หมายความว่าไงเนี่ย!?” ฉันเดินตามมาถามเขาด้วยความอยากรู้ เพราะฉันไม่เข้าใจที่เขาพูดแบบมาก ๆ แถมการกระทำของเขาก็ดูน่าสงสัย จนฉันสับสนงุนงงไปหมดแล้ว
รออะไร เขาอยากให้ฉันรองั้นเหรอ? แต่เขาไม่ได้บอกนะ ฉันจะไปตรัสรู้เองได้เหรอ!?
“ฉันบอกว่าช่างมันเถอะ” เขาพูดออกมาด้วยเสียงเนือย ๆ ประกอบกับเป็นจังหวะที่ลิฟต์เปิดออกพอดี เขาจึงรีบก้าวเดินเข้าไปก่อน ฉันจึงรีบเดินตามเข้ามาติด ๆ อย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเขาจะปิดลิฟท์ใส่หน้าอีกรอบ
“เมื่อกี้พี่กะจะพาพิ้งค์ลงมาซื้อของเหรอ?” ฉันถามเขาขึ้นอีกครั้งในตอนที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เราสองคนอยู่ชั้น 15 และคอนโดนี้มี 20 ชั้น
“......” เขาไม่ตอบแต่เบือนหน้าหนีฉันไปอีกทาง
“ใช่ป่ะ?” ถ้าไม่ได้รับความกระจ่างฉันก็จะไม่หยุดเซ้าซี้
“......” เขาไม่ตอบยืนนิ่งเงียบ คล้ายไม่อยากเสวนากับฉัน แต่ถามว่าฉันหยุดไหม ก็ไม่นั่นแหละ
“หรือว่าพี่กะจะเอาของในห้องมาให้พิ้งค์กิน?” ฉันเอียงคอถาม ก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าไปมองหน้าเขาแบบใกล้ ๆ เพราะเขาไม่ยอมตอบอะไรออกมาเลยสักคำ
ตริ่ง! (เสียงลิฟต์เปิด)
พี่เอ็กซ์คิวไม่ตอบคำถามของฉันเลยตั้งแต่ขึ้นลิฟต์จนกระทั่งมาถึงชั้น 15 ที่เราสองคนอยู่
พอลิฟต์เปิดออกปั๊บเขาก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากลิฟต์ทันที ไม่สนใจฉันเลยสักนิดเดียว เห็นฉันเป็นอากาศธาตุหรือไงพอภูเขาน้ำแข็ง!
ฉันเดินตามเขามาติด ๆ จนมาถึงหน้าห้องของเรา ฉันไม่ได้มุ่งตรงไปที่ห้องของตัวเอง แต่ยืนทำหน้าสลอนอยู่หน้าห้องของเขาแทน
“อะไร?” เขาหันมาหรี่ตาถามฉันที่ยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ข้างเขาและไม่ยอมเข้าห้องตัวเองไป
“พี่ยังไม่ตอบพิ้งค์เลย ที่ถามไปในลิฟต์”
“เข้าห้องเธอไปได้แล้ว!” เขาไม่ตอบแต่ไล่ให้ฉันเข้าห้องพลางขึงตาดุใส่ฉันด้วย
“ไม่เข้าถ้าพี่ไม่ตอบ!”
เขาไม่บอกดี ๆ ฉันก็จะดื้อค่ะ ไม่ยอมหรอก ต้องรู้ให้ได้
“เรื่องของเธอ!” เขาพูดไม่ยี่หระแล้วเปิดประตูห้องเข้าไปทันที
และขณะที่เขากำลังจะปิดประตูหนีฉันก็รีบเอามือสอดเข้าไปดันประตูไว้ แต่ด้วยความที่เขาปิดประตูเต็มแรงทำให้ประตูหนีบมือของฉันเข้าเต็มแรง
“โอ๊ยยยยย!” ฉันร้องโอดโอยออกมาสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด
“เฮ้ย!” พี่เอ็กซ์คิวร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจที่เห็นฉันโดนประตูที่เขากำลังจะปิดหนีบมือของฉันแบบเต็ม ๆ ส่วนฉันยืนน้ำตาคลอเบ้า
แงงงง วันนี้มันวันอะไรของฉันเนี่ย!!? มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้นเลย ฉันประชดนะ แงงงง
หลังจากที่ฉันโดนประตูห้องพี่เอ็กซ์คิวหนีบมือ เขาก็ยอมให้ฉันเข้ามาในห้องเขาได้ เพื่อให้เขาดูแผลและเอาน้ำแข็งมาประคบเย็นให้
ในตอนที่เขาประคบเย็นที่แผลให้ฉันก็ถือโอกาสกวาดสายตามองสำรวจไปรอบห้องของเขาด้วย ในใจก็คิดว่านี่สินะห้องของเขา มันช่างเป็นระเบียบเรียบร้อยซะจริง สะอาดสะอ้านสุด ๆ โทนการแต่งห้องก็เป็นสีขาวดำตามสไตล์ผู้ชายทั่วไป ดูเรียบหรูอยู่นะว่าไป แตกต่างจากห้องของฉันโดยสิ้นเชิง
“หายปวดหรือยัง?” เขาถามขึ้นหลังจากที่นั่งประคบเย็นให้ฉันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” ฉันตอบเขาไปพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างซึ้งใจ มันดีขึ้นแล้วจริง ๆ แผลที่มือเริ่มหายปวดแต่ส่วนอีกยังไม่หาย หมายถึงหายหิวนะ หิวจนไส้จะขาดแล้ว!
โครกกกก ครากกกก!
เวรกรรมอะไรของฉันอีกเนี่ย! ท้องร้องเสียงดังขึ้นมาอีกแล้ว โอ๊ยยย! น่าอับอายที่สุด
ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย อุตส่าห์ซื้อมาแล้วแท้ ๆ หิวก็หิว แต่ก็มัวลีลาเสียเวลากับการตื๊อเขาอยู่ จนเกิดเรื่องซวย ๆ ขึ้น
“......” เขาทำหน้านิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ แล้วเหล่หางตามามองฉัน ฉันจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้เขาไป ฉันรู้สึกอับอายขายขี้หน้ามาก เพราะมันเป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันท้องร้องโครกครากแบบนี้ให้เขาได้ยิน
หลุมอยู่ไหนใครก็ได้บอกที ฉันอายจนอยากจะกระโดดลงไปแล้วฝังกลบตัวเองให้มิดไปเลย ฮืออออ
“เอ่อ...พี่ช่วยหยิบขนมปังหมูหย็องในถุงป้อนพิ้งค์หน่อยสิ” ฉันพูดบอกกึ่งขอร้อง ฉันทนหิวไม่ไหวแล้ว จะให้หยิบกินเองก็ไม่ได้เพราะมือข้างที่โดนหนีบคือมือขวา และมันก็คือมือที่ฉันถนัด จะให้ใช้มือซ้ายแกะถุงขนมปังและหยิบกินเองฉันก็ไม่มีความสามารถขนาดนั้น
พี่เอ็กซ์คิวมองตรงไปยังถุงที่ฉันเพิ่งไปซื้อมา แล้วคว้าหยิบขนมปังหมูหย็องขึ้นมาแกะห่อ ก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของฉัน ฉันคลี่ยิ้มอย่างพอใจแล้วค่อย ๆ กัดขนมปังที่เขาป้อนให้กินจนหมดชิ้น
หึ ๆ ถึงแม้จะมีเรื่องให้เจ็บตัวเจ็บใจ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่นะ เพราะได้เข้ามาในห้องของพี่เอ็กซ์คิว แถมเขายังป้อนขนมปังให้กินอีก คุ้มสุด ๆ ไปเลย อิพิ้งค์ฟินมากเจ้าค่ะ แฮร่ ๆ
“ขอน้ำเปล่าด้วย” ฉันพูดบอกเขาเพราะกินขนมปังไปแล้วรู้สึกฝืดคอมาก เขาก็ทำตามที่ฉันบอกอย่างว่าง่าย เปิดขวดน้ำแล้วเอาหลอดเสียบก่อนจะยื่นมันมาให้ฉันดื่ม
ทำไมเวลาที่เขาทำอะไรแบบนี้ให้ ฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองพิเศษจังนะ และมันก็ทำให้ฉันอยากได้เขา!
การกระทำของฉันมักจะไปไวกว่าความคิดเสมอ หลังจากที่ฉันดื่มน้ำที่เขายื่นให้เสร็จ ขณะที่เขากำลังปิดฝาขวดน้ำอยู่ฉันก็ค่อย ๆ โน้มใบหน้าของตัวเองเข้าไปหาใบหน้าของเขาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ...เรื่อย ๆ จนกระทั่งใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่เพียงคืบเดียว
ฉันจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างไม่กะพริบตาก่อนจะสำรวจองค์ประกอบบนใบหน้าได้รูปและแสนเพอร์เฟกต์ของเขาอย่างพินิจพิจารณาในระยะใกล้ชิด
การได้มองเขาในระยะใกล้ชิดแบบนี้มันทำให้หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะและเต้นรัวแรงมากขึ้น
เขาหันหน้ามาสบตากับฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะเอามือมาดันหัวฉันให้ออกห่างจากใบหน้าของเขา
เย็นชาชะมัด!
“กลับห้องเธอได้แล้ว” เขาพูดพร้อมเดินเอาถุงขนมปังที่ฉันกินหมดแล้วไปทิ้งลงถังขยะในครัว แล้วเดินกลับมาหาฉันอีกรอบ
“......” ฉันทำหน้ามุ่ยให้เขา เมื่อกี้ฉันเสียดายมาก นึกว่าเขาจะเคลิ้มตามฉันซะอีก แต่ก็อดไปตามระเบียบ!
“ดึกแล้ว!” เขาทำเสียงดุเมื่อเห็นว่าฉันยังเอาแต่ดื้อด้านนั่งเสนอหน้าอยู่ ไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้สักที
“พรุ่งนี้พิ้งค์ไปเรียนด้วยนะ” ฉันถือโอกาสบอกเขาไป จะเรียกว่าเป็นการขออนุญาตอีกรอบก็ได้ เพราะเขาน่าจะยังไม่เห็นข้อความที่ฉันส่งไปในไลน์แน่ ๆ
“ฉันมีเรียนบ่าย” เขาตอบเสียงเรียบนิ่ง คำตอบของเขาทำให้ฉันแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะ ฉันมีเรียนตอนเก้าโมงเช้าน่ะสิ เราเรียนไม่พร้อมกัน ฉันก็เลยอดไปเรียนพร้อมเขาเลยน่ะสิ งื้อออ เสียดาย
“งั้น...พิ้งค์นั่งวินไปก็ได้” ฉันทำเสียงอ่อนด้วยความเสียดาย ไม่ได้ไปเรียนพร้อมเขาแถมยังต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อเดินไปรอวินมอเตอร์ไซต์ตรงปากซอยทางเข้าอีก เจริญพรจริง ๆ เลยนังพิ้งค์!
“อือ” เขาครางตอบเบา ๆ
ในเมื่อไม่มีธุระอะไร บวกกับดึกมากแล้ว ฉันจึงยอมเดินคอตกออกมาจากห้องของเขาด้วยความเศร้าหมองใจ
อดเลยง่าาา
พอกลับมาห้องของตัวเอง ฉันก็หาน้ำแข็งมาประคบเย็นอีกรอบ เพราะมันยังรู้สึกเจ็บนิดหน่อยอยู่
ตอนนี้เวลาเกือบจะตีหนึ่งครึ่งแล้ว มันคือเวลาที่ฉันควรจะนอนได้แล้ว แต่ก็เกือบลืมไปเลยว่าตัวเองเพิ่งตื่นมาตอนเที่ยงคืนนี่เอง ว่าแล้วทำไมตอนนี้ถึงยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดเดียว
หลังจากประคบเย็นที่แผลเสร็จ ฉันก็นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือและเลื่อนหาอะไรดูอินสตาแกรมกับส่องคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย จนกระทั่ง...
LINE!
จู่ ๆ เสียงไลน์ก็ดังแจ้งเตือนขึ้นพร้อมชื่อของพี่เอ็กซ์คิวที่โชว์หราขึ้นมาว่าเขาเป็นคนส่งมา ฉันจึงรีบกดเข้าไปดูทันทีด้วยความตื่นเต้นดีใจ
พอกดเข้ามาในห้องสนทนาก็เห็นแค่เขาส่งสติกเกอร์หน้ายิ้มตอบกลับมาให้ฉัน ไม่มีข้อความอะไรตอบกลับมาเลยสักคำ
แค่เนี่ย!?
คือฉันส่งข้อความไปหาเขาเยอะมากไงตอนนั้นอ่ะ แต่เขาส่งแค่สติกเกอร์ยิ้มมาให้อันเดียวเนี่ยนะ แต่เอ๊ะ! สติกเกอร์ยิ้ม
เขาส่งสติกเกอร์ยิ้มมางั้นเหรอ!
เขาส่งมาทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยยิ้มเลยเนี่ยนะ!!?
เป็นไปได้เหรอ มันไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยเหรอ?