ฝูมู่เสวี่ยปล่อยชิวถงไปสอบถามตามพอใจ
ท่าทีสาวใช้มีหลายอย่างน่าสงสัย ความสัมพันธ์คนในจวนสกุลฝูเป็นอย่างไรกันแน่? เรื่องนี้ฝูมู่เสวี่ยเตรียมสอบถามชิวอี้ไว้แล้ว มือน้อยบรรจงวางชิวเพ่ยลงไปนอนบนเบาะนุ่ม ลูกหมาน้อยชอบเบาะนุ่มอันนี้มาก พอฝูมู่เสวี่ยปล่อยมันลงไปนอน จมูกเล็กทำท่าสูดดมเล็กน้อยก่อนยอมนอนลงไป ดวงตาสีดำสนิทมองดูใบหน้าฝูมู่เสวี่ยไปด้วย
“ชิวอี้แต่ก่อนเจ้าคิดว่านิสัยข้าเป็นอย่างไร เจ้าไม่ต้องกลัวพูดออกมาตามจริงข้าไม่ถือโทษเจ้า”
“แต่ก่อนคุณหนูเป็นคนพูดน้อยเจ้าค่ะ ทุกสิ่งทุกเรื่องท่านล้วนไม่พูดออกมาได้แต่เก็บไว้ในใจ นานวันเข้าคุณหนูยิ่งไม่ชอบออกไปเที่ยวเล่นเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนพักเจ้าค่ะ”
“แล้วข้าทำอะไร”
“คุณหนูไม่ทำสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ อันที่จริงข้าไม่ได้รับใช้ใกล้ชิดหรือไม่คุณหนูถามชิวถงดีหรือไม่เจ้าคะ พี่ชิวถงย่อมรู้มากกว่าข้าเจ้าค่ะ”
“เมื่อครู่เจ้าเห็นแล้วชิวถงไม่อยากทำให้ข้าลำบากใจ หากข้าถามนางจะได้คำตอบแท้จริงงั้นหรือ”
วาจาประโยคนี้ชิวอี้พูดไม่ออก ถ้อยคำหลังจากนั้นเผยเรื่องราวมากมายของฝูมู่เสวี่ยออกมาได้น่าตื่นตะลึงนัก มิน่าเล่าขนาดคนปากมากอย่างชิวถงยังไม่กล้าพูดออกมา แต่ก่อนคุณหนูใหญ่สกุลฝูมีชีวิตไม่ง่ายเลย
“เจ้าบอกว่าที่ผ่านมาท่านแม่เลี้ยงดูแต่หว่านอิง ส่วนข้าปล่อยให้อยู่เรือนจี๋ฟางกับแม่นมใช่หรือไม่”
สีหน้าชิวอี้เริ่มดูไม่ดี “คุณหนูบ่าวไม่ได้หมายความว่าฮูหยินไม่รักท่านนะเจ้าคะ ตอนนั้นคุณหนูยืนกรานอยู่ที่เรือนจี๋ฟางเอง เป็นเช่นนี้นานท่านกับฮูหยินเลยปล่อยเลยตามเลย”
“นั่นสินะ”
“คุณหนูอย่าเข้าใจนายท่านกับฮูหยินผิดเลยนะเจ้าคะ อีกอย่างคุณหนูรองดีกับท่านมาก คราวนี้หากไม่มีคุณหนูรองอ้อนวอน คงต้องรอถึงสิ้นปีเจ้าค่ะท่านถึงจะได้กลับจวน”
“เหตุใดข้าก่อเรื่องใหญ่เพียงนั้นออกมาได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ฝูมู่เสวี่ยแค่เพียงอยากรู้ว่าคุณหนูใหญ่ฝูตัวจริงก่อเรื่องใหญ่อะไรจนโดนส่งไปอยู่อารามชีบนเขา สีหน้าแววตาชิวอี้แปรเปลี่ยนหลากหลาย
“ตอนเกิดเรื่องไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย มีแต่ท่านกับคุณหนูรองสองคนเจ้าค่ะ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่อาจเล็ดลอดออกจากเรือนฮูหยิน ในเมื่อคุณหนูกลับมาแล้วต่อไปพวกเราไม่พูดอีกถึงอีกดีหรือไม่เจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินจะได้ไม่โมโหอีก”
“อืม”
ฝูมู่เสวี่ยขานรับในลำคอ ดูท่าต้นตอของเรื่องนี้นางคงต้องปล่อยไปก่อน แต่เรื่องที่คุณหนูใหญ่ฝูไม่ยอมอยู่ร่วมกับมารดา จะต้องมีลับลมคมในซ่อนอยู่อีกเป็นแน่ คิดมาถึงตรงนี้ฝูมู่เสวี่ยเลิกสนใจ โยนปมปัญหาเดิมพวกนั้นทิ้งไป ภารกิจของนางคือเอาใจเจาจื่อจิ้งไม่ใช่เอาใจคนสกุลฝู เป็นเช่นนี้ก็มีข้อดีวันหน้าพอจบเรื่องฝูมู่เสวี่ยจะได้จากไปอย่างไร้อาลัย
“ชิวอี้อีกเดี๋ยวเจ้าตามข้าไปเรือนพักคุณชายเจาสักหน่อย ข้าอยู่ว่างไม่มีอะไรทำอยากไปเยี่ยมเขา”
“หา? คุณหนูพูดอะไรนะเจ้าคะ”
“ข้าบอกว่าจะไปเยี่ยมเจาจื่อจิ้ง เป็นอะไรไป? เขาเป็นคู่หมั้นข้าเหตุใดข้าจะไปเยี่ยมเขาไม่ได้”
“ในเมื่อคุณหนูอยากไปเยี่ยมคุณชายเจา เช่นนั้นให้บ่าววิ่งไปแจ้งคุณชายสักรอบดีหรือไม่เจ้าคะ”
“เหตุใดต้องวิ่งวุ่นเสียเวลาด้วย” ฝูมู่เสวี่ยยืนขึ้น “วันนี้ข้าธุระเยอะ ไปตอนนี้เลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา”
ชิวอี้พยักหน้าตกลง “เอาเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
“เรือนพักเขาไปทางไหนข้าจำไม่ได้เจ้านำทางไปก็แล้วกัน คุณชายเจามีบ่าวรับใช้กี่คน ปกติแล้วเขาขัดสนเรื่องใดหรือไม่”
“คุณชายเจาพักอยู่เรือนชิงฟงเจ้าค่ะ นายท่านบอกว่าเรือนชิงฟงห่างไกลสักหน่อยแต่เงียบสงบเหมาะกับการท่องตำรา เรื่องบ่าวรับใช้ คุณชายเจามีบ่าวรับใช้ติดตามมาจากหนานซาคนเดียวเจ้าค่ะชื่อสือจ้วง”
ฝูมู่เสวี่ยปล่อยชิวอี้ร่ายความเป็นมาของเจาจื่อจิ้งต่อไป ที่แท้คุณชายเจาผู้นี้เป็นบุตรชายเจ้าเมืองหนานซา แต่ก่อนสกุลเจามีหน้ามีตาในเมืองหลวงมาหลายรุ่น ไม่รู้ไปขัดพระทัยฮ่องเต้อย่างไร ยามนี้ใต้เท้าเจากลายเป็นเจ้าเมืองหนานซาอันห่างไกลสิบปีเต็มแล้ว ปีก่อนส่งบุตรชายคนเดียวอย่างเจาจื่อจิ้งมาขออาศัยจวนสหายอย่างนายท่านฝู รอต้นปีเปิดสอบคัดเลือกขุนนางในเมืองหลวง ถึงตอนนั้นโชคชะตาท่านเสนาบดีน้อยจอมทรราชแซ่เจาถึงจะเริ่มต้น
ฟังจากคำบอกเล่าของชิวอี้ เห็นได้ชัดว่าเจาจื่อจิ้งมีนิสัยเรียบง่ายไม่หวือหวา ฝูมู่เสวี่ยคิดเชื่อมโยงบุตรชายหน้าขาวของเจ้าเมืองหนานซากับจอมทรราชน้อยผู้สังหารคนไปครึ่งแคว้นไม่ออก ในเมื่อคิดไม่ออกล้วนไม่ต้องเปลืองเวลาไปคิด เพราะว่าตอนนี้ประตูเรือนชิงฟงที่ว่าห่างไกล ปรากฏอยู่เบื้องหน้าฝูมู่เสวี่ยนี่เอง
คุณหนูใหญ่ฝูนิสัยเปลี่ยนไป
หนึ่งในผู้ที่รับรู้ได้ไม่ได้มีเพียงสองสาวใช้เรือนจี๋ฟาง ยังรวมถึงคู่หมั้นในนามอย่างเจาจื่อจิ้ง วันนี้เขาออกไปธุระข้างนอก กลับมาสายสักหน่อยถึงได้ไปยกอาหารจากโรงครัวด้วยตัวเอง ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินชื่ออาหารแปลกประหลาดออกจากปากสาวใช้เรือนจี๋ฟาง สีหน้ายุ่งยากใจของสาวใช้ทำให้เจาจื่อจิ้งไม่อาจไม่ช่วยเหลือ ดังนั้นเขาถึงได้เอ่ยลักษณะอาหารหัวสิงโตน้ำแดงน้ำใสอะไรนั่นอย่างขอไปที แม่นางน้อยเจ้าของเรือนจี๋ฟางผู้เงียบขรึมไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ยังไล่ตะเพิดกล่าวหาเจาจื่อจิ้งเป็นบ่าวรับใช้
“ท่านเป็นอะไรไป อาหารวันนี้ไม่ถูกปากเช่นนั้นหรือ”
“สือจ้วงเจ้าไม่สบายก็ไปพักผ่อนเถอะ เดินเพ่นพ่านทำไมกัน”
“คุณชายเป็นอะไรไปอีก ผู้ใดทำให้ท่านไม่พอใจเช่นนี้”
“ไม่มีอะไร แค่เด็กไม่ยอมโตผู้หนึ่ง”
เสียงไอกระท่อนกระแท่นจากปากบุรุษนามว่าสือจ้วงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงไอหนัก เจาจื่อจิ้งได้แต่หลับตาลง คุณชายที่มีบ่าวรับใช้อ่อนแอขี้โรคเช่นนี้ มองหาทั่วแคว้นเหลียวเห็นจะมีแต่เจาจื่อจิ้งผู้เดียว ช่วยไม่ได้กับสือจ้วงไม่ได้เป็นเพียงบ่าวรับใช้ บุรุษอ่อนแอขี้โรคผู้นี้เป็นดั่งพี่ชายดั่งสหายสนิท เมื่อคืนกว่าเรื่องยุ่งยากของฝูมู่เสวี่ยจะจบลงได้ เจาจื่อจิ้งกับสือจ้วงวิ่งวุ่นไปทั่ว เช้านี้สือจ้วงอาการไม่ค่อยดีไอตลอดทั้งเช้าเกรงว่าเมื่อคืนคงต้องลมเย็นมากไป วันนี้เจาจื่อจิ้งเลยสวมเสื้อผ้าตัวเก่าซีดขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกลับมา