ตอนที่ 7 คลายความเหงา

1280 คำ
เหวินเจาที่เปลือยกายกอดร่างอรชรของหญิงหม้ายจากด้านหลัง พูดกล่อมให้นางเคลิบเคลิ้มไปกับเขาจนนางหวั่นไหว เขาหมุนร่างนางให้หันมาเผชิญหน้า ดวงตาของนางชื้นแวววาวด้วยความสับสนและวูบไหว มือของเขาลูบแก้มนางอย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตา จากนั้นไล้ลงมาที่ปลายคาง ลำคอ และแผ่นไหล่ ปลายนิ้วเขาเย็นเล็กน้อย แต่กลับจุดประกายไอร้อนในร่างนางให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาก้มลงประทับริมฝีปากที่ลำคอขาวผ่อง ก่อนจะใช้ปลายจมูกไล้เรื่อยตามแนวไหปลาร้า สูดดมกลิ่นสาบสาวที่หอมหวนชวนให้หลงใหล แล้วคำรามในลำคออย่างพึงพอใจ “ตัวเจ้าหอมเหมือนกลีบดอกเหมยหลังฝน” เขาพึมพำอย่างเคลิ้มใคร่ ซูเหมยหลันหลุบตา มือบางยกขึ้นแตะแผ่นอกของเขา จากแรกที่ต้องการผลักไสกลับเปลี่ยนเป็นยึดเหนี่ยวแทน เขาค่อยๆ ประคองร่างนางไปยังฟูกนอน ดันไหล่ทั้งสองข้างของนางกดให้ร่างอรชรเอนนอนลงไป ทุกสัมผัสของเขานุ่มนวลอย่างที่สุด “เจ้างานเหลือเกิน” น้ำเสียงนั้นแหบพร่า ร่างกำยำของเหวินเจาโน้มลงไปคร่อมทับ แล้วมอมเมาหญิงสาวด้วยจุมพิตที่ดูดดื่ม ริมฝีปากหยักค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากล่างของนางสลับกับการบดคลึงเบาๆ ปลายลิ้นชื้นแหวกริมฝีปากของนางให้อ้าออกแล้วสอดเข้าไปกวาดต้อนน้ำหวานในโพรงปากดูดดื่มอย่างกระหาย ลิ้นเรียวเล็กสอดเกี่ยวตอบกลับไป ในขณะที่มือทั้งสองข้างยกโอบรอบคอ เกี่ยวลิ้นพันกันจนน้ำลายชุ่มในปาก เขาเลื่อนริมฝีปากไล่ซับดูดน้ำลายจนหมด ก่อนจะเลื่อนลงไปจูบไซ้ที่ซอกคอระหง อาภรณ์ของนางถูกถอดออกไปอย่างเบามือ เพียงไม่นานร่างทั้งสองก็เปลือยเปล่าเสมอกัน จากนั้นเขาจึงแทรกกายที่หว่างขาแล้วมองเรือนร่างภายใต้แสงอบอุ่นจากตะเกียงไฟด้วยสายตาที่วาววับ “งามยิ่งนัก” เขาพึมพำเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น มือสากเอื้อมไปกอบกุมที่สองเต้าอวบที่หยุ่นมือแล้วบีบเคล้นมันพร้อมกับเลื่อนใบหน้าลงไปซุกที่ร่องอกนั้นแล้วสูดกลิ่นเสียงดังจนหญิงสาวหน้าแดงซ่าน ริมฝีปากร้อนผ่าวอ้าปากดูดดึงยอดจุกสีหวานที่ตั้งยอดชูชัน ปลายลิ้นตวัดเลียไปรอบๆ ฐานสีหวาน ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงเคล้นบีบทั้งสองเต้าแล้วยกปากสลับดูดซ้ายขวาอย่างเท่าเทียม ซูเหมยหลันครางเสียงหวานกระเส่า แอ่นหน้าอกรับปลายลิ้นชื้นที่ปัดป่ายไปทั่วยอดอก สะโพกบางเลื้อยส่ายไปมาด้วยความกระสัน จนเขาต้องเลื่อนมือมาวางที่เนินสวาทของนางแล้วใช้ปลายนิ้วกดคลึงที่เกสรเต่งตึงจนนางต้องครางออกมาเสียงหลง สะโพกนางยกรับปลายนิ้ว มือกดศีรษะเขาให้จมลงที่อกแต่ถูกเขากดข้อมือทั้งสองข้างนางลงแนบลำตัวก่อนที่จะเลื่อนใบหน้าลงไปซุกไซ้ที่เนินอูบด้านล่าง เมื่อเจอชิวหาสวาท แม่หม้ายสาวงามก็ร้องลั่นกระท่อมด้วยความสุขสมและเสียวซ่าน สะโพกบางทั้งบิดส่ายทั้งแอ่นรับเหมือนจะหนีปลายลิ้นชื้นแต่ก็ดังเด้งรับราวกับขาดไม่ได้ เมื่อปรนเปรอนางจนเปียกชุ่ม เขาจึงแยกขานางออกกว้างอย่างชำนาญ ร่างสูงใหญ่คร่อมทับแล้วเบียดสะโพกเข้าหานางด้วยความใคร่ หลังจากนั้นเสียงครวญครางอย่างมีความสุขก็ดังไปทั่วบ้านไม้กลางป่า ร้องเสียงหนักสลับเบาตามท่วงทำนองสวาทที่เหวินเจาบรรจงปรนเปรอให้นางอย่างสุดกำลัง ภายใต้สายฝนในค่ำคืนนั้น ซูเหมยหลันตกเป็นของเหวินเจา สามีคนที่สามที่ไร้ซึ่งพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน มีเพียงสายฝนและเสียงครวญครางอย่างสุขสมเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของการร่วมหอของทั้งคู่ในคืนนี้ ************************ รุ่งเช้าหลังคืนฝนตก ซูเหมยหลันลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ นางเอื้อมมือไปยังเบื้องข้าง ความว่างเปล่าคือสิ่งแรกที่ปลายนิ้วสัมผัสได้ ฟูกอุ่นเพียงเล็กน้อย แสดงว่าเขาจากไปไม่นาน นางนั่งพิงหมอน พลางใช้ผ้าห่มดึงขึ้นปิดร่างกายที่สวมเพียงอาภรณ์ชั้นเดียวที่บางเบา สัมผัสบนเรือนกายยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนผ่านเรื่องใดมา เสียงครางของเขายังคลออยู่ในหู และจากนางไปหลังจากสมปรารถนา เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังขึ้นที่หน้าประตู เขาเดินเข้ามาอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบสงบ มือถือผลไม้ที่เพิ่งออกไปหามาให้แก่นาง “ข้าขอโทษ” เสียงเขาเอ่ยเบาๆ อย่างระมัดระวัง ไม่กล้าสบตานาง ซูเหมยหลันไม่ตอบ เพียงแค่ใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่หล่นลงบนแก้มให้พ้นใบหน้า เขาคุกเข่าลงตรงปลายฟูก ดวงตาแนบแน่นด้วยความรู้สึกผิด “ข้าล่วงเกินเจ้าเมื่อคืน มันไม่ควรเกิดขึ้น ข้าแค่ห้ามใจไม่อยู่จริงๆ” นางยิ้มบาง ดวงตาไม่หลงเหลือความโกรธ มีเพียงความเหนื่อยล้าและเศร้าอย่างเงียบงัน “เจ้ามีใครที่รออยู่ที่บ้านหรือไม่” ประโยคเรียบง่ายตรงไปตรงมา ทำให้เขาชะงักดวงตาหลุบต่ำ แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าไม่มีภรรยา แต่ข้ามีมารดาชราที่ยังรออยู่ที่บ้าน นางป่วย ไม่อาจดูแลตนเองได้ ข้าต้องกลับไป” ซูเหมยหลันนิ่งไป หัวใจของนางคล้ายถูกปลิดด้วยปลายนิ้ว เจ็บจนไม่เหลือคำใดจะถามต่อ “ข้าขึ้นมาเก็บสมุนไพรลงไปขายเพื่อหาเงินมารักษาท่านแม่ ข้าจะกลับไปดูนางให้เรียบร้อย แล้วจึงจะกลับมาที่นี่อีก” เขาพูดเช่นนั้น แต่เสียงของเขาก็ไร้ซึ่งความมั่นคง นางรู้ว่าทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูบ้านนี้ เขาอาจจะไม่มีวันย้อนกลับมา “ข้าพอมีสมุนไพรที่เคยเก็บหามาได้ เจ้าเอากลับไปขายรักษาท่านแม่ของเจ้าเถอะ” เสียงนางแผ่วเบา ก่อนจะลุกไปหยิบสมุนไพรที่นางเก็บเอาไว้มาให้แก่เขา เหวินเจาตาโตกับสมุนไพรหายากในมือนาง หากแต่ก็เก็บอาการเอาไว้ เขายืนมองนางอยู่ชั่วครู่ และรับมันไว้พร้อมกับมองนางด้วยสีหน้าที่อาลัยอาวรณ์ ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย ซูเหมยหลันนั่งอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงฝีเท้าเขาไกลออกไป จนกระทั่งเงียบหายไป นางเดินออกมายืนที่บานประตู มองไปยังเส้นทางในป่า ร่างเขาเลือนรางท่ามกลางไอหมอก เสื้อผ้าสีเข้มตัดกับผืนไม้ ตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลังไหวเบาๆ ตามแรงฝีเท้า นางยืนมองนิ่ง ราวกับจะสลักภาพนี้ไว้ในใจ “เจ้าก็จากข้าไปโดยไม่หันกลับมาอีกคนแล้ว” เสียงนางเบาหวิว หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มช้าๆ ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงหัวใจที่เจ็บจนชา และว่างเปล่าจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน ซูเหมยหลันยกมือขึ้นลูบหน้า สูดลมหายใจลึก กลืนทุกความปวดร้าวกลับลงในอก “ข้าควรชินเสียที” ดวงตาของนางเหม่อมองป่าไม้เบื้องหน้าอย่างล่องลอย ทว่าแฝงไว้ด้วยคำพูดนับพันที่ไม่อาจเปล่งออก อีกวัน ที่นางกลายเป็นหม้ายแม้ไม่มีใครเรียกเช่นนั้น แต่หัวใจนางก็สูญเสียอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม