ตอนที่ 5 ชีวิตเดียวดายกลางหุบเขา

1301 คำ
หลังเหตุการณ์วันนั้น ซูเหมยหลันกลับมาใช้ชีวิตในเรือนไม้หลังเดิม บ้านที่เคยอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนา บัดนี้กลับเหลือเพียงเสียงลม เสียงแมลง และเสียงไม้แห้งแตกระหว่างย่ำเท้า นางพยายามใช้ชีวิตให้เหมือนเดิม ให้เหมือนว่ายังมีเซี่ยนหรงอยู่เคียงข้าง แต่ก็ไม่อาจหลอกหัวใจของตนเองได้ ลำธารที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางในยามหิว นางใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นตาข่ายเล็กๆ ดักปลาไว้ในจุดที่สามีเคยสอน แรกๆ ก็ลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป นางเริ่มจับปลาขนาดพอเหมาะมาได้เรื่อยๆ มือของนางที่เคยเนียนนุ่มกลับหยาบกร้าน หลังที่เคยตั้งตรงเริ่มล้าเพราะต้องหาบน้ำ ทำฟืน ปรุงอาหารเองทุกอย่าง แต่แววตานั้นยังคงเงียบเหงาและบังเกิดความเปล่าเปลี่ยวในยามค่ำคืน ระหว่างที่นางนั่งปิ้งปลาอยู่หน้ากองไฟ กลิ่นหอมของเนื้อปลาค่อยๆ ลอยฟุ้งไปกับไอควัน แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น ทว่ามันไม่ได้ทำให้นางดูสดใสกลับยิ่งตอกย้ำความโดดเดี่ยวในแววตานั้นมากขึ้น นางนั่งเงียบ จ้องมองปลายไม้ที่เสียบปลาไว้ก่อนจะเผลอพึมพำกับตนเองเบาๆ “เจ้าบอกว่าชอบปลาย่างที่หนังเกรียมนิดๆ ข้าก็ทำให้เช่นนั้น แต่เจ้าจะไม่มีวันได้กินอีกแล้วใช่หรือไม่” มือที่จับไม้เสียบสั่นเล็กน้อย น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนฝ่ามือที่เปื้อนเขม่า จนถึงยามค่ำลมหนาวในหุบเขาหวีดหวิวพัดผ่านร่องไม้ของเรือน ซูเหมยหลันนั่งอยู่หน้าประตู เปิดแง้มไว้เพียงครึ่ง มองจันทร์กลมโตที่ลอยอยู่กลางฟ้า ดวงจันทร์ดวงนั้นเคยเป็นสักขีพยานแห่งความรัก แต่ตอนนี้มันกลับส่องลงมาเพียงเงาของหญิงหม้ายผู้เดียว มือบางเผลอยกขึ้นแตะที่ปิ่นหยกซึ่งปักอยู่ในผม นางเก็บมันไว้มิใช่เพราะรักหลี่เฉินอวี่ผู้นั้น นางเพียงต้องการเก็บมันไว้เตือนใจ เขาทำให้นางเผลอใจเพราะความเปล่าเปลี่ยวหลังสามีจากลา แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ลงแรงทำทุกอย่างเพื่อเชยชมเรือนร่างนางเท่านั้น “ข้าเป็นเพียงหญิงหม้าย จะหาชายใดต้องการเล่า” นางพึมพำกับตนเองอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงซบเข่าทั้งสอง ปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ หนึ่งเดือนแล้วที่นางต้องใช้ชีวิตตามลำพัง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่านางจะเคยชินกับมันเสียที ************************ กลางวันในลำธารเงียบสงบ แสงแดดยามสายสาดลอดผ่านแนวไม้สูง ทอดลงบนผืนน้ำใสของลำธารที่เย็นฉ่ำ เสียงน้ำไหลเอื่อยปะปนกับเสียงนกป่า เป็นบทบรรเลงแผ่วเบาที่ซูเหมยหลันคุ้นเคยดี นางถอดเสื้อผ้าออกอย่างเงียบงัน พับไว้เป็นระเบียบบนโขดหิน แล้วค่อยๆ พาร่างเปลือยเปล่าก้าวลงสู่ลำธาร สายน้ำเย็นไหลผ่านข้อเท้า ราวกับลูบปลอบหัวใจที่ยังคงเปลี่ยวเหงาไม่คลาย นางปล่อยผมยาวสยาย ลูบหน้าด้วยน้ำใส ยิ้มออกมากับความสบายใจขณะย่ำเท้าเล่นน้ำ แววตาผ่อนคลายไร้ซึ่งเงาแห่งความเศร้า แม้เพียงชั่วขณะก็เหมือนโลกนี้มีเพียงนางและธรรมชาติที่งดงาม เป๊าะ! เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้ด้านบนหลังโขดหิน ซูเหมยหลันชะงักงัน แขนที่ตักน้ำยกขึ้นมาปิดอกอวบสองเต้าของตนเอาไว้ กลั้นลมหายใจขณะหันไปช้าๆ สายตานางสบเข้ากับสายตาของใครบางคน ชายหนุ่มคนหนึ่ง เสื้อคลุมเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ในมือมีไม้เท้าสำหรับเดินเขา ท่าทางเหนื่อยอ่อนเหมือนเดินทางมาไกล เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหันหลังทันที “ขะ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้ว่ามีคนอยู่ที่นี่” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย แต่พยายามอธิบาย “อย่าหันกลับมานะ” นางร้องเสียงหลง รีบก้าวขึ้นจากลำธาร มือสั่นเทาคว้าเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ ผมเปียกแนบแผ่นหลัง ใบหน้าร้อนผ่าวทั้งจากแดดและความอับอาย หัวใจของนางเต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุมไม่ใช่เพียงเพราะเขาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่เพราะนางไม่ได้เห็นชายใดในระยะใกล้มานานแล้ว เมื่อสวมเสื้อผ้าครบถ้วน นางก็รีบก้าวฉับๆ ผ่านหน้าเขา แล้วรีบเดินกลับไปยังเรือนไม้ด้วยความเร่งร้อน เส้นผมเปียกน้ำยังหยดเป็นทางหลังนางใบหน้ายังแดงก่ำด้วยทั้งความกลัว ความโกรธ และความอับอายปะปนกันไปหมด ขณะเดินกลับ นางรู้สึกถึงบางอย่างแปลกใหม่ในใจ ใช่นางหวาดระแวง แต่ขณะเดียวกันบางสิ่งในหัวใจกลับไหววูบอย่างประหลาด ความอ้างว้างที่เคยโอบล้อมคล้ายมีรอยร้าวเกิดขึ้นเล็กน้อย ซูเหมยหลันนั่งนิ่งอยู่หน้ากระท่อม มือยังชื้นจากน้ำในลำธาร แม้จะกลับมาได้สักพักแล้ว แต่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะจากเหตุการณ์เมื่อครู่ นางเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเสียงเหยียบใบไม้แห้งที่เคยคุ้น มาพร้อมเสียงของบุรุษแปลกหน้าผู้นั้น “แม่นาง ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ขอโทษอีกครั้ง ข้าไม่คิดว่าจะมีใครอาศัยอยู่ในหุบเขานี้ด้วยซ้ำ” เขายืนอยู่ไม่ห่างจากรั้วไม้เตี้ยหน้าบ้าน ท่าทางอ่อนแรง เสื้อผ้ายังเปียกชื้น ผงดินติดตามขากางเกงและรองเท้า ซูเหมยหลันลุกขึ้นอย่างระแวดระวัง สายตาเย็นเฉียบมองเขา มือจับชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว “เจ้าตามข้ามาทำไม” นางเอ่ยเสียงเรียบ เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างในท่าทางยอมจำนน “เปล่า ข้าไม่ได้คิดร้ายใดเลย ข้าเพียงหิวจนแทบไม่มีแรงเดินต่อ หากเจ้าเมตตา ขอแค่ข้าวสักมื้อ ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก” นางนิ่งเงียบ จ้องเขาอย่างลังเล ภาพของหลี่เฉินอวี่ผุดขึ้นมา เขาเองก็เคยขอนางเช่นนี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยคำลวง หัวใจนางเต้นช้าอย่างหนักอึ้ง ความเจ็บปวดเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน แต่สายตาของชายตรงหน้ากลับอ่อนแรงและจริงใจ เขาไม่เหมือนหลี่เฉินอวี่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ หม้ายสาวหลุบตาลง สูดลมหายใจลึก “ข้ามีเพียงผลไม้ป่าและมันเทศเหลือครึ่งลูก กินให้เสร็จ แล้วรีบจากไป” ชายผู้นั้นยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ก้มหัวให้นาง ก่อนเดินตามหลังนางเข้าไปในบ้านไม้ “ขอบคุณเจ้ามาก ข้าชื่อเหวินเจา เป็นชาวตำบลหนานซาน ข้าขึ้นเขามาหาสมุนไพรแล้วหลงทางมาเพราะหลบพายุเมื่อคืน…” เขาแนะนำตัวเองอย่างกระตือรือร้น ซูเหมยหลันพยักหน้าฟัง วางอาหารไว้ให้ ก่อนจะนำเสื้อผ้าเก่าของสามีนางมาให้เขาสวมใส่แทนตัวที่เปียกฝน “กินเสร็จแล้ว เปลี่ยนชุดแล้วก็รีบออกไป ก่อนที่สามทีของข้าจะกลับมาเจอเจ้า” นางกล่าวเป็นนัยให้เขาเข้าใจว่านางไม่ได้อยู่ลำพัง “ขอบคุณแม่นาง” เขากล่าวขณะรับเสื้อผ้าชุดใหม่ไปถือไว้ ตอนนี้ความลังเลในใจของนางก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยคำถามลึกว่าเขาจะเหมือนหลี่เฉินอวี่หรือไม่ หรือบางทีโชคชะตาจะมาทดลองหัวใจนางอีกครั้ง แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะตามมา ตอนนี้นางได้เปิดประตูบ้านให้ชายอีกคนแล้ว ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม