บทที่ 3 นอกเวลางาน
“ผมไม่โอเคกับพนักงานคนนี้ถ้าคุณอยากจะรับก็เอาไปให้แผนกอื่น” คิมหันต์สาดเสียงพูดออกไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจใครเลยสักนิด
ชลาชลได้แต่กำมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์โมโหที่กำลังปะทุขึ้นในใจเขาจะคิดถึงคนที่อยู่ในฐานะเด็กใหม่ฐานะคนที่กำลังอยู่ในประโยคสนทนาอยู่ในฐานะคนที่ไม่ต้องการ!!
“ทะ...ทำไมล่ะครับ”
“หนึ่งไม่มีประสบการณ์สองผมสัมภาษณ์แล้วไม่ผ่านเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้สามบุคลิกภาพไม่เหมาะสมเหตุผลผมมีแค่นี้!!” คิมหันต์กล่าวอย่างไม่ถนอมน้ำใจคนที่เขากำลังพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
“แต่แผนกอื่นไม่ได้ขาดพนักงานอีกอย่างน้องเขาก็เคยฝึกงานแผนกส่งออกมาก่อนรบกวนคุณคิมหันต์...”
“ฝึกงานกับทำงานจริงมันไม่เหมือนกันนะคุณสายชล!!” ประโยคสวนกลับเล่นเอาสายชลพูดอะไรไม่ออก “ผมขี้เกียจมาสอนงานให้ใหม่ตั้งแต่เริ่มผมยินดีจ่ายเงินเดือนในราคาที่เหมาะสมสำหรับคนที่พร้อมมาทำงานเลยโดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ที่นี่โรงงานไม่ใช่โรงเรียน”
มือน้อยที่กำอยู่นั้นเพิ่มแรงบีบตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิมชลาชลเริ่มนับหนึ่งถึงร้อยในใจนับมันเพื่อระงับความโมโหของตัวเองไม่ให้ปะทุออกมาตอนนี้เขามันคนปากเสียดีดีนี่เองบอสนรกที่พนักงานฐานล่างเกลียดนักเกลียดหนามันก็คงจะเพราะปากของเขาเองนั่นแหละ
“แต่ท่านประธานเซ็นอนุมัติไปแล้วนะครับคงทำอะไรไม่ได้จริง ๆ” สายชลยังคงยืนยันคำเดิมเขาเองก็ทำทุกอย่างถูกต้องจะขาดอย่างเดียวคือไม่ได้แจ้งให้คิมหันต์รับรู้โดยตรง
“....” คิมหันต์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ยืนนิ่งขบกรามอย่างอารมณ์เสีย ‘พ่อนะพ่อ ไม่คิดจะเรียกตัวไปสัมภาษณ์เลยหรือไงกัน’
“ก็ให้น้องเขาลองทำงานดูก่อนถ้าไม่โอเคยังไงค่อยย้ายไปไว้แผนกอื่นแบบนี้ดีไหมครับ” สายชลพยายามเจรจา
“อื้ม!!” คิมหันต์ตอบห้วน ๆ ก่อนจะเดินออกมาโดยที่ไม่ได้เรียกพนักงานของเขาให้ตามกลับไปด้วยถ้าให้พูดตามความจริงคือเขาไม่เห็นเธอในสายตาเสียด้วยซ้ำ
“น้องลำนำ” เสียงสายชลร้องเรียกพนักงานสาวที่กำลังก้มหน้านิ่งเขาคิดว่าเธอคงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วกระมัง
แต่ความจริงแล้วนั้นชลาชลกำลังโกรธจัดที่ถูกดูถูกซึ่งหน้าต่างหากเธอโกรธและอยากจะสวนกลับให้หน้าหงายได้แต่คิดแค้นในใจทำอะไรไม่ได้ ‘คอยดูนะฉันจะทำให้คุณเห็นให้ได้ว่าคนที่คุณดูถูกวันนี้ทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด’
“น้องลำนำครับ”
“คะ” คนถูกเรียกเพิ่งจะได้สติจากการเรียกครั้งที่สี่หรือห้าของสายชลเธอมัวยืนคิดว่าจะเอาชนะเจ้านายนรกนี่อย่างไร
“คุณคิมหันต์เดินไปถึงห้องแล้วมั้งไม่ตามไปล่ะ”
“อ๋อ ค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะเดินกลับมาที่แผนกของตัวเอง
เธอทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วในเวลานี้สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือการกลับมาอยู่ในจุดเดิมเรียนรู้งานให้ได้ไม่ให้เขาประเมินว่าเธอไม่ผ่านงานอย่างไม่เป็นธรรมเสียก่อน
“น้องคะ” เสียงของผู้หญิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ร้องเรียกขณะที่ชลาชลนั้นกำลังนั่งลงที่โต๊ะตัวเองเป็นโต๊ะที่เธอนั่งในตอนแรกที่ถูกสายชลพามาและเธอก็เข้าใจว่านี่จะเป็นโต๊ะประจำของเธอไม่ถูกไล่ให้ไปถูกพื้นเสียก่อน
“คะ”
“เมื่อกี้คุณคิมหันต์เขาเดินมาสั่งว่าให้พี่แบ่งงานให้หนู”
“อ๋อค่ะ”
“พี่ชื่อแตงนะคะ เป็น DCC ของแผนกก็คือพี่จะทำหน้าที่ดูแลเอกสารภายในแผนกของเราทั้งหมดเลย” คนเป็นพี่งานพยายามอธิบายด้วยไม่รู้ว่าคนที่เป็นเด็กใหม่จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน
“ค่ะ หนูชื่อลำนำ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวดูนี่นะ อ่ะ เอกสารพวกเนี้ยเป็นเอกสารที่พี่ลงทะเบียนแล้วแต่ยังเก็บไม่เสร็จถ้ายังไงลำนำเอาใส่แฟ้มให้พี่หน่อยนะเรียงตามตัวอักษรแล้วก็เรียงตามตัวเลขเลยงานง่าย ๆ เข้าใจอยู่เนอะ” ประโยคพูดดูราบเรียบและกันเองแต่การบอกงานคล้ายจะประเมินว่า ...ง่าย ๆ แค่นี้ทำได้ไหม
“ค่ะ”
“โอเคเสร็จแล้วบอกนะ พี่มีอะไรให้หนูทำอีกเยอะเลย”
ชลาชลหันไปมองเอกสารกองโตแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
‘ตั้งใจเรียนภาษาฝรั่งเศสมาแทบตายเพื่อมาเรียงเอกสารเนี่ยเหรอวันแรกของการทำงานทำไมมันเฮงซวยนักวะ’ หญิงสาวได้แต่บ่นกับตัวเองในใจ
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่พอใจสักแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องยอมนั่งลงจับเอกสารขึ้นมาเรียงตามที่ได้รับคำสั่งงานจัดเอกสารมันมองดูเป็นงานง่าย ๆ แต่มันคืองานที่แสนจะน่าเบื่อเธอชอบงานยากแต่มีความตื่นเต้นมากกว่า
“ตั้งใจจบเกียรตินิยมมาเพื่อมาทำงานง่ายๆ แบบนี้รึไงกันจะลาออกก็ดันมาจบยุคเศรษฐกิจซบเซาทนเอาก็แล้วกันไอ้ ชลาชลเอ้ยได้ประสบการณ์เมื่อไหร่กูจะลาออกไปหาที่ใหม่ที่เจ้านายทัศนคติดีกว่านี้” มือเล็กจัดเอกสารไป ปากก็บ่นพึมพำคนเดียว เธอไม่พอใจคิมหันต์มาก ๆ ที่ส่งเธอมานั่งงมเอกสารอยู่แบบนี้
ในที่สุดเวลาที่พนักงานต่างตั้งตารอคอยก็มาถึงขณะนี้เข็มนาฬิกาเดินทางมาถึงเวลา 17.00 นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานของใครหลาย ๆ คนรวมไปถึงชลาชลสาวพนักงานใหม่
เธอจัดการเก็บข้าวของ ที่เอาออกมาวางบนโต๊ะใส่ลงกระเป๋าตาก็กวาดมองเพื่อนร่วมงานที่ยังคงนั่งจ้องหน้าจอคอมกันอย่างตั้งอกตั้งใจแต่ละคนดูเคร่งเครียดผิดกับเธอผู้ไม่มีภาระหน้าที่อะไร
‘ก็แหงล่ะไอ้ชลาชล แกเพิ่งเริ่มทำงานวันแรก’ เธอพูดกับตัวเองในใจ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานที่แสนอึดอัด
“ไงล่ะ ทำงานวันแรก เหนื่อยไหม” จูนเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่คอยรับงาน จากคุณหัวหน้าแผนกจอมเผด็จการเธอเอางานมากองให้กับชลาชลระหว่างที่เธอกำลังเดินออกจากห้องทำงาน
“ไม่เลยค่ะพอดีว่ายังไม่ได้มีงานอะไรที่หนักหนา” ชลาชลตอบพร้อมกับยิ้มอย่างจริงใจ
“ไม่มีโอทีเนอะ”
“ค่ะ” หลังจบบทสนทนาสั้น ๆ กับเพื่อนร่วมงาน ชลาชลก็เดินตรงมาที่จุดสแกนนิ้วมือเป็นกฎระเบียบการทำงานที่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน
Line!!
ระหว่างที่กำลังยืนต่อแถวเพื่อสแกนนิ้วออกจากงานการแจ้งเตือนข้อความไลน์ก็ดังขึ้นเมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความจากเพื่อนสนิท
อิงฟ้า : ไอ้ชลาชลวันนี้ว่างเปล่ามารีวิวที่ทำงานหน่อย
ชลาชลกรอกตามองขึ้นบนฟ้าทันทีอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อได้เห็นข้อความจากเพื่อนสาวการรีวิวที่ทำงานอย่างนั้นเหรอเธอไม่อยากจะโม้เลย
‘สามวันจะพอรีวิวไหมกับงานวันแรกแสนเฮงซวย’ พนักงานสาวคิดในใจแต่คิด ๆ ดูก็ดีเหมือนกันหาที่ได้ไปปลดปล่อยอารมณ์ในวันนี้อย่างน้อยก็ได้ระบายไอ้ความอึดอัดที่มันแน่นเต็มอก’
ชลาชล : นัดที่มาเลยเลิกงานละ
อิงฟ้า : ร้านขี้เล่ามั้ย?
ชลาชล : เออ ที่ไหนก็ได้นาทีนี้ อยากเล่า อัดอั้นมาก
เมื่อตกลงกับเพื่อนเรื่องสถานที่ได้เรียบร้อยแล้วชลาชลก็กลับไปที่ห้องพักร่างเล็ก ๆ ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้าทั้งที่วันนี้ไม่ได้ทำอะไรมากไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกเหนื่อยมากขนาดนี้ใจเธอกำลังเหนื่อยที่ต้องมาเจอเจ้านายที่มีทัศนคติประหลาด
‘ทำงานกับคนทัศนคติแบบนี้นี่มันเหนื่อยซะยิ่งกว่าไปสู้รบกับใครอีก’ ดวงตากลมหลับลงด้วยความเหนื่อยล้าเธอคิดว่างีบสักพักค่อยตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวออกไปเจอเพื่อนก็แล้วกัน
ร้านขี้เล่าในการนัดหมายของกลุ่มเพื่อนสนิทร่างสูงที่เพิ่งเดินลอดผ่านประตูเข้าไปในร้านประจำของเขามีสีหน้าเคร่งขรึมสามารถมองออกได้จากสีหน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัดแสดงถึงอารมณ์ที่ยังเดือดจัดที่แบกกลับมาจากที่ทำงาน
เขาหัวเสียเรื่องพนักงานใหม่เหลือเกินไม่ใช่แค่ว่าเขาใจแคบไม่เปิดใจรับเด็กจบใหม่แต่ระบบในบริษัทที่วางไว้พนักงานทำงานข้ามขั้นตอนแทนที่จะบอกเขาสักคำหรือไม่ก็เชิญเขาไปเข้าสัมภาษณ์สักหน่อยเพราะสุดท้ายพนักงานก็ต้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของเขา ใครจะอยากรับคนทำงานไม่เป็นมาร่วมงาน
เพราะการทำเช่นนั้นมันเท่ากับว่าเขาต้องเหนื่อยสองเท่าทั้งสอนงานให้กับพนักงานใหม่แถมยังต้องมาคอยตรวจหาความผิดพลาด และแก้ไขข้อผิดพลาดที่คิดว่าต้องเกิดขึ้นแน่นอน
“ดูไอ้คนนัดมันทำหน้าดิวะเหมือนโลกจะแตกวันนี้พรุ่งนี้” เสียงของ ‘พรหมมินทร์’ เพื่อนสนิทของคิมหันต์ ตะโกนดังลั่นตั้งแต่เขายังเดินไม่ถึงโต๊ะพรหมมินทร์คือหนุ่มทะเล้นเจ้าสำราญเป็นที่หมายตาของสาว ๆ เมื่อเขาเป็นอาจารย์มหาลัย รูปหล่อ
“สงบปากสงบคำบ้างมันจะตายไหมวะไอ้มินทร์” ร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาโต๊ะประจำก่อนจะหันไปต่อว่าเพื่อนแก้วใบหนึ่งถูกหยิบขึ้นไปใส่น้ำแข็งจนเต็มของเหลวสีทองเทลงแก้วจนเกือบเต็ม ก่อนถูกตัดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ด้วยโซดา
“มาถึงก็ชงเข้มเลยนะมึง” เขาเอื้อมมือไปรับแก้วนั้นมาคนให้ส่วนผสมเข้ากันก่อนจะยกขึ้นดื่มจนเกือบหมดแก้ว
“อ่า....” รสของแอลกอฮอร์ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
“โอ๊ยใจเย็นไอ้ซัมเมอร์มึงหิวน้ำหรือไง” คนส่งแก้วร้องลั่นเห็นช็อตที่เพื่อนซดเหล้าต่างน้ำแล้วมันก็อดตกใจไม่ได้นานเท่าไหร่แล้วที่พรหมมินทร์ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้จากเพื่อนรักของเขา
“ปวดหัวอยากเผาหัวสักหน่อย” ปากหนาเอ่ยตอบ นึกถึงเรื่องงานแล้วก็อยากจะยกซดให้มันหมดแก้วเมาให้หมดสติจะได้ลืมเรื่องบ้านั่นสักทีภาระหน้าที่ที่แบกรับทำให้ต้องทำทุกอย่างให้ออกมาให้ดีที่สุดสมบูรณ์ที่สุดตามที่ตัวเองได้วางแผนเอาไว้
“เลิกงานแล้วจะเก็บเอาเรื่องงานมาคิดทำไมวะตอนนี้มึงไม่ได้เป็นคุณหัวหน้าแล้วนะเว้ย” พรหมมินทร์แกล้งแย่เพื่อนที่เอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งน้อยครั้งเหลือเกินที่เขาจะได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อคมของซัมเมอร์เพื่อนรักของเขา
ในทุกครั้งที่นัดเจอกันเป็นต้องผูกปมคิ้วเข้าหากันใบหน้าราบเรียบและตีหน้ายักษ์เสมอความจริงก็รู้ว่าเพื่อนจริงจังกับการทำงานก็อยากให้พักบ้าง
“ทำงานมาไม่เคยมีวันไหนเลยที่ไม่ต้องเหนื่อยพนักงานก็พูดไม่รู้เรื่องสั่งอะไรก็ไม่ได้อย่างที่สั่งนี่เพิ่งจะเอาเด็กจบใหม่มาให้แผนกกูทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่ากูไม่เอาเด็กจบใหม่” คิมหันต์ หรือที่กลุ่มเพื่อนรู้จักกันในนามซัมเมอร์หัวหน้าแผนกส่งออกบริษัทที่ครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เขากล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
“ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ” ‘จิรักษ์’ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นมือก็ตักน้ำแข็งใส่แก้วอย่างรู้งานเธอเป็นผู้หญิงแต่นิสัยเหมือนชายการอยู่กับเพื่อนจึงชอบนิ่งและเอ่ยถามเมื่ออยากจะถามเท่านั้น
“ผู้หญิง” คิมหันต์ตอบก่อนจะกระดกแก้วในมือสาดแอลกอฮอล์ลงคอประหนึ่งน้ำเปล่าก็ไม่ปาน
“แบบนี้ก็แจ่มเลยดิจบใหม่ ๆ ด้วย สวยไหมวะ” จิรักษ์ถามต่อ
“มึงหยุดเลยคนอย่างไอ้ซัมเมอร์เนี่ยไม่มีใครได้เห็นขาอ่อนง่าย ๆ หรอกซิงมาตั้งแต่เกิดเสียตัวให้มือกับแขนตัวเองเท่านั้นแหละโอ๊ย” ก้อนนำแข็งถูกปาใส่คนพูดอย่างจังจนพรหมมินทร์ร้องลั่น
“หุบปากไปเลยไอ้มินทร์เบื่อพวกมึงฉิบหาย” เขาพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น
“เฮ้ย ๆ ๆ แซวแค่นี้ถึงกับลุกเลยเหรอวะไอ้ซัมเมอร์” พรหมมินทร์โวยทันทีจิรักษ์หัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจ
พรหมมินทร์มักจะเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบตัวได้เสมอด้วยความที่เขามีปากเป็นเอกรู้จักพูดรู้จักเข้าหาคนจะว่ากะล่อนก็คงไม่ผิดเขาฉลาดพูดและเป็นบุคคลที่มีวาทศิลป์อย่างมากผิดกับคิมหันต์โดยสิ้นเชิงเจ้านั่นปากพูดอะไรมาจากใจที่คิดแบบนั้นเป็นคนมุทะลุไม่รู้จักใช้คำจึงไม่แปลกที่คนรอบข้างจะไม่ค่อยอยากสนทนากับเขาสักเท่าไหร่
“กูจะไปห้องน้ำมึงจะไปกับกูไหมล่ะ” เขาหันไปบอกกับคนพูดก่อนจะสาวเท้าไปโดยไม่รอคำตอบ
ระหว่างทางเดินกลับที่โต๊ะโซนธรรมดา เสียงของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งทำให้คิมหันต์ต้องชะงักและหยุดเดินเพื่อแอบฟังบทสนทนานั้นเป็นประโยคสนทนาที่เขารู้สึกว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่ในประโยคนั้น
“บริษัทG ทำพวกอะไหล่รถนั่นแหละภาพรวมก็โอเค ไม่โอเคแค่หัวหน้าแผนกนี่แหละ” เสียงที่ดังปะปนอยู่กับเสียงดนตรีภายในร้าน
เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังตะโกนชื่อบริษัทของเขา มันชัดเจนจนทำให้ขาของเขาหยุดลงที่สำคัญไปมากกว่านั้น ผู้หญิงคนที่ว่านี้หน้าคุ้นเหลือเกินคุ้นหน้าอย่างมากด้วย
“บอสมึงอะเหรอทำอยู่แผนกอะไรวะ” ผู้หญิงอีกคนถามขึ้นบ้าง คิมหันต์พยายามแฝงตัวอยู่กับกลุ่มผู้คนที่กำลังโยกย้ายร่างกายไปตามเสียงเพลง และตั้งใจฟังวงสนทนาดังกล่าว
“ส่งออกเจ้านายทัศนคติโคตรจะติดลบ” คิมหันต์เหลือบมองคนพูด เขาจำเธอได้แม่นพนักงานใหม่ที่เพิ่งเจอกันวันนี้ ใช่เธอแน่นอนและที่สำคัญเธอกำลังนินทาเขาอยู่
“ยังไงวะ”
คิมหันต์ยังคงรอฟังต่อไปว่าตัวเองจะถูกวิจารณ์อย่างไร
“ในบริษัทไม่รู้มีใครชอบบ้างขนาดกูไปวันเดียวยังแบบ....เฮ้อ นางไม่โอเคมากที่กูเป็นเด็กจบใหม่แถมไม่โอเคกับที่กูสอบวัดระดับคือระดับนี้มันก็โอเคแล้วไหมวะต้องดีแค่ไหนถึงจะดีคือไม่สนผลงานกูเลยมองข้ามความสามารถกูไปหมด ติดอยู่เรื่องเดียวกับอีแค่กูไม่มีประสบการณ์” แอลกอฮอร์ที่เข้าไปในร่างกายทำให้การเล่าจะออกรสและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากขึ้น
“ถ้าเขาไม่ให้กูทำงานที่นี่แล้วกูจะมีไหมประสบการณ์อ่ะ” หญิงสาวพูดต่อด้วยความคับข้องใจ
ชลาชลที่ในเวลานี้ร่างกายเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์พูดอย่างออกรสความอัดอั้นทั้งหมดที่เต็มอกเธอพูดมันออกมาจนหมดเปลือก
คิมหันต์ที่ยืนฟังอยู่ขยับตัวไปยังจุดที่สว่างพอจะมองเห็นเขาได้ชัดดวงตาที่หรี่ใกล้จะปิดลงเบิกกว้างขึ้นทันทีแม้ว่าชลาชลจะตกอยู่ในอาการมึนเมาแต่เธอก็จำหน้าเจ้านายทัศนคติแคบของตัวเองได้อย่างขึ้นใจและตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้า
“เชี้ย.....” ปากเรียวอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว
สายตาทุกคู่หันมองไปทางทิศเดียวกับเพื่อนทิศทางที่มองจ้องไปอย่างไม่ได้นัดหมายชลาชลกลืนก้อนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างยากลำบาก
“เขาได้ยินที่ฉันพูดหมดเลยสินะไอ้ชลาชลมึงซวยแล้วไงละ’
คนเมาถึงกับได้สติแม้ว่าแสงภายในร้านบริเวณรอบ ๆ จะสลัวและมัวสลับสีไปหมดแต่ใบหน้าคมเข้มของคนที่ยืนจ้องเธออยู่ตอนนี้ก็ชัดมากชัดพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าเขาคือใคร
“อะไรวะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
ดวงตาใต้แผงขนตาปลอมยาวฟูและหนาจับจ้องไปที่หนุ่มหล่อผู้ดึงความสนใจของทุกคนไว้หมดเขาดูดีในชุดใส่สบายแต่เรียบหรูดูมีระดับอย่างบอกไม่ถูกผมยุ่ง ๆ บนศีรษะของเขาที่ไม่ได้ถูกจัดทรงกลับทำให้เขาดูดีแทนที่จะดูโทรมจมูกโด่งเป็นสันรับกับปากหนาได้รูปแม้คิ้วดกดำจะขมวดยู่ยี่ จนพาให้ใบหน้าหล่อของเขาดูดุดันแต่นั่นกลับเสริมให้เขาดูมีเสน่ห์มากเหลือเกิน
“ใครวะ” เพื่อนอีกคนก็ถามขึ้นบ้างด้วยยังไม่ได้คำตอบ
“มึงอย่าบอกนะไอ้ลำนำ ว่านี่.....” อิงฟ้าเพื่อนคนที่นั่งใกล้ชลาชลมากที่สุดเอ่ยขึ้น
เธอพอจะเดาได้แล้วว่าชายปริศนาคนนี้เป็นใครตั้งแต่มาถึงชลาชลได้พรรณนาถึงเจ้านายของเธอให้อิงฟ้าฟังหมดแล้วและชายที่เพิ่งปรากฏตัวอย่างปริศนาคนนี้ก็ตรงตามที่เพื่อนได้กล่าวไว้แทบทุกอย่างถึงไม่แปลกใจเลยว่าอาการผิดปกติตาค้างของเพื่อนนั้นคงมีสาเหตุมาจากชายคนนี้ไม่ผิดแน่