ภายในเรือนไม้หลังเล็ก หลังจากซูเหมยหลันหยิบเสื้อผ้าของเซี่ยนหรงออกมายื่นให้ชายแปลกหน้าผู้ยังชุ่มเหงื่อและฝุ่นโคลนจากการเดินป่า เขารับไว้แล้วเดินไปยังมุมหนึ่งของเรือนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
นางหันหลังให้เขา แต่เพียงครู่เดียวความอยากรู้อยากเห็นบางอย่างก็ผลักให้นางเหลียวมองผ่านหางตา
แผ่นหลังของเขาแข็งแรง กล้ามเนื้อไหล่ไล่ลงจนถึงแผ่นเอวแน่นได้รูป นางรู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วง ร่างกายร้อนวูบวาบอย่างไร้เหตุผล
นางบอกตนเองในใจว่าแค่ร่างกายบุรุษ ไม่ได้คิดอะไร แต่เลือดในกายกลับไหลเวียนเร็วผิดปกติ ใบหน้าเห่อร้อนจนต้องเบือนหน้าหนี ตั้งแต่สูญเสียหลี่เฉินอวี่ไปต่อจากเซี่ยนหรง นางก็ไม่เคยปล่อยใจให้ไหลไปกับความรู้สึกใดอีกเลย แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้กำแพงที่นางก่อไว้แรมเดือนเริ่มสั่นคลอน
ชายหนุ่มหันมาเพียงชั่วขณะเหมือนจับได้ว่านางแอบมอง เขารีบสวมเสื้อคลุมทับทันที พร้อมเบือนหน้าไปอีกทาง พลางผูกสายกางเกง
ซูเหมยหลันเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด
หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เขานั่งกินอาหารที่นางนำมาให้ ท่าทีของเขาเรียบง่ายและอ่อนน้อม ไม่ได้เอ่ยวาจาหวานหรือประจบใดๆ
เมื่อกินเสร็จ เขาลุกขึ้น ยกมือคำนับนางอย่างสุภาพ
“ขอบคุณสำหรับความเมตตา ข้าจะไม่ลืมบุญคุณในวันนี้”
นางพยักหน้าเบาๆ ไม่รู้ว่าควรรั้งเขาไว้ดีหรือไม่
ชายหนุ่มเดินออกจากเรือนอย่างเงียบๆ เสียงฝีเท้าเขาค่อยๆ จางหายไปในป่าเขียวครึ้ม นางยืนมองตามจนไม่เห็นเงาเขาอีก
หัวใจนางโล่งแต่กลับเหมือนมีช่องว่า บางอย่างเพิ่มขึ้นมาแทน ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาอยู่ในเรือนมันไม่มากพอจะฝากความผูกพัน แต่ก็ไม่น้อยพอจะไม่ทำให้รู้สึกว่าบางสิ่งกำลังหายไป
“ดีแล้วที่เขาจากไป ข้าไม่อยากเจ็บอีก”
นางบอกตนเองเช่นนั้น ก่อนจะหันหลังกลับไปยังเรือนเงียบเหงาที่เคยชิน แต่ขณะเดินเข้าไป นางก็หยุดนิ่งอยู่หน้าประตู มือยกขึ้นแตะแก้มที่ยังร้อนหัวใจเต้นเป็นจังหวะผิดปกติ
“ช่างเถิด แค่คนผ่านทางอีกคนเท่านั้น” นางหลุบตาลงแล้วหัวเราะแผ่วเบาอย่างขื่นขม
ค่ำคืนในหุบเขา ฝนเริ่มโปรย เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาไม้ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ความเงียบสงัดในยามค่ำปกคลุมไปทั่ว ภายในเรือนไม้เล็กสว่างไสวด้วยแสงตะเกียงที่ซูเหมยหลันวางไว้กลางห้อง
นางเอนตัวลงบนฟูกผืนบาง ห่มผ้าหมายจะข่มตานอน แต่วาบหนึ่งในใจกลับเต้นแรงไม่รู้สาเหตุ ภาพเรือนกายของบุรุษเมื่อตอนกลางวันยังไม่จางหายไปจากความคิด ภายในท้องน้อยใต้สะดือนางคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกปั่นป่วน
ขณะเดียวกัน ด้านนอกเรือนในเงามืดของต้นไม้ใหญ่
ชายหนุ่มยืนหลบฝนใต้ต้นไม้ ใบหน้าเปียกโชกแต่ดวงตากลับเร่าร้อนอย่างน่าประหลาด เขาจ้องไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มของเรือนเล็ก ภายในนางกำลังนอนอยู่ตามลำพัง
“อยู่คนเดียวจริงๆ” เขาพึมพำแผ่วเบา
ดวงตาคมกริบเห็นเพียงเงาร่างเลือนรางใต้ผ้าห่ม แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะจุดไฟในอกเขาให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพเรือนร่างเปลือยของนางในลำธารยังคงชัดเจน ผิวขาวผ่องกับหยดน้ำที่ไหลจากปลายเส้นผม เขาแทบลืมหายใจเมื่อนึกย้อนถึงตอนนั้น
“แววตานางตอนที่แอบมองข้า นางเองก็มีใจปรารถนาต่อข้าไม่น้อย” ริมฝีปากชายหนุ่มยกยิ้มบางอย่างเจ้าเล่ห์ เจือความมั่นใจ
“นางคงเปลี่ยวใจ ข้าแค่ต้องแทรกตัวเข้าไปให้ถูกเวลา” เหวินเจาพูดพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับราวกับนักล่าในเงามืด
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นในความเงียบ ซูเหมยหลันลืมตาตื่น สวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปยังบานประตู เมื่อเปิดออก แสงจากตะเกียงส่องให้เห็นชายหนุ่มที่เปียกปอนยืนอยู่ในความมืด
“เจ้า...”
“ขออภัย ข้า…หลงป่าอีกครั้ง วนกลับมาที่นี่จนได้” เขาหัวเราะเบาๆ ท่าทีเหมือนเขินอายเล็กน้อย แต่แววตานั้นกลับสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของนาง
ซูเหมยหลันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เปิดประตูให้เขาเข้ามา นางหาเสื้ออีกชุดของเซี่ยนหรงมาให้ พร้อมผ้าแห้งสะอาดให้เขาเช็ดหัวและไหล่
“สามีของแม่นางจะไม่ว่าอะไรหรือ” เขาถามเสียงนุ่ม ขณะรับเสื้อผ้ามาถือไว้
“เขา…กำลังเดินทางมาจากเมือง” นางตอบทันที ดวงตาหลบเลี่ยงความจริงบางอย่าง
“งั้นก็แปลว่าคืนนี้เจ้าก็ยังอยู่ลำพัง”
เขาเอ่ยพลางปลดเสื้อที่เปียกชุ่มออก เผยเรือนกายเปลือยเปล่าภายใต้เปลวตะเกียงสลัว กล้ามเนื้อแน่นเปียกน้ำไหลหยดจากปลายผมสู่บ่ากว้าง
ซูเหมยหลันรีบเบือนหน้าหนีทันที ใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ มือกำชายเสื้อแน่น พยายามควบคุมลมหายใจ
“เจ้าควรรีบเปลี่ยน อย่ามาทำอะไรไม่เหมาะสม” เสียงนางสั่นเบาๆ แต่ยังไม่ทันนางจะได้ก้าวเท้าหนี เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ใกล้เข้ามาจากด้านหลัง และก่อนจะรู้ตัว วงแขนแข็งแรงก็โอบเอวของนางแน่นจากด้านหลัง
“ข้าชอบเจ้าตั้งแต่แรกเห็น” เขากระซิบชิดซอกคอ
“เจ้าดูเข้มแข็ง แต่ข้าเห็นว่าในดวงตามีความเดียวดายเต็มเปี่ยม ข้าอยากอยู่ข้างเจ้า”
ซูเหมยหลันแข็งค้าง หัวใจเต้นดังในอก ลมหายใจของเขาอุ่นร้อนแนบหลังต้นคอ กลิ่นกายเขาผสมกับกลิ่นฝนกระตุ้นราคะของนางได้อย่างดี
นางพยายามหันหน้าหนี แต่แรงดึงดูดในอ้อมแขนเขากลับอบอุ่นมั่นคงจนร่างกายไม่ขยับไปไหน
“ข้าไม่รู้เจ้าเป็นใคร…” นางเอ่ยเสียงเบา
“แต่เจ้าก็กำลังหวั่นไหว…จริงหรือไม่” เสียงของเขากล่าวอย่างมั่นใจ ดวงตาที่จ้องนางไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
นางไม่ตอบ แต่ริมฝีปากสั่นไหว ลมหายใจขาดช่วง ในใจนางมีทั้งภาพของหลี่เฉินอวี่ที่เคยหลอกลวง และเงาของความว่างเปล่าที่กัดกินมานานแรมเดือน
คืนนี้ นางจะใจแข็งได้แค่ไหน
ลมหายใจของเขาอุ่นร้อนแนบต้นคอ มือที่วางบนเอวนางค่อยๆ เลื่อนขึ้นแตะเบาๆ ตรงแนวเอวพอดีมือ สัมผัสนั้นแผ่วเบาอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่านางจะสลายหายไป
“เจ้าหนาวหรือไม่…” เสียงกระซิบของเขาต่ำและนุ่ม เหมือนกล่อมนางให้เคลิบเคลิ้ม
ซูเหมยหลันหลับตาแน่น ไม่ตอบ แต่ร่างกายนางกลับสั่นเล็กน้อย เขารับรู้ได้ทันทีว่าความสั่นนั้น ไม่ใช่เพราะหนาวเย็น แต่เพราะหัวใจสั่นไหว และการที่นางไม่ดิ้นรนขัดขืนก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านางเต็มใจจะให้เขาล่วงเกินนางได้ตามอำเภอใจ
“ข้าไม่ได้ต้องการแค่ร่างกายของเจ้า แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเหงา ให้ข้าช่วยให้แม่นางคลายความเหงาและเปล่าเปลี่ยวนี้เถิด ข้าสัญญาว่าจะทำให้เจ้ามีความสุข”
คำพูดของเขาเหมือนตีแผ่ความจริงที่นางไม่กล้ายอมรับ หญิงหม้ายเม้มริมฝีปาก น้ำตารื้นขึ้นเล็กน้อยด้วยความอัดอั้นที่สะสมมานาน
************************