หัวคิ้วคุณหนูใหญ่ฝูครุ่นคิดหนัก จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ หากนางเผลอหลุดวาจาตอบโต้กำไลเจ้าปัญหาขึ้นมาอีก
“คุณหนูเจ้าคะ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ชิวถงเจ้าหายหัวไปไหนมา ข้าหิวจนท้องร้องไปหมด”
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าบอกพ่อครัวทำหัวสิงโตน้ำแดงที่ท่านอยากกิน เขาบอกว่าไม่เคยได้ยินเจ้าค่ะ โชคดีคุณชายเจามายกอาหาร เลยพออธิบายหัวสิงโตน้ำแดงที่คุณหนูอยากกินออกมาได้ ลองดูสิเจ้าคะ”
ดวงตากลมมองไปในชามกระเบื้องอันใหญ่ ก้อนเนื้อไส้ผักหน้าตาประหลาดอันนี้กลายเป็นหัวสิงโตน้ำแดงขึ้นมาได้ ฝูมู่เสวี่ยถอนหายใจก่อนจับตะเกียบตั้งหน้าตั้งตากินข้าว มือน้อยขยับตะเกียบไปได้สามคำก็วางลง ชิวถงมองสลับไปมาระหว่างใบหน้างดงามของคุณหนูใหญ่ กับจานอาหารมากมายบนโต๊ะ ไม่ใช่ว่าคุณหนูบอกให้นางยกมามากหน่อยหรือ?
“ข้าอิ่มแล้วเจ้ายกออกไปแบ่งกับชิวอี้เถอะ ต่อไปพวกเจ้าสองคนรับใช้ในเรือนข้าด้วยกัน เข้าใจหรือไม่”
“คุณหนูกินไปสามคำอิ่มได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“ชิวถง” ดวงตาคมกริบปรายมอง “ข้าบอกว่าอิ่มแล้วเจ้าจะถามมากเรื่องไปไย”
ชิวถงซึ่งยังคงไม่เข้าใจวิถียอดหญิงงามตั้งท่าถามต่อ ส่วนชิวอี้ไม่พูดมากรีบเข้ามารับใช้ยกจานอาหารมากมายออกไป ที่จริงฝูมู่เสวี่ยสามารถกินได้เพิ่มอีกสองสามคำ ติดตรงที่เวลานี้นางไม่อยากอาหาร ไม่ใช่แค่ไม่อยากอาหารยังไม่อยากทำสิ่งใดทั้งนั้น! น่าเสียดายฝูมู่เสวี่ยไม่อาจอยู่เฉย เริ่มจากเรื่องแรกนางต้องการสัตว์เลี้ยงสักตัว เอาไว้กันยามเผลอหลุดวาจาพูดคุยกับกำไลขาว
“จริงสิข้าอยากเลี้ยงลูกแมวสักตัว เจ้าพอจะหามาให้ข้าได้หรือไม่”
ชิวถงดวงตาสว่างวาบ “มีเจ้าค่ะ วันก่อนข้าเพิ่งเห็นลูกแมวขาวในจวน อีกเดี๋ยวจะไปอุ้มมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“เจ้าเอามันมาแล้วอย่าลืมป้อนอาหารอย่าให้มันไปที่อื่น ทางที่ดีอุ้มมาให้ข้าดูก่อน หากไม่ชอบเจ้าไปหาตัวอื่นมาใหม่”
สีหน้าชิวถงแปรเปลี่ยนไปมา คล้ายมีวาจาอยากพูดกลับไม่กล้าเอ่ย นิสัยฝูมู่เสวี่ยไม่ชอบเก็บงำ สุดท้ายนางบีบสาวใช้พูดความในใจออกมาจนได้
“ชิวถงเจ้ามองอะไร อยากรู้สิ่งใดถามออกมาเถอะ หากไม่ถามระวังเจ้าจะท้องอืด”
“แต่ก่อนหากคุณหนูรู้จักพูดความใจในออกมาเช่นนี้ คงไม่ถูกนายท่านกับฮูหยินเข้าใจผิดใหญ่โตแน่เจ้าค่ะ”
“อ้อ” ฝูมู่เสวี่ยขานรับในลำคอ
“บ่าวพูดจริงนะเจ้าคะ กลับจากอารามคราวนี้คุณหนูเปลี่ยนไปมาก”
“เจ้าไปอุ้มลูกแมวมาได้แล้ว ข้าจะเอนหลังพักสักหน่อย”
ชิวถงไม่พูดอะไรอีกรีบออกไปตามหาลูกแมวตัวนั้นมาให้ผู้เป็นนาย สาวใช้คนดีไม่มีทางรู้เลย เมื่อครู่นางทิ้งข้อกังขาใหญ่ไว้ให้ฝูมู่เสวี่ยครุ่นคิดต่อ แต่ก่อนนายท่านฝูกับฮูหยินเข้าใจผิดเรื่องใด? เหตุใดถึงได้ลงโทษบุตรสาวคนโตไล่ไปอยู่อารามชี ข้อมือขาวเนียนคว้าม้วนภาพที่ยัดไว้ใต้ฟูกนอนมาเปิดดู เป็นอย่างที่คิดไว้ ภาพวาดในนั้นไม่มีเรื่องของคุณหนูใหญ่ฝูมู่เสวี่ย มีแต่เพียงฝูหว่านอิงกับเจาจื่อจิ้ง ม้วนภาพปริศนาโดนคนงามยัดเข้าไปเก็บที่เดิม
ไม่รู้ว่าปมปัญหาข้อนี้ ฝูมู่เสวี่ยสมควรรื้อฟื้นสักหน่อยหรือไม่ แต่เรื่องที่ฝูหว่านอิงลงแรงไปไม่อาจดูแคลนนาง พิธีก้มคารวะคลานเข่าบูชาเทพใช่ว่าอยากทำก็ทำได้ ยามก้มกราบตัวตนนอนราบไถไปบนพื้น ยืนขึ้นมาได้ยังคงต้องคุกเข่ากราบคารวะถูไปกับพื้นเช่นนี้จนถึงที่หมาย
ฝูหว่านอิงใช้วิธีนี้บีบบังคับบิดามารดาขออภัยแทนพี่สาว บุตรสาวคนเล็กที่นิสัยดีหนักแน่นใจกว้างมีเหตุผล ถึงกับใช่วิธีทรมานตนเองเช่นนี้ ไม่ทันที่ฝูหว่านอิงจะออกไปจากประตูจวนสกุลฝูด้วยซ้ำ นายท่านฝูกับฮูหยินพยักหน้ายินยอมให้ฝูมู่เสวี่ยกลับจวน หากยึดตามโครงเรื่องเดิม วันที่ฝูมู่เสวี่ยกลับจวนรถม้าของนางเกิดเรื่องจนตกเขา คุณหนูใหญ่ฝูคู่หมั้นจอมทรราชแซ่เจาสิ้นใจตายไปเช่นนี้เอง ตอนนี้เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปแล้ว นี่คือภารกิจสวมรอยคู่หมั้น ให้ฝูมู่เสวี่ยหาทางเปลี่ยนจอมทรราชแซ่เจากลายเป็นคนดี
“..หืม?...เจ้ามีรอยเพิ่มขึ้นแล้ว เป็นไปได้อย่างไรข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”
สายตาคนงามเหลือบไปเห็นกำไลข้อมือที่เมื่อครู่กล้าทำนางเจ็บตัว ปรากฏริ้วรอยเส้นสีแดงเพิ่มขึ้น ฝูมู่เสวี่ยมองแล้วมองอีกหรือจะเป็นรอยเลือดบนข้อมือ? น่าแปลกรอยเจ็บตรงข้อมือไม่มีแผลแต่เจ้าตัวปัญหาน้อยกลับมีริ้วแดงเพิ่ม หรือว่านางเผลอทำภารกิจใดสำเร็จ?
“คุณหนูเจ้าคะข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านดูสินี่ก็คือเจ้าลูกแมวขาว”
“ชิวถงเจ้าโง่ใช่หรือไม่ นี่มันลูกหมา” ฝูมู่เสวี่ยโบกมือ “ช่างเถอะเจ้าตัวนี้ก็น่ารักดี ข้ายอมเลี้ยงมันก็ได้ เจ้าไปหาเบาะนุ่มมาให้มันสักหน่อยให้มันนอนหน้าเตียงข้าก็แล้วกัน”
เป็นชิวอี้เดินถือเบาะนุ่มอันเล็กเข้ามา สีหน้าสาวใช้คล้ายมีบางอย่างอยากพูดกลับไม่เอ่ยวาจา ฝูมู่เสวี่ยมองเห็นแล้วแต่ตอนนี้นางมัวลูบพุงเอาใจเจ้าตัวก้อนขาวอยู่ มันเป็นลูกหมาที่แปลกยิ่งนัก ขนยาวทั้งตัวเป็นสีขาวไร้ตำหนิใบหน้าดูยาวไม่น่ารัก โชคดีฝูมู่เสวี่ยไม่สนใจหน้าตาของมัน นางแค่อยากเอาเจ้าตัวก้อนขนมาเลี้ยงไว้แก้ต่างให้ตนเอง
“ตั้งชื่อเจ้าว่าอะไรดี ฟู่ฟู่หรือไป๋เสวี่ย”
“คุณหนูมันเป็นลูกหมา หากตั้งชื่อดีเกินมันจะอายุสั้นนะเจ้าคะ”
“จริงหรือ? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“คุณหนูเคยเลี้ยงลูกหมาหรือเจ้าคะ” ชิวถงท้วง
“เช่นนั้นตั้งชื่อมันว่าอะไรดี เจ้าน่ารักขี้อ้อนชื่อชิวเพ่ยก็แล้วกัน”
ได้ยินคุณหนูตั้งชื่อลูกหมาว่าชิวเพ่ย ชิวถงกับชิวอี้หางตากระตุกยิก สาวใช้ในเรือนจี๋ฟางใช้ชื่อต้นเป็นอักษร ชิว คุณหนูกลับตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงตามอย่างสาวใช้ แล้วเจ้าตัวหน้าขนนี้นับเป็นบ่าวรับใช้ด้วยหรือไม่
“เมื่อครู่มีบ่าวรับใช้ชายมาทำท่าทางมีพิรุธ ข้าไม่ชอบให้พวกเจ้าทำตัวมีพิรุธเช่นนั้น จำไว้อยู่รับใช้ในเรือนนี้ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัว”
“..เอ๋...บ่าวรับใช้ชายหรือเจ้าคะ เรือนจี๋ฟางไม่มีบ่าวชายนะเจ้าคะ หรือเป็นบ่าวนายท่านส่งมา” ชิวอี้เอ่ยวาจา
“บ่าวผูใดข้าก็ไม่ชอบ เอาเถอะเรื่องผ่านไปแล้ววันหน้าพวกเจ้าสองคนระวังอย่าให้มีอีกก็พอ”
ชิวถงดวงตาเป็นประกายวาววับ “ไม่แน่อาจเป็นบ่าวรับใช้จากเรือนนายท่าน ให้ข้าไปสอบถามดูสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ หากฮูหยินอยากพบคุณหนูข้าจะได้รีบมาบอกท่านเจ้าค่ะ”