สีหน้าชิวอี้ดูเป็นกังวล แสดงว่าปกติแล้วฝูมู่เสวี่ยแห่งแคว้นเหลียวรักถนอมใบหน้าตนเองยิ่งนัก เป็นเช่นนี้ดีอย่างยิ่งเพราะตัวฝูมู่เสวี่ยเองรักหน้าตางดงามของนางยิ่งกว่าสิ่งใดเช่นกัน โชคดีใบหน้าเดิมของนางกับฝูมู่เสวี่ยเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว สิ่งเดียวที่แตกต่างนั่นคือฝูมู่เสวี่ยคนเดิมไม่มีไฝแดงใต้ตาซ้าย
“เจ้าชื่อชิวอี้ใช่หรือไม่ เป็นอย่างไรเจ้าไม่ชอบไฝใต้ตาข้า ดูอัปลักษณ์เกินไปหรือ”
“ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ก่อนคุณหนูชื่นชอบให้ใบหน้าสดใสไร้รอยแผล พอเห็นท่านได้แผลมาเช่นนี้บ่าวกลัวคุณหนูคิดมากเจ้าค่ะ อย่างไรเสียใบหน้าสตรีเหมือนคันฉ่องบานใหญ่ หากแผลนี้ไม่หายจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เจ้าอย่าคิดมากเลยไม่หายก็ช่างเถอะ อีกอย่างข้าคิดว่ามีไฝแดงเช่นนี้ดูงดงามไม่น้อย”
ชิวอี้เหลือบมองใบหน้าผู้เป็นนาย อันที่จริงแล้วเป็นอย่างวาจาคุณหนูพูดมาไม่มีผิด แต่ก่อนใบหน้าคุณหนูงดงามไร้ตำหนิ มาตอนนี้กลับมีตำหนิหญิงงามขึ้นมา ทำให้ใบหน้าดูงดงามเย้ายวนไปอีกแบบ ร่างขาวเนียนในอ่างน้ำหันมาหาชิวอี้
“จริงสิข้าอยากถามเจ้า ระหว่างข้ากับน้องสาวผู้ใดงดงามกว่ากัน”
“คุณหนูหมายถึงงามแบบใดเจ้าคะ”
“ยังมีความงามหลายแบบอีกหรือ..ยุ่งยากจริง...”
“ไม่ได้ยุ่งยากเช่นนั้นเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณหนูรองล้วนมีหน้าตางดงามไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่ผู้คนขนานนามท่านเป็นดั่งแสงตะวันส่องสว่าง ส่วนคุณหนูรองเป็นดั่งแสงจันทร์ขาวเย็นตาเจ้าค่ะ”
ฝูมู่เสวี่ยขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงงดงามไม่ต่างกัน”
“นั่นเป็นเพราะพวกท่านเป็นฝาแฝดกันอย่างไรเล่าเจ้าคะ ทั้งท่านและคุณหนูรองถึงได้มีหน้าตางดงามไม่ต่างกัน”
คำอธิบายของชิวอี้ทำเอาแผ่นหลังขาวผ่องรู้สึกหนาวเหน็บไร้สาเหตุ ฝูมู่เสวี่ยไร้อารมณ์แช่น้ำเอื่อยเฉื่อย ร่างแม่นางน้อยคนงามเดินขึ้นจากอ่างน้ำร้อนเช็ดตัวสวมอาภรณ์ผืนใหม่ ชั่วขณะที่กำลังเลือกสีชุดตามแบบที่ตนเองชื่นชอบ ฝูมู่เสวี่ยอดคิดถึงคำบอกเล่าของสาวใช้ไม่ได้
“คุณหนูทั้งสองมีใบหน้าเหมือนกัน”
ที่แท้ฝูหว่านอิงน้องสาวในนามคนใหม่ของนาง มีหน้าตาเหมือนกันกับพี่สาวไม่มีผิด ช่างเป็นโชคชะตาเล่นตลกชวนปวดหัวได้ไม่รู้จบเสียจริง
“ตอนนี้คุณหนูมีแผลเช่นนี้นับว่าไม่แย่ ต่อไปผู้คนที่พบเห็นจะจดจำท่านได้แน่เจ้าค่ะ”
ฝูมู่เสวี่ยเบะปาก “แต่ก่อนผู้อื่นชอบทักผิดงั้นหรือ”
“ไม่มีผู้ใดทักผิดเจ้าค่ะ เป็นเพราะคุณหนูรองชอบสวมอาภรณ์สีแดง ส่วนท่านชอบอาภรณ์ขาวสีเรียบเจ้าค่ะ”
มือขาวเนียนที่กำลังหยิบเสื้อคลุมสีแดงชะงักค้าง เปลี่ยนไปหยิบสีเมฆาอ่อนด้านข้างแทน
“เช่นนั้นก็ดี อย่างน้อยน้องหญิงจะได้ไม่รำคาญใจเวลาเห็นหน้าข้า”
“คุณหนูรองไม่มีทางรำคาญคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนั้นคุณหนูรองจะลงแรงอ้อนวอนฮูหยินกับนายท่าน รับคุณหนูกลับจวนหรือเจ้าคะ”
ฝูมู่เสวี่ยโบกมือ “เรื่องนั้นช่างเถอะข้าไม่อยากพูด ข้าอาบน้ำเสร็จแล้วตอนนี้หิวมาก เจ้าไปตามดูชิวถงว่ากลับมาหรือยัง”
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ชิวอี้เป็นคนไม่พูดมากนั่นดีอย่างยิ่ง แต่ข้างกายฝูมู่เสวี่ยจะขาดตัวพูดมากอย่างชิวถงไปไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ตัวช่วยทำภารกิจเดียวของฝูมู่เสวี่ยคือม้วนภาพวาดเก่าโบราณ ในนั้นบอกเล่าเรื่องราวชีวิตจอมทรราชแซ่เจาเอาไว้ แน่นอนของอัปมงคลสิ่งนี้มาพร้อมกับตัวปัญหาน้อยบนข้อมือฝูมู่เสวี่ยเมื่อวาน
เงาร่างสวมอาภรณ์สีเมฆาอ่อนหยิบม้วนภาพวาดมาส่องดูเรื่องราวในนั้น ฝูมู่เสวี่ยเดินมานั่งลงตรงข้างหน้าต่างบานใหญ่ แสงตะวันยามสายส่องกระทบผืนผ้าไหมสีเก่าซีด ตัวละครด้านในวาดด้วยฝีพู่กันเล็กละเอียด น่าเสียดายตัวละครทั้งหลายไม่ได้โผล่มาในคราวเดียว หากแต่เริ่มเผยออกมาทีละส่วน แน่นอนฝูมู่เสวี่ยไม่อาจหารายละเอียดใดจากภาพวาดนี้ได้มากนัก อย่างเช่นนิสัยใจคอตัวละครในนั้น หรือวิถีชีวิตประจำวัน แต่ที่รู้ได้แน่นั่นคือเจาจื่อจิ้งเกลียดชังคุณหนูใหญ่ฝู รักชอบคุณหนูรองฝูหว่านอิง
ดวงตากลมโตเหลือบมองแนวหลังคาสีเขียวถัดออกไป ก่อนก้มมองรายละเอียดบนภาพวาดปริศนา กำแพงเขียวตรงนั้นเป็นที่พักของเจาจื่อจิ้งไม่ผิดแน่ ตัวละครในภาพวาดเผยให้เห็นหนึ่งสตรีใบหน้ายิ้มแย้ม กับหนึ่งบุรุษท่าทางไม่แย่ยืนสนทนา หมายความว่าตลอดเวลาที่เจาจื่อจิ้งอาศัยอยู่ในจวนสกุลฝู เขากับฝูหว่านอิงมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมมาก แล้วเหตุใดต้องรับปากหมั้นหมายฝูมู่เสวี่ยคุณหนูใหญ่สกุลฝูด้วย
คิดมาถึงจุดนี้ข้างขมับฝูมู่เสวี่ยเต้นตุ้บ นางต้องแทรกแซงวาสนาด้ายแดงผู้อื่นดึงให้เจาจื่อจิ้งเลือกหลงใหลฝูหว่านอิงให้ได้ เพื่อที่ต่อไปยามฝูหว่านอิงแต่งออกไปต่างแคว้น จอมทรราชน้อยเจาจื่อจิ้งจะได้ไม่ลักลอบขุดกำแพงพังบ้านผู้อื่นสร้างปัญหา
ไม่รู้ว่าน้องสาวตัวต้นเรื่องอย่างฝูหว่านอิงนิสัยใจคอแท้จริงเป็นอย่างไร หากเหมือนกันกับฝูเหมี่ยวน้องสาวของนางแล้วละก็ ปัญหาใหญ่ที่ฝูมู่เสวี่ยต้องรับมือไม่ใช่แค่จอมทรราชเจาจื่อจิ้ง แต่ยังมีพวกบุรุษหน้าขาว[1] อีกทั่วเมือง
“ใครอยู่ตรงนั้น! ไสหัวออกมาให้ข้า”
ฝูมู่เสวี่ยตวาดออกไป เงาร่างสวมอาภรณ์สีเข้มตรงพุ่มไม้โผล่ออกมา เป็นบุรุษอายุน้อยหน้าตาไม่เลวผู้หนึ่ง น่าเสียดายฐานะเป็นบ่าวรับใช้ หากเอาหน้าตานี้ไปขายให้บรรดาแม่หม้ายในหอนางโลม รับรองตำแหน่งบุรุษงามอันดับหนึ่งจะต้องตกอยู่ในมือเขาแน่
“เจ้าเป็นบ่าวรับใช้เรือนใด เหตุใดต้องทำท่าทางมีพิรุธด้วย”
“คุณหนูใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ข้าบังเอิญเดินมาทางนี้พอดีไม่ได้ทำตัวมีพิรุธอะไร”
“ไม่มีอะไรก็ไสหัวไปได้แล้ว ข้าไม่ชอบผู้อื่นยุ่มย่ามพื้นที่ส่วนตัว”
“ไสหัวไป” บ่าวรับใช้ทวนคำ “คุณหนูพูดจาเช่นนี้ไม่ได้ขอรับ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
ฝูมู่เสวี่ยคว้าดินปั้นตกแต่งตรงริมหน้าต่างเตรียมขว้างสั่งสอนคน ไม่คาดคิดว่าข้อมือที่สวมกำไลเจ้าปัญหารู้สึกเจ็บแปลบเหมือนเข็มทิ่ม แม่นางน้อยเผลอหลุดวาจาหยาบคาย สีหน้าบ่าวรับใช้ผู้หล่อเหลาถึงกับขมวดคิ้ว
“...อ๊ะ!...สารเลวเจ้ากล้าทำร้ายข้า”
“คุณหนูใหญ่”
“ยังไม่ไสหัวไปอีก! ไปสิ!”
แววตาคมของคนตรงหน้าทอประกายอ่านไม่ออกวูบหนึ่ง ต้องยอมรับว่าใบหน้าหล่อเหลาของบ่าวรับใช้ผู้นี้ดูดีมาก หากฝูมู่เสวี่ยไม่เคยพบยอดบุรุษอย่างแม่ทัพเจาเจียหย่งมาก่อน ไม่แน่บ่าวรับใช้ชายผู้นี้นางจะยกให้เป็นบุรุษหน้าตาดีอันดับหนึ่ง น่าเสียดายวันนี้เขาดันเห็นฝูมู่เสวี่ยเผลอพูดคนเดียวเข้า หัวคิ้วคุณหนูใหญ่ฝูครุ่นคิดหนัก จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ หากนางเผลอหลุดวาจาตอบโต้กำไลเจ้าปัญหาขึ้นมาอีก
[1] สำนวน หมายถึงผู้ชายที่ทำอะไรไม่เป็น อ่อนแอ