บทที่ 4 พนักงานใหม่
“เราก็ยังไม่ได้รู้จักอะไรกันมากนักแต่เท่าที่ได้ยินผมคิดว่าคนที่คุณกำลังพูดถึงอยู่ต้องใช่ผมแน่” คิมหันต์กล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปที่โต๊ะของคนพูด
ดวงตาพร่าเบลอของชลาชลจ้องมองเขาแทบไม่กระพริบเธอเหมือนรู้สึกว่าเงาหัวจะไม่อยู่เสียแล้ว
‘เพิ่งเริ่มงานได้วันเดียวแท้ ๆ ต้องโดนไล่ออกเพราะปากพาซวยหรือไงกัน’ ชลาชลพลางคิดขึ้นในใจสายตาเขาดูเอาจริงเอาจังมากคงจะโกรธมากล่ะสิที่ถูกพูดถึงแบบนั้น
“นี่นอกเวลางานหวังว่าคุณจะแยกแยะออก” ชลาชลรีบสวนกลับอย่างทันทีด้วยประโยคที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะรังสรรค์ออกมาได้ในเวลาแบบนี้และด้วยสติที่น้อยนิดจากพิษสุราแบบนี้ ภาพของคิมหันต์เจ้านายเธอค่อย ๆ ลางลงแต่เมื่อตากลมกระพริบถี่และพยายามเพ่งมองมันก็กลับมาชัดได้อีกครั้ง
“ผมจะไม่พูดในฐานะเจ้านายแต่ขอพูดในฐานะของคนที่ถูกกล่าวถึง” คิมหันต์กล่าวอย่างฉะฉานคนอย่างเขาไม่ใช่จะยอมให้ใครมากล่าวว่าได้โดยง่ายเขาไม่ได้อยากจะเอาความอะไรกับพนักงานใหม่แค่อยากจะลบข้อครหาที่ตัวเองถูกพูดถึงก็เท่านั้น
“ถึงอย่างนั้นฉันก็พูดความจริงไม่ได้กล่าวหามั่ว ๆ” แต่เหมือนสติของชลาชลจะประคองไว้ได้เพียงประโยคเดียวพอถูกแหย่ให้ต้องเอาชนะเข้าหน่อยเธอก็พูดไปตามที่ใจคิดจนไม่ได้คิดว่ามันควรหรือไม่ควรพูด
คิมหันต์เองแค่มองแวบเดียวก็พอจะดูออกว่าคนที่กำลังเถียงฉอด ๆ ตอนนี้ไม่มีสติพร้อมสมบูรณ์แล้วซึ่งนั่นก็หมายความว่าคำพูดที่เธอกำลังจะพูดออกมาไม่ควรจะถือสาเอาความอะไร
“เจอกันวันเดียว คุณก็ตัดสินผมได้แล้วเหรอ” คิมหันต์ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
เขาเพิ่งคิดได้ว่าสิ่งที่เขาควรจะทำตั้งแต่แรกคือปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้วเดินกลับโต๊ะตัวเองเสียแต่เรื่องดูจะบานปลายใหญ่โตเมื่ออีกฝ่ายเริ่มโวยวายเสียงดังตามประสาคนเมาเธอไม่มีสติเพียงพอที่จะคุยกันแล้วสุดท้ายเมื่อเขาตัดสินใจจะเดินกลับคนเมาก็ไม่ยอมให้กลับ
“ทีคุณยังตัดสินฉันได้เลยกับอีแค่จบใหม่ก็หาว่าฉันทำงานไม่เป็น” แก้มที่แดงอยู่แล้วด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งทวีความแดงขึ้นด้วยความโกรธไม่ว่าคิมหันต์จะพูดอะไรออกมาในตอนนี้ล้วนเป็นการท้าทายให้ชลาชลเถียงกับเขาสมองของเธอตอนนี้กำลังสั่งเธอว่าต้องเถียงให้ชนะเขาให้ได้เท่านั้น
“ผมไม่เคยบอกว่าคุณทำงานไม่เป็นผมแค่บอกว่าคนจบใหม่ อาจจะมีประสิทธิภาพในการทำงาน...ต่ำกว่าคนที่มีประสบการณ์ทำงาน” คิมหันต์ก็คือคิมหันต์เขาเป็นคนจำพวกคิดอะไรก็พูดอย่างนั้นถึงจะรู้ดีว่าตัวเองไปยั่วโทสะของอีกฝ่ายแต่ก็ยังยืนยันที่จะพูด ในสิ่งที่อยากพูด
“บอสมาตรฐานสูงปรี๊ดอีโก้ก็คงสูงพอ ๆ กันคุณไม่โอเคที่ฉันไม่มีประสบการณ์ไม่โอเคที่จบมอดังไม่โอเคที่อายุน้อยไม่โอเคที่จบใหม่ก็น่าจะให้โอกาสกันบ้างหรือเปล่า นี่อะไรยังไม่ทันเห็นการทำงานเลยสร้างกำแพงมากั้นฉันไว้ซะแล้ว ให้เรียงเอกสารเหรอ เหอะ!ไม่ต้องจบปริญญาก็ทำได้มั้ง” ชลาชลเสียงดังขึ้นทุกที มันดังจนดึงความสนใจ จากโต๊ะข้าง ๆ มาบางส่วนแล้ว
“ไอ้ลำนำใจเย็นคนมองแล้ว!” อิงฟ้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พยายามทำให้เพื่อนเย็นลง
คิมหันต์มองดูคนเมาฟิวส์ขาดตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวไปมาและคิดว่าตัวเองไม่น่าเสียเวลาแวะมาพูดอะไรตั้งแต่แรกเขามองเธอไว้ไม่ผิดเลยจริง ๆ ก็แค่เด็กที่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้
“ผมว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ คุณเมามากแล้ว” เขากล่าวก่อนจะหันหลังหนี
“อ๋อเหรอ” ชลาชลลากเสียงยาวเธอยังไม่ยอมแพ้ทั้งที่รู้สึกว่าหัวหมุนไปหมด “แล้วนี่นะ ฉันแอบเห็นในใบประเมินพนักงานคุณประเมินให้คะแนนบุคลิกภาพฉันแค่ สาม! จาก ห้า!ฉันว่าฉันก็ดูโอเคนะให้สักสี่ก็ยังดีมั้ง”
ทันทีที่คิมหันต์กำลังจะก้าวเท้าเดินจากไปชลาชลก็ตะโกนขึ้นอย่างทันทีจนร่างสูงต้องชะงักและหันกลับมาอีกครั้งเขาถอนหายใจอย่างหมดความอดทนพนักงานใหม่คนนี้ ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาประเมินไว้เลยสักนิดที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอไม่เคยรู้ตัวเองเลย
“ถ้ารู้สึกข้องใจในวิธีการให้คะแนนของผม ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ว่าทำไม “คิมหันต์ก้าวเท้ากลับเข้ามาที่ตำแหน่งเดิม
“.......” คนเมาที่รู้สึกหูอื้อพยายามฟังเธอมั่นใจว่าเธอดูดีพอที่จะได้คะแนนสี่
“ในส่วนของบุคลิกภาพผมมองภาพรวมไปถึงการแต่งตัวซึ่งกรณีคุณภาพรวมถือว่าสุภาพแต่มันมีความขัดแย้งกันของส่วนประกอบการเลือกเฉดสีเครื่องแต่งกายเหมือนไม่ได้วางแผนเลยสักนิดเสื้อขาวกางเกงสีมัสตาร์ดที่ไม่ได้เข้าคู่กันเลยแถมสีขาวยังเป็นสีขาวขุ่นที่จับคู่กับสีมัสตาร์ดแล้วออกมาดูแย่มาก ๆ”
“.......” ชลาชลกระพริบตาถี่เรียกสติเธอพยายามคิดภาพตามที่เขาพูดทุกอย่าง
“นาฬิกาไม่ควรเป็นสีแดงแจ๋แบบนั้นมันทำให้ดูมากสีเกินไปโทนสีของเสื้อผ้ามันควรจะสมูทกลืนกันทรงผมก็ไม่ได้เข้ากับชุด ชุดที่แต่งทรงออกมาแนวผู้หญิงทำงานแต่ทรงผมเหมือนจะไปเดินป่าเดินเขาไม่รู้ว่าจงใจทำให้ออกมาเป็นแบบนี้หรือว่าไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยส่วนเครื่องประดับ ต่างหูรองเท้า ก็ไปคนละทางมองรวมๆ การแต่งตัวของคุณถือว่าไม่ผ่าน”
“นี่ตกลงบอสแกเป็นดีไซเนอร์เหรอ” อิงฟ้าหันไปกระซิบถามเพื่อนสนิทที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันปานจะกินเลือดกินเนื้อ
“อย่างที่กล่าวไปนั่นแหละสำหรับผมแล้วภาพลักษณ์เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้คนอื่นมองและประเมินว่าคุณเป็นคนแบบไหน” คิมหันต์ย้ำความคิดตัวเองอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“มองคนแค่ภายนอก!!” ชลาชลกล่าวขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวแน่นอนว่าในเวลานี้เธอไม่มีสติยั้งคิดอะไรแล้ว
“ผมแนะนำให้ก็กรุณาฟังด้วย จะได้เอาไปพัฒนาตัวเอง” คิมหันต์พยายามพูดด้วยอารมณ์ที่เย็นที่สุดเขามีเจตนาเพียงต้องการสอนเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเข้ามาเป็นพนักงาน ในการปกครองของเขาเท่านั้น
“คุณสั่งฉันได้แค่เวลางานเท่านั้นแหละ!!นี่มันนอกเวลางานกรุณาแยกแยะด้วย” ชลาชลกล่าวอย่างโอหัง
“ผมไม่ได้สั่ง แค่แนะนำให้”
“แบบนี้ฉันเรียกว่าสั่ง!!” เด็กน้อยเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“การตีความของคุณถ้าให้คิดคะแนนก็คงได้ สาม! จากห้าคะแนนเหมือนกันกับบุคลิกภาพ” แล้วความอดทนที่มีน้อยนิดของคิมหันต์ก็หมดลง เขาพลั้งปากประเมินคนโอหังไปอย่างไม่ตั้งใจ
“เอ่อ...ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ” อิงฟ้ารีบแก้สถานการก่อนที่จะมีการตีกันไปมากกว่านี้ “ฉันว่าคุณกลับไปก่อนเถอะนะคะตอนนี้เพื่อนฉันมันเมามากแล้วพูดไม่รู้เรื่องแล้วขอโทษที่มันพูดอะไรไม่ดีออกไปด้วยคุณก็น่าจะรู้ใช่ไหมคะว่ามันเมา”
“ผมจะไม่ถือสาก็แล้วกัน” พูดจบคิมหันต์ก็เดินจากไปโดยไม่สนใจเสียงจากชลาชลอีกคำถามที่ว่าเอชอาร์รับเข้ามาได้อย่างไรยังคงวนเวียนในหัวเขาไม่จบไม่สิ้น
เช้าวันทำงานชลาชลประคองสติเดินทางมาที่ออฟฟิศได้ตามปกติแม้จะทุลักทุเลสักหน่อยก็ตามด้วยสิ่งตกค้างจากเมื่อคืน
เรื่องที่ไปสร้างวีรกรรมไว้เมื่อคืนถูกบรรยายโดยอิงฟ้าอย่างละเอียดเมื่อตอนเช้านี้ชลาชลนึกภาพตามแล้วไม่รู้ว่าควรจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนเพิ่งมาทำงานแท้ ๆ ดันไปทำซ่าใส่เจ้านายจะอยู่รอดปลอดภัยหรือเปล่าก็ไม่รู้โชคดีที่เธอไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องไปพบคิมหันต์บ่อย ๆแต่ถึงอย่างนั้นการเดินเข้าออกห้องทำงานของเขาก็ผ่านจุดที่เธอนั่งทำงานอยู่ดี
และเรื่องที่ดูจะสำคัญกว่านั้นคือการประเมินว่าเธอจะผ่านการทดลองงานหรือไม่ ผลมันดันอยู่ที่ปลายปากกาของเขาน่ะสิคิดแล้วก็ทำให้ชลาชลรู้สึกเศร้าอนาคตของเธอดูจะไม่รุ่งที่นี่เสียแล้ว
“ใบแจ้งเลื่อนส่งของลูกค้า ของบริษัทดิเอโก้จัดการเรียบร้อยหรือยังคุณพรทิพย์” เสียงของใครบางคนดังอยู่ใกล้ตัวจนไรขนทั่วร่างกายลุกซู่
ชลาชลลอบมองคนพูดและพบว่าเป็นไปตามที่เธอคาดไว้จริง ๆ เขาคนนั้นคือเจ้านายที่เธอเพิ่งจะเมาแล้วไปโวยวายใส่เขาไว้เพียงชำเลืองมองเล็กน้อยและไม่กล้าที่จะคิดถามอะไรเธอยังอยากที่จะมีเงาหัวต่อไปแม้ท่าทีของเธอจะดูมั่นใจแต่ตอนนี้เธอประหม่ามาก
“เหลือแค่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ” คนถูกถามตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ
“ภาษาอังกฤษเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” คิมหันต์ถามเสียงเข้มเขาค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องงานมาก ๆ โดยเฉพาะรายละเอียดของงานแม้แต่จุดเล็ก ๆ ก็ห้ามผิดเด็ดขาด
“ค่ะ” พนักงานที่ถูกจี้ถามเอ่ยตอบเสียงเบา
ตาของคนตอบมองหลุบลงต่ำจนดูผิดปกติคิมหันต์เหลือบมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอเขาสังเกตเห็นว่ามันยังค้างอยู่ที่หน้าไฟล์งานและจากประสบการณ์หากให้เขาประเมินคิดว่างานยังเดินไปไม่ถึง 70 % เสียด้วยซ้ำ
“ถ้ายังไงเอาไปวางให้ผมที่โต๊ะนะ กลับมาผมจะอ่านและช่วยตรวจทานให้” เขาไม่ได้มีเจตนาจับผิดพนักงานแค่ต้องการให้เธอพูดความจริงก็เท่านั้น
ไม่เสร็จก็ควรจะบอกว่าไม่เสร็จแล้วรีบเร่งทำงานให้มันเสร็จตามกำหนดเวลาเขาเป็นคนให้เธอเสนอกำหนดเองเสียด้วยซ้ำว่าใช้เวลานานแค่ไหนสำหรับงานนี้ก็ควรจะประเมินประสิทธิภาพตัวเองแล้วตั้งแต่ก่อนจะตกปากรับคำไม่ใช่หรือไง
“ขอแปลเป็นฝรั่งเศสให้เรียบร้อยแล้วส่งทีเดียวได้ไหมคะ” หญิงสาวพนักงานเอ่ยถามเธอไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาเขาเพราะกลัวกับคำตอบที่จะได้ใจจริงก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะตอบแบบไหนแต่ยืนยันจะลองเสี่ยงดูเผื่อโชคเข้าข้างแล้วเขายอมอนุญาตให้เธอทำตามที่ขอ
“ส่งภาษาอังกฤษให้ผมก่อนหวังว่ากลับมาจะเจองานของคุณวางอยู่ที่โต๊ะ....ขอตัวครับ” แน่นอนว่าคำขอของเธอไม่เป็นผล
พรทิพย์ทำได้เพียงหายใจฮึดฮัดด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่นี่มันใช่ความผิดของคิมหันต์หรือ? ก็ไม่ใช่
ในเมื่อพนักงานบอกกับเขาว่างานเสร็จแล้วเขาก็มีสิทธิที่จะขอตรวจไม่ใช่หรือและถ้างานมันเสร็จจริงพรทิพย์จะกังวลทำไมเพราะความจริงเธอแค่โกหกเพื่อเอาตัวรอดน่ะสิถึงต้องมาทุกข์ร้อนอยู่แบบนี้
ชลาชลมองดูรุ่นพี่พนักงานคนนั้นด้วยสายตาสงสัย ‘งานยังไม่เสร็จสินะ’ เธอพลางคิดตามภาพที่เห็น