“เล่นจนเป็นเรื่อง” พี่ศิลป์โอบกอดไหล่ฉันดึงเข้าไปพิงอกเขา นั่นทำให้ฉันหยิกแขนเขาเบา ๆ
“น้องสาวพี่อยู่นู่น หวงผิดคนปะ”
“คนนี้ก็เลี้ยงมา หวงไม่ได้เหรอวะ”
“เถียงข้าง ๆ คู ๆ ขืนพี่ทำแบบนี้อยู่เรื่อย ไอ้น้องคนนี้คงหาผัวไม่ได้สักที”
“ก็ไม่ต้องมีดิ แค่ฟันเล่น ๆ เอามัน น้ำแตกแยกทางแค่นั้นพอ จะหาห่วงผูกคอทำเหี้ยไร”
“เจริญละพี่ฉัน” ชมพูแดกดัน
“สอนดี” ฉันยกนิ้วให้พี่มันอย่างชมเชยแกมประชด
ก่อนที่เราจะทะเลาะกันต่อ ชมพูเป็นคนดึงฉันไปกอดไหล่ไว้เสียเอง ไม่ใช่ช่วยหรอก นางรำคาญเราสองคน
ฉันกับพี่ศิลป์ไม่ได้มีซัมติงอะไรกันทั้งนั้น เขาเห็นฉันเป็นน้องเหมือนชมพูนั่นแหละ ส่วนฉันก็เห็นเขาเป็นแค่พี่ชาย
“ไงมึง” เดินมาถึงโต๊ะ เขาชูแก้วขึ้นชนกับทุกคน
“ไงไอ้สอง คืนนี้มึงเป๋าตุงเลยดิ”
“ก็ต้องขอบคุณมึงที่หาเรื่องหนุก ๆ ให้กูทำนั่นแหละ” ผู้ชายที่ชื่อสองเหลือบมามองทางฉัน “แต่กูว่า การซิ่งของคนสวยคนนี้ทำกูตื่นเต้นมากกว่าแข่งเองอีกว่ะ สมกับที่ใคร ๆ พูดว่าเด็กไอ้ศิลป์แม่งเด็ด”
“เด็กเดิกอะไรล่ะ เราสองคนเป็นน้องสาวพี่ศิลป์ค่ะ” น้องสาวตัวดีของพี่ศิลป์ชิงแนะนำตัวก่อน เล่นเอาพี่ชายอ้าปากหวอ “เราชื่อชมพู นี่เพื่อนเรา นาเนียร์”
“ขอแนะนำตัวอีกที พี่ชื่อสองครับ วิศวยานยนต์ปีสาม นู่นเพื่อนพี่ ไอ้ธีม ไอ้กาย”
ฉันมองไปทางโต๊ะเขาอีกรอบ พบว่าสองหนุ่มนั้นมองมาที่โต๊ะเราไม่วางตา
“มึงจะมาแนะนำตัวเหี้ยอะไรไอ้สอง”
“อ้าว พวกมึงมีน้องสาวสวยไง เผื่อกูมีโอกาสสมัครเป็นน้องเขยไรงี้”
“ส้นตีนกูนี่”
พี่ศิลป์สวนกลับ อีกฝ่ายกับหัวเราะลั่น หากนั่นทำให้เห็นได้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันระดับหนึ่ง แม้จะกวนกันแต่ไม่มีความไม่ลงรอยใดให้เห็น
“ย้ายมานั่งกะพวกกูดิ” พี่ฟิวส์ออกปากชวน
“ไม่เป็นไรเพื่อน เกรงใจน้อง ๆ มึง ถ้าไงแวะไปที่โต๊ะได้นะ”
“เออดี กูอยากคุยเรื่องลูกรักของกูกะเพื่อนมึงพอดี”
“งั้นไป”
พูดจบ หนุ่มหล่อเดินกลับโต๊ะไป โดยไม่ลืมขยิบตาให้ฉันด้วย นั่นทำให้พี่ ๆ ในกลุ่มฉันเป็นฝ่ายเดินไปหาพวกเขาที่โต๊ะ ทักทายชนแก้วกัน คงพูดคุยถามไถ่ถึงการแข่งรถที่ผ่านมานั่นแหละ แต่ฉันสังเกตนะว่ามีอยู่คนหนึ่งที่นั่งดื่มเงียบ ๆ บ่อยครั้งมีสาวสวยแวะเวียนมาขอชนแก้วกับหนุ่ม ๆ จนตาลาย แค่กลุ่มของพี่ศิลป์ก็ว่าหน้าตาดีแล้ว เพิ่มกลุ่มหนุ่มวิศวะมาอีกสามคน โต๊ะนั้นจึงกลายเป็นศูนย์รวมสายตาทันที
ไม่นานจากนั้น พวกเขาก็ถูกสาวสวยฉกตัวหายไปในฟลอร์ ไม่เว้นแม้แต่พ่อหนุ่มหน้าเย็นชา เขาถูกเพื่อนลากออกไปเช่นกัน
“ดูพี่มึง ตอนแรกทำตัวหวงกูอยู่แหม็บ ๆ ตอนนี้ทิ้งขว้างกูละ” ฉันพูดติดตลกขำ ๆ กับเพื่อนรัก เราสองคนถูกทิ้งให้เฝ้าโต๊ะ
“กูก็จะทิ้งเหมือนกันละเนี่ย หนุ่มคนนั้นขยันส่งสายตาให้กูจะบ้า”
“มึงชอบ”
“เปล่าย่ะ กูเห็นแล้วขนลุก จะกลับละ”
“เออ งั้นกลับด้วย ง่วงแล้วเหมือนกัน”
“อ้าว กูก็นึกว่ามึงจะนั่งเฝ้ารอจีบหนุ่มวิศวะสุดหล่อคนนั้นซะอีก เห็นนั่งมองตากันแล้วมองตากันอีกตั้งนาน นี่ถ้ามองตาก็ท้องได้ มึงป่องละนาเนียร์ ไม่จีบเขาจริงอะ”
“ไม่รีบ” ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์ “อะไรที่รีบร้อนเกินไปมักจะไม่ได้รับความสนใจ ถูกมองข้ามง่าย ๆ”
“เออ กูลืมไปว่ามึงมันร้าย”
ฉันแค่นหัวเราะ กอดคอเพื่อนรักพากันเดินเซนิด ๆ ออกจากผับ แยกกันตรงลานจอดรถ ฉันยังไม่ได้ขึ้นรถ เลือกหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบไล่ความเมามึน ปล่อยให้ควันขาวเข้าไปรมในช่องท้องได้สองอึกก็ต้องมีเรื่องหงุดหงิดจนอยากเอาบุหรี่ยัดปากคนที่หาเรื่องมาให้
เพียะ!!! นั่นคือเสียงที่หน้าฉันถูกกระทบจากฝ่ามือ
“อีเหี้ย สะเหล่อมายุ่งกะผัวกูเหรอ”
ความเจ็บลามไล้ใบหน้าทั้งแถบ ฉันยกมือมากุมและลูบแก้มข้างที่แสบร้อน ตวัดไปมองผู้หญิงหน้าตาถมึงทึงเอาเรื่อง กำลังจะถามว่าฉันไปยุ่งกะผัวนางตอนไหน ไอ้ตัวต้นเรื่องก็โผล่มาดึงตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ ไอ้คนที่คิดจะจูบฉันเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า
“อย่ามีเรื่องกันเลยน่าฟอง พี่กับเขาไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้น”
“นี่ผัวมึง” ฉันชี้ไปที่หมอนั่น
“เออ”
ผู้ชายพยายามจะลากนางออกไป แต่นางรั้งสู้สุดแรง จิกตามองฉันตาเขียวปัด
“ถ้ามึงร่านมากนักก็ไปหาคนอื่น อย่าสะเออะมายุ่งกะคนของกู อีเหี้ย!”
ได้คำตอบแน่ชัด ฉันกระตุกยิ้ม ปรายตาไปทางผู้ชายที่มีสีหน้าเจื่อนแหย ตวัดกลับมามองผู้หญิงที่ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่เดี่ยวแทบจะทุกวินาที ฉันคนนี้หรือจะกลัว ตวัดมือฟาดหน้าหล่อนจนหน้าหันไปหนึ่งที ฝ่ามือฉันแรงพอเอาเลือดร้อน ๆ ของนางออกและตัวเองแสบไปทั้งฝ่ามือ
“นี่คือค่าที่มึงตบกู”
“อี!”
“หุบปาก กูยังพูดไม่จบ แหกหูฟังให้ดี น้ำหน้าอย่างผัวมึงคนนี้ชาตินี้คนอย่างกูก็ไม่แลให้เสียสายตาหรอก อย่าสำคัญว่าผัวมึงมีดีค่ะ อีเหี้ย! ผัวมึงอะหน้าแม่งจืดโคตร ลีลาเข้าหาผู้หญิงก็ห่วยแตก เชิญมึงเก็บขึ้นหิ้งบูชาไปคนเดียวเหอะว่ะ คนอย่างกูสเปกสูงลิบ ผัวมึงไม่ผ่านมาตรฐานขั้นต่ำด้วยซ้ำ”
“อี!”