บทที่ 5 อบรมพนักงาน
คิมหันต์ถอนหายใจอย่างหัวเสียเขาไม่อยากเชื่อหรอกว่าใครจะช่วยเหลือคนอื่นทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ตัวเอง
“ไปตามพนักงานใหม่มาหาผม” เขาออกคำสั่ง
พรทิพย์พยักหน้ารับก่อนจะลุกแล้วเดินออกไปในหัวเธอไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลยแม้แต่น้อยมีเพียงความโล่งใจที่ความผิดไม่ได้ตกอยู่ที่เธอแล้วเพราะตอนนี้คิมหันต์เรียกยัยเด็กใหม่ความผิดก็ต้องตกเป็นของเธอ
“น้องคะ!!” เมื่อเดินมาถึงจุดหมายพรทิพย์ก็เอ่ยเรียกเด็กใหม่เธอจำชื่อของชลาชลไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกขอบคุณที่เพื่อนร่วมงานคนใหม่คนนี้ช่วยทำงานให้เสร็จได้ทันเวลากลับกลายเป็นว่าพรทิพย์โกรธเคืองเรื่องที่เธอทำงานผิดพลาดจนเป็นเหตุให้ต้องถูกเรียกตัวเข้าห้องเย็นแม้ว่าตอนนี้พรทิพย์เธอจะไม่ได้ถูกตัดสินว่าทำงานผิดพลาดแต่ความโกรธเคืองก็ยังคงอยู่ดังเดิม
“คะ” ชลาชลเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังอ่านเมื่อเห็นว่าเป็นพรทิพย์เธอก็ยิ้มให้อย่างจริงใจตามประสาคนที่เพิ่งจะพูดคุยทำความรู้จักกันแต่เรียวปากบางจำต้องชะงักลงและเก็บรอยยิ้มจริงใจเมื่อครู่กลับคืนเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนใบหน้าของพรทิพย์นั้นต่างจากคราวที่มาขอความช่วยเหลือเธออย่างสิ้นเชิงดวงตาที่จ้องมองมาอย่างอาฆาตมันบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธเธออยู่
“คุณคิมหันต์เรียกให้เธอเข้าไปคุยกับเขาหน่อย” น้ำเสียงที่พูดเมื่อครู่นี้ ฟังดูห่างเหิน และแฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้นชลาชลรู้สึกได้เลยว่ามันเป็นแบบนั้นแววตาที่พรทิพย์มองเธอ มันก็ช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“เขาเรียกทำไมเหรอคะ” พนักงานใหม่เอ่ยถามแต่กลับไม่ได้รับคำตอบคนที่เดินเข้ามาเรียกสะบัดหน้าหนีก่อนจะเดินกลับไปทำงานตัวเองปล่อยชลาชลให้นั่งงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
‘คงไม่ใช่ว่าเรียกไปด่า เรื่องเมื่อคืนหรอกนะ’ ชลชลคิดในใจระหว่างที่สาวเท้าเดินไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนก
ก๊อก!!ก๊อก!!ก๊อก!!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่บานประตูจะเปิดออกคิมหันต์จ้องมองคนที่เดินลอดผ่านประตูเข้ามาด้วยสายตาดุดันเขาจับจ้องชลาชลที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องจนเจ้าตัวรับรู้ถึงบรรยากาศเย็นเยือกที่สัมผัสโดยที่เจ้านายผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไรสักคำ
“เชิญนั่ง” เมื่อเดินมาจนถึงเก้าอี้ คิมหันต์ก็ผายมือและกล่าวเชิญพนักงานอย่างเช่นที่ทำกับพรทิพย์และพนักงานทุกคนที่เข้ามาในห้องทำงานของเขา
“พี่เขา...”
“ผมสั่งให้เขาไปเรียกคุณมาเอง” คิมหันต์เอ่ยเสียงเรียบก่อนที่ชลาชลจะพูดจบ
“อ๋อ....ค่ะ” ชลาชลรู้สึกเสียอารมณ์นิดหน่อย ที่ถูกอีกฝ่ายแทรกขึ้นระหว่างที่ตนกำลังพูด
“นี่อะไร” เขาถามพร้อมกับยื่นเอกสารสองสามแผ่นให้กับเธอชลาชลหยิบเอาเอกสารตรงหน้าที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่านเธอไม่ค่อยเข้าใจเนื้อความในเอกสารเท่าไหร่นักถ้าให้เดาก็คิดว่าคนแปลน่าจะเอาไปใส่โปรแกรมแปลอัตโนมัติแน่นอน
“เอกสารแจ้งเลื่อนการส่งออกใช่ไหมคะ”แต่ถึงเนื้อความจะผิดเพี้ยนแค่ไหนหัวเรื่องก็ยังคงอยู่ในแบบฟอร์ม ซึ่งแน่นอนว่ามันถูกต้อง
“ใช่!พรทิพย์บอกว่าคุณเป็นคนแปลเอกสารนี้” คิมหันต์พูดต่อทันที
เขาไม่อยากเสียเวลามากนักจริง ๆ ก็แค่จะเรียกมาตักเตือนเท่านั้นเพราะมันไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของชลาชลอยู่แล้วถึงความผิดพลาดครั้งนี้จะใหญ่โตมากแค่ไหนคนที่รับผิดชอบก็ต้องเป็นพรทิพย์อยู่ดี
“คือฉันแปล....”
“คุณรู้ไหมว่าถ้าเอกสารมันผิดพลาดจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” คิมหันพูดตัดบทชลาชลอีกครั้งขณะที่เขากำลังจะอธิบายถึงการแปลของเธอที่อยู่หน้าสุดท้าย
“สินค้ารอบนี้มูลค่าเยอะมากคุณอาจจะต้องรับผิดชอบเพราะว่าคุณแปลไม่ถูกต้อง ทำให้การสื่อสารผิดเพี้ยน” อะไรที่ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้กันนะชลาชลทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเพื่อสลัดความโมโหเขาไม่คิดจะฟังใครเลยหรือยังไงกัน
“คุณคะ...”
“ผมยังพูดไม่จบ!กรุณาอย่าแทรก” ชลาชลได้แต่อ้าปากค้างคำพูดในใจมากมายใครกันแน่ที่แทรกเธอกำลังจะอธิบายแท้ ๆ แต่เขากลับไม่สนใจฟังเธอเลยสักนิด
“ฉันก็ยังพูดไม่จบเหมือนกัน!ไม่ใช่สิฉันยังไม่ได้พูดเลยคุณก็แทรกขึ้นมาก่อนแล้ว” ใครจะไปคิดว่าพนักงานใหม่จะปากกล้าวาจาดุดันแบบนี้ รุ่นเก่าเก๋าเกมก็ยังไม่กล้ามาตีฝีปากกับคิมหันต์หัวหน้าแผนก
“ผมเป็นเจ้านายคุณนะ”
“คนที่เป็นหัวหน้านอกจากพูด ก็ยังต้องฟังคนอื่นเหมือนกันถ้าคุณไม่ฟังที่ฉันพูดคุณจะรู้ไหมคะว่าที่คุณกำลังจะตำหนิมันไม่ถูกต้อง!!” ชลาชลคนไม่ยอมใครลุกยืนขึ้นแล้วเถียงอีกฝ่ายคอเป็นเอ็น
มือหนาของคิมหันต์ยกขึ้นกุมศีรษะเขาปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีเด็กคนนี้ไม่ผ่านมาตรฐานที่เขาตั้งไว้เลยสักข้อทั้งที่เขาไม่สนใจเรื่องที่เธอเมามายเมื่อคืนแล้วก็ตาม
“คุณต้องมีมารยาท...”
“ฉันมีมารยาทแน่ค่ะ” ชลาชลพูดแทรกอีกครั้งเธอยังไม่ได้รับโอกาสอธิบายเรื่องงานเลยเขาเสียมากกว่าที่จะต้องมีมารยาทฟัง “ถ้าคุณคิดจะรับฟังกันบ้างอย่างน้อยก็ควรให้ฉันอธิบาย”
“โอเคคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมา ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนไม่มีวุฒิภาวะ ใช้แต่อารมณ์!”
“คุณต่างหากที่ใช้แต่อารมณ์ ไม่ฟังเหตุผลเลย”ชลาชลรู้สึกแน่นอกจนไมเกรนจะกำเริบเขาช่างกล้าที่จะพูดออกมาว่าคนอื่นใช้แต่อารมณ์ไม่ได้ดูตัวเองที่ใช้อารมณ์จนคนทั้งแผนกกลัวกันหมดแล้ว
“งั้นคุณก็ว่ามาสิ ว่าไอ้เหตุผลของคุณที่ใช้โปรแกรมแปลภาษาแปลเอกสารสำคัญขนาดนี้มันคืออะไร”คิมหันต์เอ่ยเสียงเรียบอย่างใจเย็น
“ฉันไม่ได้เป็นคนแปล” ชลาชลตัดสินใจพูดใจความสำคัญออกไป เธอคิดว่าหากรอจังหวะ ชาตินี้ก็คงไม่ได้อธิบาย
“แต่คุณพรทิพย์บอกว่าเขาขอให้คุณช่วยแปลเอกสารนี้ผมไม่ได้จะให้คุณรับผิดชอบความผิดหรอกนะเพราะยังไงซะคนที่รับผิดชอบเอกสารนี้ก็คือคุณพรทิพย์ แต่ที่เรียกคุณเข้ามาคุยก็เพราะว่าวิธีการทำงานของคุณมันไม่ถูกต้อง เราไม่ควรเอาโปรแกรมแปลมาแปลเอกสารสำคัญแบบนี้ ทำไม่ได้ก็บอกเขาไปสิ ไม่ต้องอาย”
“เฮ้อ...ฉันแปลจริง แต่แปลแค่สองวรรคสุดท้ายของแผ่นสุดท้าย ฉันเรียนมานะคะ ฉันรู้ว่าโปรแกรมแปลมันแปลมั่ว”
“.......” คิมหันต์คว้าเอาเอกสารบนโต๊ะแผ่นสุดท้ายขึ้นไปอ่าน ตรงจุดที่ชลาชลกล่าวถึง ไวยากรณ์ต่างจากที่เขาอ่านในแผ่นแรกโดยสิ้นเชิง
“ไงล่ะ คิดจะฟังกันบ้างหรือเปล่า” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายชลาชลจึงพูดขึ้นอย่างคนได้รับชัยชนะ
“แต่จะยังไงก็เถอะ ที่ไปแทรกแซงงานคนอื่น มันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี งานตัวเองไม่มีทำหรือไง ถึงได้ไปเสนอตัวช่วยคนนั้นคนนี้” แล้วมีหรือคนอย่างคิมหันต์จะยอมง่าย ๆ เขาแถหลบไปอีกช่องทางอย่างราบรื่น จนชลาชลได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
“ฉันไม่ได้...”
“พอไม่ต้องพูดอะไรแล้วจำไว้นะว่าอย่าทำงานให้คนอื่นอีก ถ้าไม่อยากเดือดร้อนครั้งนี้ผมแค่เตือนคุณด้วยความหวังดี”
เขานี่มันไม่ฟังใครเลยจริง ๆ ชลาชลอยากจะพูดออกไป “ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” เหนื่อยจะพูดกับเขา
“เชิญ”
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพนักงานสาวจึงได้เดินออกมาจากจุดที่แสนจะอึดอัดนั้นเสียที
“เดี๋ยว...” แต่แล้วเธอต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเจ้านาย
“คะ”
“เอกสารที่ให้จัดการเมื่อวาน เรียบร้อยหรือยัง”
“ค่ะ จัดการเก็บหมดแล้ว เรียงตามตัวอักษรแบบที่คุณสั่ง”
“บ่ายนี้เข้ามาเก็บกองนี้ด้วยนะ เอาแบบเมื่อวานเลย” ชลาชลมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปที่กองเอกสารตรงมุมห้อง ให้ตายเถอะ เธอไม่ได้มาทำงานจัดการกองเอกสารนะ
“แต่...”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญออกไปเคลียร์งานให้หมด บ่ายนี้คุณต้องจัดการเก็บเอกสารนี้ให้หมด....ก่อนเลิกงาน” ชลาชลได้แต่กำหมัดแน่น
‘แบบนี้มันแกล้งกันชัด ๆ เลยนี่’ แต่ถึงจะโกรธแค่ไหน เธอจะไปทำอะไรเขาได้หรือเธอก็ทำได้เพียงแค่
“ค่ะ” ตอบรับและทำตามคำสั่งเขาเท่านั้น
เรื่องที่โวยวายใส่คิมหันต์คืนนั้นไม่ถูกพูดถึงเลยแม้แต่น้อยนั่นจึงทำให้ชลาชลมองเห็นข้อดีในตัวเขาบ้างว่าอย่างน้อยก็ยังรู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว
ชลาชลยังคงทำงานแบบเดิมอยู่กับกองเอกสารที่แสนน่าเบื่อเหมือนเดิมตลอดเวลามากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วชลาชลยังไม่ได้รับหน้าที่หลักอะไรทั้งสิ้นเธอยังคงได้ทำแค่งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งแบบนี้มันช่างน่าเบื่อสิ้นดี
แต่ถึง เบื่อแล้วเธอทำอะไรได้บ้าง!!
“คุณนรินทร์” เสียงของคิมหันต์ดังขึ้นแต่ละครั้งทำเอาพนักงานในห้องต่างขนลุกซู่ ไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะคนที่ถูกเจาะจงเรียกชื่อไม่เพียงแค่ขนลุกขนชันแต่ยังอกสั่นขวัญผวาไปหมด
“คะ...ครับ” คนถูกเรียกตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่น
“ผมจะลงไปดูงานในโรงงานหน่อยมีอะไรด่วนก็โทรลงไปตามผมนะ” คิมหันต์เอ่ยพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เพราะคิมหันต์ไม่มีเลขา ฯเขามีเพียงผู้ช่วยที่ชื่อนรินทร์เท่านั้นไม่บ่อยนักที่คิมหันต์จะต้องเข้าไปในส่วนของโรงงานเพราะมันไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบส่วนของเขาแต่เพราะหลัง ๆ มานี้สินค้าที่จะทำการส่งออกมีปัญหาบ่อยกว่าปกติจนทำให้เขาต้องลงไปจัดการตรวจสอบด้วยตัวเอง
“ครับแล้วเรื่องที่ลูกค้าจากฝรั่งเศสจะมา...”
“ผมไม่รอแล้วถ้ามาก็ลงไปตามผมแล้วกันผมรอทางนั้นคอนเฟิร์มมาตั้งหลายวันแล้วแต่ก็ไม่เห็นจะกระตือรือร้นอะไรกันสักทีผมไม่ได้มีหน้าที่ต้อนรับพวกเขาด้วย” คนเป็นเจ้านายพูดอย่างหัวเสียส่วนหนึ่งไม่ได้หัวเสียให้ลูกน้องที่ถามแต่เขาหัวเสียให้กับคนที่ไม่คอนเฟิร์มงานเสียที
คิมหันต์เป็นบุคลากรที่อยู่ในกลุ่มของผู้มีความสามารถด้านภาษาซึ่งมีจำนวนน้อยนิดในบริษัทแห่งนี้การต้อนรับลูกค้าและแขกต่างประเทศ ที่เข้ามาในบริษัทจึงมักต้องเป็นเขาเสมอที่ให้การต้อนรับ
แต่ถึงอย่างนั้นหน้าที่นี้ก็ไม่ได้ถูกยกมาเป็นหน้าที่หลักหน้าที่สำคัญอะไรในสายตาของเขางานเขามีเพียงการบริหารจัดการด้านการส่งออกคิมหันต์จึงมุ่งเน้นความสำคัญไปที่ส่วนนี้มากที่สุด
“นี่ทิพย์ที่แกโดนเรียกไปครั้งก่อนนี่ยังไงแกยังไม่ได้เล่าเลยนะ” พนักงานสาวคนหนึ่งหันไปหาเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนจะเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่คันปากอยากรู้อยากเห็นมานาน
“จะอะไรซะล่ะคุณคิมหันต์มาเร่ง ๆ ๆ งานฉันน่ะสิทำไม่ทันก็เลยต้องใช้ทางลัดเอากูเกิลแปลไปส่งโดนด่ายับเลยแถมยังออกใบเตือนให้ฉันอีก” พรทิพย์พูดขึ้นยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเธอชำเลืองมองคนที่คิดว่าเป็นตัวต้นเหตุด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
เธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ใช้โปรแกรมแปลภาษาแต่เธอกลับคิดว่าคนที่ผิดคือเด็กใหม่ที่ไม่มีความสามารถเพียงพอ
“แล้วยายเด็กใหม่นี่ยังไงทำไมถูกเรียกเข้าไปเหมือนกัน” คนขี้สงสัยถามต่อเธออดทนจนคิมหันต์ไม่อยู่ออฟฟิศจึงได้ถาม
“ก็จะอะไรซะล่ะฉันไปขอให้มันช่วยแปลคุณคิมหันต์ก็เลยเอามันไปด่าด้วยมั้งเห็นออกมาจากห้องหน้าแดงหน้าดำออกมาเลย”
ความจริงแล้วชลาชลไม่ได้หน้าแดงหน้าดำที่ถูกคิมหันต์ด่าทอต่อว่าเธอโกรธที่เขาไม่ฟังเธอเลยต่างหากอีกอย่างคิมหันต์ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียกเธอเข้าไปด่าเรื่องการแปลแค่อยากจะตักเตือนเรื่องช่วยงานคนอื่นเพราะสุดท้ายความเดือดร้อนมันอาจจะต้องมาตกที่เธอ
“ไม่รู้บริษัทจ้างมาทำอะไรเข้ามาเป็นอาทิตย์แล้วไม่เห็นทำอะไรเลยนอกจากจัดเอกสาร” กลุ่มพนักงานเจ้าถิ่นซุบซิบกันเสียงดัง จนคนถูกพูดได้ยินชลาชลพยายามทำหูทวนลมไม่สนใจคำพูดที่ได้ยิน
‘ใครมันจะอยากนั่งว่าง ๆ วะแต่คุณหัวหน้าจอมบงการนั่นไม่ยอมมอบหมายงานให้แถมยังไม่ให้ช่วยงานใครอีกจะให้ทำยังไง’ แม้จะไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเลยสักนิดแต่เธอก็ทำได้เพียงไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจและอ่านทำความเข้าใจกับเอกสารตรงหน้าต่อไป
ผ่านไปสักระยะหนึ่งกลุ่มพนักงานที่จับกลุ่มกันนินทาคนนั้นคนนี้ ก็ค่อย ๆ สลายจากกันไปเพราะกินเวลานานงานก็จะไม่เสร็จและสุดท้ายคิมหันต์ก็จะมาเล่นงาน
“พี่นรินทร์คุณคิมหันต์ไปไหน” เสียงของพนักงานฝ่ายบริการลูกค้าเดินเข้ามาถามผู้ช่วยที่กำลังวุ่นอยู่กับเอกสารกองใหญ่
พนักงานสาวคนถามเธอได้เดินเข้าไปหาคิมหันต์ในห้องทำงานก่อนแล้วแต่ไม่เจอคนเดียวที่น่าจะให้คำตอบนี้ได้ก็เห็นจะมีแค่ผู้ช่วยจึงได้ปรี่เข้ามาถามนรินทร์อย่างไม่รอช้า
“ไปในไลน์มั้งมีอะไรเหรอ” เมื่อเห็นว่าพนักงานสาวสวยเข้ามาขอความช่วยเหลือ นรินทร์ก็รีบละมือจากงานแล้วตอบกลับทันที
“ไปนานหรือยังพี่เมื่อเช้ามิสเตอร์คริสโทรมาบอกพี่ภูมิว่าจะเข้ามาดูการแพ็กงานของเราไอ้ที่มันมีปัญหาไม่ตรงตามข้อกำหนดเขาน่ะแล้วเมื่อกี้เขาเข้ามาจอดรถกันแล้วเลยจะให้คุณคิมหันต์ไปรับหน่อยรอบนี้เขาไม่ได้เอาล่ามมาล่ามเราก็ลาวันนี้”
“อ้าวแล้วทำไมเพิ่งมาบอกล่ะถ้าคุณคิมหันต์เขารู้โดนด่ากันทั้งแผนกแน่เลยล่ะรู้ไหม” นรินทร์เริ่มรู้ชะตากรรม
“พูดตอนนี้มันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะพี่ก็เห็นว่าปกติเขาอยู่ห้องตลอดเลยว่าใกล้ ๆ ค่อยมาไม่อยากเจอเขาบ่อย ๆ ดุอย่างกับอะไรใครจะอยากคุยด้วย” เป็นที่รู้กันดีว่าหัวหน้าแผนกนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร เลี่ยงได้ใครก็อยากจะเลี่ยงกันทั้งนั้น
“อ๋อเห็นบอกจะลงไปตั้งแต่แปดโมงครึ่งนี่ก็ชั่วโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวคงกลับมามั้งแล้วคุณคิมหันต์ก็น่าจะลงไปเรื่องนี้เหมือนกันหรือไม่งั้นเดี่ยวพี่โทรตามเขาให้นะ” นรินทร์ว่าพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเจ้านายของเขาเพียงครู่หนึ่งคิ้วของเขาก็ขมวดยุ่งเสียงตอบรับอัตโนมัติที่ดังลอดปลายสายเข้ามานั้นบอกว่าไม่สามารถติดต่อกับเจ้านายของเขาได้
“ในโรงงานไม่น่าจะมีสัญญาณเอาไงดีล่ะรอหน่อยมั้ย” นรินทร์หันไปถามพนักงานคนสวย ที่ในเวลานี้สีหน้าร้อนรนเต็มที่
“เขาน่าจะเดินทางมาแล้วน่ะสิพี่ ให้คนลงไปตามได้ไหม”
“อยู่โรงไหนก็ไม่รู้เอาไงดีวะ” นรินทร์ว่าพลางครุ่นคิดหากเขาจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ก็จะกลายเป็นเขาเสียอีกทีโดน