ฟางหรงนั่งลงที่ร้านเหล้าของสหาย นางหยิบไหเหล้าขึ้นมาเทลงใส่จอกก่อนจะยื่นให้ซูมี่ด้วยท่าทีสบายๆ
เป็นพระชายานี่...ได้เงินใช้จ่ายส่วนตัวมากทีเดียว
ในเมื่อท่านอ๋องแต่งงานกับนางเพื่อผลประโยชน์เช่นนั้นการนำเงินในตระกลูไป๋มาใช้จ่ายบ้างนั่นไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด
วันนี้กว่าจะหลบหนีอิงอิงออกมาก็ทำเอาเหนื่อย เพราะฉะนั้นฟางหรงจะต้องดื่มเหล้าดอกท้อของร้านซูมี่ให้เต็มที่ไปเลย
ฟางหรงเลิกคิ้วมองสหายในขณะที่เธอยกจอกเหล้ากรอกใส่ปาก
"นี่ ไม่ดื่มรึไง?"
ซูมี่ยกยิ้ม นางมองสหายรักด้วยดวงตาที่เหม่อลอย
"ให้ตายเถอะฟางหรง ข้าคิดว่าข้าอยู่ในอาการตกหลุมรักเข้าให้แล้วล่ะ!!"
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว ในหนึ่งเดือนสหายของเธอจะมีอาการเช่นนี้ราวสามครั้ง ครั้งแรกเมื่อเรือเทียบท่าแล้วมีพ่อค้าวาณิชหน้าตาหล่อเหลาผ่านมา ครั้งที่สองเมื่อเรียกสอบบัณฑิต ซูมี่จะไปยืนมองบุรุษรูปงามที่สถานศึกษาตลอดการสอบแข่งขันเข้ารับราชการ
และครั้งสุดท้ายนั่นคือการที่ทหารกลับมาจากชายแดนเดือนละครั้ง เนื่องจากการรบกินเวลานาน ทางการจึงมีเมตตาให้ทหารสามารถลากลับบ้านได้ ทหารในค่ายจึงผลัดกันลากลับบ้านเดือนละหนึ่งครั้ง...
แล้วครั้งนี้สหายของเธอไปตกหลุมรัก พ่อค้า บัณฑิตหรือว่าทหารกันนะ?
"เจ้าก็ตกหลุมรักบุรุษอยู่ทุกเดือน"
"ไม่ใช่แบบนั้นนะฟางหรง ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้วๆมา เพราะว่าหัวใจของข้ามันเต้นแรง เจ้ารู้รึเปล่าว่าเมื่อวานข้ากลับบ้านได้อย่างไร เป็นเขาที่มาส่งข้า ถึงตอนนั้นข้าจะเมาแต่ทว่าข้าจำได้อย่างแม่นยำเลยว่าใบหน้าของเขานั้นเป็นเช่นไร เขารูปงามปานภาพวาด วงแขนที่เขาอุ้มข้าขึ้นมานั้นแข็งแกร่งจนข้าสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเขา..."
"นั่นใช่เรื่องที่มาจะเล่าให้สตรีที่ยังไม่ได้เข้าหอเช่นข้าฟังอย่างนั้นรึ ขอร้องล่ะซูมี่..."
ซูมี่ขมวดคิ้ว
"ไม่ได้เข้าหออะไรกัน ท่านองครักษ์บอกข้าว่าคืนนั้นท่านอ๋องไปนอนที่จวนของเจ้า"
ฟางหรงส่ายหน้าก่อนจะยกจอกสุราขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
"ข้าตื่นมาในยามสาย โดยที่ตัวของข้านั้นนอนอยู่บนพื้น อาการเจ็บหลังจากการนอนบนพื้นแข็งๆนั่นทั้งคืนยังไม่หายเลย"
ซูมี่ขมวดคิ้ว
"แต่เท่าที่ข้าถามข่าวสาวใช้ในจวนอ๋อง พวกนางต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านอ๋องไปที่เรือนเก็บตะวันในคืนเข้าหอนะ"
ในใจมิได้รู้สึกอะไรกับคำกล่าวของสหายเลย หากท่านอ๋องมาจริงๆก็คงจะมาอยู่ตามคำขอร้องของท่านพ่อเป็นแน่
"ช่างเถอะ เรื่องเขาจะมาหรือว่าไม่มานั่นไม่เกี่ยวเลยซูมี่ เพราะฮูหยินเฒ่าบอกกับข้าว่า ภายในเวลาหนึ่งปี หากกว่าข้ามิสามารถมีบุตรให้ท่านอ๋องได้ นางจะเขียนจดหมายหย่าให้ข้า"
ซูมี่ยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่มด้วยใบหน้าที่แสนจะดีใจ
"นั่นมันดีมากๆเลยไม่ใช่หรืออย่างไร จากที่ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ กลับกลายเป็นว่าเจ้าต้องอดทนเพียงแค่หนึ่งปี"
นั่นสินะ ฟางหรงยกยิ้มขึ้นมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
"หลังจากที่หย่ากับท่านอ๋อง คราวนี้ข้าจะเรียนเรื่องการปกครองอย่างจริงจัง เพราะว่าตอนนี้ที่จวนตระกูลฝู เหลือข้าเพียงคนเดียวที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลได้"
ซูมี่จ้องมองจอกเหล้าที่ว่างเปล่าพร้อมกับถอนหายใจ
"เจ้าน่ะ จะไม่โกรธพี่ฟางเซียนหน่อยรึไง พี่เจ้าจงใจทิ้งปัญหาใหญ่เอาไว้ให้เจ้าเลยนะ นางรู้ทั้งรู้ว่าเจ้าจะต้องเป็นคนแต่งงานแทนนาง แต่นางก็ยังจะหนีไป"
ฟางหรงยิ้มเศร้าๆให้กับตัวเอง
"ไม่เลย ไม่โกรธสักนิด ตรงกันข้ามในใจกลับรู้สึกยินดีที่พี่ของข้านั้นหนีไปได้"
เธอพูดในขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองท้องฟ้า
"เป็นข้าที่ช่วงชิงความสุขของพี่สาวมา ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องส่งคืนความสุขนั้นให้แก่พี่ฟางเซียน"
ซูมี่นั้นทำได้เพียงถอนหายใจ นางเทเหล้าลงใส่จอกก่อนจะวางไว้เบื้องหน้าสหาย
"ข้าขอร้องนะฟางหรง ขอให้เจ้ายอมการกระทำของพี่ฟางเซียนในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายหากในภายภาคหน้าพี่สาวของเจ้ามาทวงทุกอย่างกลับคืนไป รับปากได้ไหมว่าเจ้าจะต้องโกรธนาง"
ฟางหรงหัวเราะ เธอเลือกที่จะยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
"อื้อ...สุราร้านของเจ้านั้นยังคงหวานหอมละมุน นุ่มลิ้นไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆนะซูมี่"
"อ่า...อย่ามาเปลี่ยนเรื่องสิฟางหรง!!!!"
แสงของดวงตะวันได้จางหายลาลับไปจากขอบฟ้าแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำที่มีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา
ฟางหรงเดินเข้าไปในจวนตระกูลไป๋...
นางชะงักเล็กน้อยเมื่อมาถึงที่หน้าจวนเก็บตะวัน มันน่าขำตรงที่ในมือทั้งสองข้างนั้นพะรุงพะรังไปด้วยขนมแป้งทอดและลูกพลับตาแห้ง
ความเคยชินนี่มัน น่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้จริงๆด้วยสินะ
เพราะเคยชินว่าเวลาออกไปข้างนอกจะต้องซื้อของมาฝากท่านพ่อท่านแม่ และพี่สาว เคยใช้ชีวิตเช่นนั้นจนชิน วันนี้ก็เลยซื้อของมาจนเต็มไม้เต็มมือไปหมด
อิงอิงที่ยืนรอหน้าจวนเตรียมคำบ่นพระชายาของนางเอาไว้มากมาย แต่พอเห็นฟางหรงเดินมาพร้อมของฝากในมือ เธอจำต้องกลืนคำบ่นนั้นลงคอไป
"....ไปหาพระสนมไหมเพคะ ถึงอย่างไรของพวกนี้ก็ไม่มีทางที่จะทานหมด ลองไปที่ตำหนักด้านใน..."
จริงด้วยสินะ ผลไม้ตากแห้งนี้ท่านแม่ชอบทานมากทีเดียว เพราะหมอบอกว่ามีสรรพคุณชวนชะลอริ้วรอยบนใบหน้า ท่านแม่ที่รักในใบหน้ายิ่งชีพจึงนิยมทานผลไม้ตากแห้งมาก
รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แสนงดงามของฟางหรง นางเดินถือถุงกระดาษไปยังตำหนักหลังใหญ่ที่ด้านข้างจวน
"ขออภัยที่มารบกวนพระสนมในยามนี้นะเพคะ"
พระสนมนั้นเป็นสตรีที่มีใบหน้าแสนอ่อนโยน รอยยิ้มบนใบหน้านั้นทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความสบายใจ และผ่อนคลายลงได้อย่างน่าประหลาด
"ไม่เป็นไรฟางหรง ข้าพึ่งจะปักผ้าเสร็จ เข้ามาด้านในก่อนเถิด"
ด้านในห้องรับรองล้วนเต็มไปด้วยภาพวาดที่แสนงดงาม และผ้าปักที่ยังคงปักค้างเอาไว้
“หม่อมฉันไปเที่ยวเล่นในตลาดมาเพคะ ท่านแม่ของหม่อมฉันชอบทานผลไม้ตากแห้งมากเลยเพคะ ฟางหรงพี่งมาอยู่ที่จวนไป๋ จึงยังมิทราบแน่ชัดว่าพระสนมนั้นชอบทานอะไร..."
สนมไป๋หัวเราะ นางยกมือขึ้นมาลูบผมของฟางหรงรอย่างเอ็นดู
"อันที่จริง เจ้าควรจะเรียกข้าว่าเสด็จแม่ ถึงจะถูก งานแต่งก็จัดไปแล้ว..."
ฟางหรงช่าง...ไม่คุ้นชินกับคำนั้นเอาซะเลย เพราะว่าไม่ว่ามองกี่ครั้ง ฟางหรงก็มองไม่เห็นความเหมาะสมของเธอกับจวนไป๋แห่งนี้เอาซะเลย
"เพคะ เสด็จแม่"
"มีคำกล่าวจากหมอหลวงว่าการทานผลไม้แห้งนั้นจะช่วยทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ ที่แม่ของเจ้าชอบทาน คงมาจากสาเหตุนี้ละมั้ง"
ฟางหรงหัวเราะ
"เพคะ ท่านแม่นั้นให้ความสำคัญกับความงดงามบนใบหน้ามากทีเดียว"