ตอนที่ 8 หวนกลับมา

1289 คำ
ซูเหมยหลันย่อตัวลงอย่างช้าๆ เบื้องหน้าคือหลุมศพที่นางขุดด้วยน้ำมือของตนเอง “เซี่ยนหรง…” นางคุกเข่าลง เสียงเอ่ยชื่อแผ่วเบา ดั่งสายลมกระซิบ “ข้าผิดเองที่เผลอใจ อ่อนแอจนปล่อยให้ความเหงาพาข้าให้หลงเดินทางผิด” น้ำเสียงหวานสั่นสะท้าน นางยกมือขึ้นลูบพื้นดินราบเรียบราวลูบมือของใครสักคน ดวงตาของนางรื้นน้ำตา แต่ก็ยังยิ้ม ทั้งที่ใบหน้าเจียนจะพังทลาย “แต่ข้า… ข้าแค่เหงาเหลือเกิน… บ้านหลังนี้ว่างเปล่าเหลือเกิน เซี่ยนหรง” บริเวณรอบกายนางเงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นระคนเสียงลมเย็นยะเยือก ราวกับว่าเขากำลังรับฟังนางอยู่ “ข้าโง่ยิ่งนัก ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่แต่ก็ยังยอมให้เขาเข้ามา ยอมให้เขาแตะต้องในสิ่งที่เจ้าเคยรัก ยอมให้เขาทำลายคำสัญญาที่ข้าเคยให้กับเจ้าว่าจะไม่เผลอใจกับบุรุษใดอีก” นางยกมือขึ้นปาดน้ำตา แต่กลับมีเพียงหยาดใหม่ที่รินลงมาไม่หยุด “ข้าเคยให้สัญญาว่าข้าจะไม่ให้ใครมาหลอกอีก แต่สุดท้ายข้าก็ผิดสัญญาอีกแล้ว” มือของนางกำแน่น ลูบดินหน้าหลุมศพราวจะปลุกให้เขาฟื้นขึ้นมา “ถ้าท่านรับรู้ ได้โปรดอย่าโกรธข้า ข้าไม่ได้ลืมท่านพี่เซี่ยนหรง ข้าแค่…เปลี่ยวใจเกินไปในค่ำคืนที่เงียบจนทนไม่ได้” นางเอ่ยพร้อมเสียงสะอื้นที่กลั้นไม่อยู่ ดวงหน้าแนบพื้นดินราวกับอ้อนวอน “ให้อภัยข้าด้วย ข้าทนต่อความปรารถนาในตัวข้าไม่ได้จริงๆ ข้าเหงาเหลือเกินท่านพี่เซี่ยนหรง ข้าเหงาเหลือเกิน” นางยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จนฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสี รู้สึกผิดต่อสามีคนแรก รู้สึกผิดต่อคำมั่นสัญญา หากแต่ก็ต้องยอมรับว่าราคะอันแรงกล้าของนางไม่สามารถดับลงได้แล้วจริงๆ ************************ หลายวันต่อมา กลางสายหมอกอ่อน ไม้ไผ่หลังบ้านไหวเบาๆ ตามแรงลมเช้า ซูเหมยหลันตื่นแต่เช้าดังเคย จุดเตาไฟเพื่อย่างปลาที่จับได้เมื่อวานเป็นอาหารในยามเช้า เสียงฝีเท้าลุยผ่านใบไม้แห้งและกรวดหน้าบ้านเบาๆ ดังขึ้น นางรีบลุกออกไปดูว่าเป็นเสียงผู้คนหรือเสียงสัตว์ที่ผ่านมาเยือน “เจ้า…” เสียงของนางแทบเป็นเสียงกระซิบ เมื่อนางเห็นเหวินเจายืนอยู่ตรงหน้า เหวินเจาอยู่ในชุดที่เปื้อนฝุ่น ด้านหลังมีตะกร้าที่สะพายหลัง และบนไหล่เขาแบกห่อผ้าผูกมัดแน่น ใบหน้าดูเหน็ดเหนื่อยแต่มีรอยยิ้มยังอ่อนโยน เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็ยิ้มกว้างขึ้น ยกมือขึ้นโบกเบาๆ “ข้ากลับมาแล้ว และข้าก็เอาข้าวสารกับเกลือมาด้วย” ซูเหมยหลันยืนนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตากลมของนางเบิกโพลง นางไม่คิด... ไม่เคยคิดว่าเขาจะย้อนกลับมาจริงๆ “เจ้ากลับมาทำไม” เสียงของนางไม่แน่ชัดนัก คล้ายทั้งดีใจ ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน และทั้งระแวดระวัง เขาก้าวเข้ามาใกล้ หยุดยืนตรงหน้านาง แล้วยื่นห่อผ้าให้อย่างเปิดเผย “ข้าไม่ได้อยากจากไปแบบนั้น แต่ข้าต้องรีบนำสมุนไพรไปขายเพื่อให้หมอมารักษาท่านแม่ที่ล้มป่วย พอนางเริ่มมีอาการดีขึ้นข้าจึงจะขึ้นมาเก็บสมุนไพรลงไปขายอีก และถือโอกาสนี้นำข้าวสารและเครื่องปรุงพวกนี้มาให้แก่เจ้า” นางก้มลงมองห่อผ้าบนมือ รับมันมาถือไว้ ดวงตาสั่นไหว “ข้าวสาร เกลือ แม้แต่น้ำตาลแดงเจ้าก็มีด้วย ของเหล่านี้มันแพงมากนะ” นางพูดเบาๆ ราวกับกำลังทบทวนความจริงตรงหน้า มือของเขาค่อยๆ เอื้อมมาเชยคางนางขึ้นเบาๆ “เพื่อเจ้าแล้ว แค่นี้ไม่ถือว่าแพง” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอึ้งงัน ดวงตารื้นน้ำตา “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเฝ้าบอกตัวเองว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้า…จะกลับมาจริงๆ” เขาไม่พูดอะไรอีก นอกจากยิ้มและเปิดแขนกว้าง ซูเหมยหลันลังเลเพียงครู่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในอ้อมแขนนั้นอย่างเงียบๆ ลมหายใจของนางสะดุดเมื่อได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นอยู่ตรงหน้าอก มันอุ่นเหมือนที่นางเคยรู้สึกครั้งหนึ่ง “ข้าก็ยังดีใจที่เจ้ายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ” นางกล่าวย้ำบอกว่าดีใจเพียงใด “ข้าล่วงเกินเจ้าไปแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องกลับมา ไม่ใช่เพราะความรับผิดชอบ หากแต่หัวใจของข้าถูกมอบให้เจ้าไปแล้วครึ่งดวง ครึ่งดวงอยู่ที่เจ้า อีกครึ่งอยู่ที่ท่านแม่ของข้าที่รออยู่” เขากล่าวพลางลูบหลังนางเบาๆ ความเงียบเข้าปกคลุม แต่คราวนี้ ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว เป็นความเงียบที่อบอุ่น เป็นความอ่อนโยนที่ไม่ต้องการคำพูดใดเพิ่มเติม ยามค่ำในคืนนั้น แสงตะเกียงไหวไปตามแรงลม ความเงียบที่เคยโอบล้อมนางอย่างโดดเดี่ยว บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา ซูเหมยหลันนอนอยู่ในอ้อมแขนของเหวินเจา ใบหน้าของนางแนบกับแผงอกที่อุ่นและมั่นคง มือของเขาลูบเรือนผมของนางอย่างแผ่วเบา ดวงตาเขามองลงมาราวกับอยากจดจำใบหน้านี้ไว้ชั่วชีวิต “ข้าอยู่กับเจ้าได้เพียงสามวัน ช่วงสามวันนี้ข้าต้องออกไปเก็บสมุนไพรเพื่อนำกลับลงไปขาย และหลังจากนั้นก็จะกลับขึ้นมาหาเจ้าอีกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ รอจนกว่าท่านแม่ข้าหายดีแล้วจะบอกเรื่องของเจ้าให้นางฟังตอนนี้นางป่วยอยู่ข้าไม่อยากให้มีเรื่องรบกวนจิตใจของนาง เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่” “ข้าเข้าใจดี” นางกล่าวอย่างว่าง่าย นางเป็นหม้าย นางมารดาเขารู้เข้าอาจจะทำให้เกิดความต่อต้าน ไม่มีใครอยากได้หญิงหม้ายไปเป็นสะใภ้ เรื่องนี้ต้องใช้เวลากว่าที่มารดาของเขาจะทำใจยอมรับได้ “เช่นนั้นช่วงนี้ข้าจะช่วยเจ้าเก็บสมุนไพร ดีหรือไม่” นางอาสาในสิ่งที่เขาเองก็ปรารถนาเป็นทุนเดิม ทำให้เหวินเจายิ้มกว้างที่ตนไม่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอ เขาทั้งได้ภรรยาที่งดงามและรู้แหล่งเก็บสมุนไพร ชีวิตนี้ช่างมีวาสนาเหลือเกิน “ไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” เสียงของเขานุ่มนวลดังข้างหูนาง ซูเหมยหลันยกมือวางไว้บนมือเขาที่โอบอยู่รอบเอว แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก “ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน” เสียงนางเบาแต่ชัดเจนพอจะปลุกคลื่นอารมณ์ที่ซ่อนลึกในใจของเขา เขาก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเลื่อนไปแตะริมฝีปากบางของนาง จุมพิตนั้นอ้อยอิ่งเต็มไปด้วยความคิดถึงและความโหยหา มือของเขาลูบไล้จากแขนของนางขึ้นมายังไหล่ ก่อนจะเลื่อนสัมผัสเข้าสู่อ้อมกอดที่แนบแน่นขึ้นร่างกายของหญิงสาวตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ ใจนางเต้นระรัว มีเพียงความอบอุ่นและความโหยหาในใจเท่านั้น พวกเขาจูบกันอีกครั้ง ครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ลมหายใจปะปนกันในความเงียบของยามค่ำคืนเสื้อผ้าที่ค่อยๆ ถูกปลดเปลื้อง เนื้อแนบเนื้อแลกไออุ่นกัน ใช้ภาษากายพูดคุยแทนการสนทนา เสียงเตียงไหวเบาๆ ไปตามจังหวะอารมณ์ที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซูเหมยหลันรู้สึกว่าครั้งนี้นางได้เจอรักแท้เข้าแล้วจริงๆ ในที่สุดนางก็ไม่ต้องเปล่าเปลี่ยวหัวใจอีกต่อไป ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม