ตอนที่ 4 เด็กอวดเก่ง

1915 คำ
“ไม่ไป” น้ำหนึ่งสะบัดแขนออก รอดพ้นจากการชายฉกรรจ์หลายคนทว่าจะมาถูกลากไปไหนต่อไหนกับผู้ชายที่ไม่รู้จักคนนี้ไม่ได้ ลุกขึ้นจะเดินหนีแต่กลับถูกราเชนทร์คว้าเอวกิ่วอุ้มตัวลอยห้อยโตงเตงแล้วจับยัดเข้ารไปในทันที “เข้าไปนั่งดีๆ” ใช้เท้ายันขอบประตูเมื่อน้ำหนึ่งจะมุดออก “ฉันไม่ไป” จะเอาตัวเองออกไปให้ได้ดันร่างคนตัวหนาให้พ้นทางเดินในรถเล็กๆ ก็ไม่เป็นผล ประตูอีกฝั่งถูกล็อคด้วยปุ่มควบคุมด้านหน้า น้ำหนึ่งไม่มีทางหนีออกไปจากรถหรูคันนี้ได้เลย “คิดว่าเงินที่ฉันช่วยใช้หนี้แทนคือเงินการกุศลเหรอน้ำหนึ่ง” เสียงทุ้มกดต่ำจ้องด้วยสายตาดุดันน่าสะพรึงยิ่งกว่าชายฉกรรจ์พวกนั้นเสียอีก เวลานี้คล้ายหนีเสือปะจระเข้ทว่าเป็นจระเข้ป่าอเมซอนที่ทั้งดุและราวกับหิวโหยพร้อมขย้ำเหยื่อ ทำไมแววตาผู้ชายคนนี้ช่างน่ากลัวอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน นั่งสูดลมหายใจเข้าออกหนักหน่วงในยามที่ไร้สิ้นหนทางออกไปจากจุดนี้ ราเชนทร์ขยับกายเข้ามาด้านในรถดึงประตูฝั่งด้านขวาดังปักจากนั้นสั่งตุลย์ให้ขับเคลื่อนออกไป บรรยากาศอย่างกับจะถูกพาไปลงนรกอยู่ร่อมรอ มองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถและใช้มือน้อยๆกดปุ่มบานกระจกทว่ามันก็ไม่เคลื่อนตัวลงมาเพราะมันถูกสั่งล็อกไว้อยู่บนแผงคอนโซลด้านหน้าคนขับ “บ้านอยู่ไหน” ราเชนทร์เอ่ยถามขึ้น การลากน้ำหนึ่งขึ้นรถมาด้วยเหตุผลจะไปส่งเท่านั้น แต่อีกฝ่ายดันคิดไปใกล้และนั่งวิตกกังวล “มาส่งฉันเหรอ” “แค่บอกว่าบ้านอยู่ไหนจะมาย้อนถามทำไม” เธอนั่งเงียบไม่มีคำตอบถอนหายใจดังฟอดใหญ่เหมือนคนคับอกคับใจ คนแก่กว่าคะยั้นคะยอถามหาบ้านของผู้หญิงตรงหน้า “ไม่มีบ้าน” เป็นประโยคที่ทำให้ราเชนทร์หันมองพร้อมคิ้วขมวดเป็นปมเล็กน้อย ใบหน้าเล็กก้มต่ำนั่งก้มเม้มริมฝีปาก บ้านหลังเดิมที่เคยอยู่ถูกเจ้าหนี้ยึดไปแล้วเพราะไม่มีเงินหาไปชดใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาอีกทั้งถูกทุบทำลายเตรียมสร้างเป็นโกดังเก็บของเป็นที่เรียบร้อย “จอดให้ฉันตรงนี้ก็ได้” ตุลย์ตบไฟเลี้ยวเข้าจอดริมฟุตบาทตามคำร้องขอของคนในรถ โดยที่ราเชนทร์ยังนั่งมองร่างแน่งน้อยไม่กะพริบตา น้ำหนึ่งเอื้อมมือดันประตูก้าวขาเตรียมลงได้เพียงหนึ่งข้างและกำลังจะยกก้นลอยเหนือเบาะเพื่อยืน ทว่ามือหนากระชากชุดเดรสเว้าโค้งตามสรีระร่างกายดึงเธอกลับเข้ามาในรถ ไม่ทันระวังตัวน้ำหนึ่งกระเด็นไปตามแรงดึงล้มนอนลงตักคนตัวโต ราเชนทร์ดึงประตูที่เปิดเอาไว้ปิดมันเข้ามาและสั่งคนด้านหน้าออกรถอีกครั้ง “กลับบ้าน” เป็นการสั่งมือขวาคนสนิท ตุลย์ใส่เกียร์รถและเหยียบคันเร่งไปด้วยความเร็วสูง โดยไม่ฟังการร้องขอของน้ำหนึ่ง คนที่สั่งเขาได้คือเจ้านายอย่างราเชนทร์เพียงคนเดียว “ปล่อยฉันลงสิ ฉันจะกลับเลานจ์” ทุบประตูและจะดันมันออกแต่ก็ไม่ทันความไวของตุลย์กดปุ่มล็อกทันที น้ำหนึ่งนั่งโวยวายเสียงดังสั่งคนขับให้จอดทั้งทุบตีรถ แม้ราเชนทร์จะเริ่มรำคาญกับเสียงแหลมดังกระทบรูหูข้างซ้ายก็ต้องทำเป็นเพิกเฉยไว้ก่อน รอให้ถึงบ้านแล้วจะจับยัยนี้มัดมือมัดปากเอาให้ดิ้นไม่ได้ ผ่านไป 1 ชั่วโมงบ้านที่ว่ามันยังไม่ถึงและเหมือนว่าจะออกนอกเขตกรุงเทพมหานครไปแล้ว คนตัวเล็กนั่งหาวด้วยความง่วงปนความเหนื่อยจากการโหวกเหวกโวยวายเป็นเวลานาน ตัวค่อยๆเอียงเอนในยามที่เหมือนจะหลับอยู่รอมร่อ หัวทุยเล็กเผลอเอียงลงไหล่หนาของอีกฝ่าย ราเชนทร์ผลักหัวทุยออกจากไหล่หนาจับเอนลงที่พิงหัวของเบาะทว่าก็เอนกลับมาซบไหล่หนาหลายครั้ง น้ำหนึ่งหลับลึกจะโดนผลักจนหัวเขยื้อนแค่ไหนก็ไม่รู้สึกตัว ในยามที่จะผงกหน้าทิ่มลงที่วางเท้ามือหนารีบช้อนกลัวใบหน้าเล็กกระทบกับของแข็ง โดยมีสายตาลูกน้องคนสนิทมองผ่านกระจกหลังสังเกตพฤติกรรมของผู้เป็นเจ้านาย “เฮียจะเอาไปอยู่ด้วยเหรอ” “เปล่า” ตอบเสียงเรียบด้วยสีหน้านิ่ง “แล้วเอาขึ้นรถมาทำไม” “….” คราวนี้ราเชนทร์ไม่ตอบ แต่กลับส่งสายตาดุดันจ้องไปที่ตุลย์เป็นการตอบว่าไม่ต้องยุ่งและไม่เป็นจำเป็นต้องบอก สายตาดั่งคนพิโรธทำตุลย์รีบหลบและจดจ่อที่เบื้องหน้าไปในทันที การจราจรช่วงดึกไร้การสัญจรอันแออัดง่ายต่อการเหยียบคันเร่งเข็มไมล์หวืดขึ้นทะลุ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนในที่สุดรถคันหรูเคลื่อนตัวช้าลงและจอดหน้าบ้านคล้ายรีสอร์ตขนาดใหญ่แต่ทว่าเป็นบ้านตากอากาศที่สร้างทิ้งไว้นานๆจะมีโอกาสมาพักบ้าง "ถึงแล้วครับ" ราเชนทร์ยังนั่งใช้มือค้ำใบหน้าเล็กของน้ำหนึ่งอยู่อย่างนั้น โดยที่มีตุลย์นั่งรอเป็นเพื่อนบนเบาะหน้า จากนั้นราเชนทร์ยกมือหนาของใบหน้าของน้ำหนึ่งทำให้เจ้าตัวหัวขมำกระทบกับเบาะคนนั่งด้านหน้าจนสะดุ้งตื่นด้วยอาการงงๆ "โอ๊ย" ร้องลั่นออกมาไม่ถึงกับเจ็บมาก มือน้อยๆจับหน้าผากตัวเองมองไปยังแสงสว่างด้านหน้าที่สาดมาจากตัวบ้าน ยังไม่ทันได้อ้าปากถามราเชนทร์และลูกน้องคนสนิทก็ลงจากรถเดินเข้าไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งคนตัวเล็กนั่งอยู่ในรถคนเดียวอย่างงงๆท่ามกลางความมืด ด้านข้างไม่มีบ้านคนสักหลังมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่สลับกันไปมายิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ น้ำหนึ่งเปิดประตูลงยืนมองรอบๆอีกครั้ง สายลมพัดเบาหวิวเย็นยะเยือกช่างวังเวงน่ากลัวผิดปกติ "มีผีหรือเปล่าเนี่ย" วิ่งตามคนร่างสูงไปติดๆ พอเข้าอาณาเขตของบ้านก็รู้สึกดีขึ้น แสงสว่างจากหลอดไฟทำให้ดวงตาต้องหลี่ปรับโฟกัสเล็กน้อยเพราะมันค่อนข้างแสบตาหลังจากหลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตุลย์เดินเลี่ยงออกไปทางหลังบ้านเป็นบ้านพักเรือนเล็กส่วนตัวของเขา ส่วนเราเชนทร์นั่งถอดรองเท้าถุงเท้าบนโซฟาที่เป็นห้องโถงกว้างโดยไม่สนใจน้ำหนึ่งที่ยืนด้วยท่าทีมึนงง "พาฉันมาทำไม" "อายุกี่ปี" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ยืนค้ำหัว "21" "เรียนหนังสือหรือเปล่า" "จบ ปวส" น้ำหนึ่งอายุห่างจากเขา 8 ปี ในตอนนี้ราเชนทร์มีอายุครบ 29 บริบูรณ์เมื่อไม่นานมานี้ "นอนโซฟาแล้วกัน" เขาสั่งให้คนเด็กกว่านอนโซฟาตัวเขานั่ง ทว่าที่นี่ห้องนอนมีเพียงห้องเดียว บ้านค่อนข้างหลังใหญ่แต่มันไม่ได้ถูกสร้างมาหลายห้องเพราะทำไว้แค่ส่วนตัว คนแก่กว่าลุกหยิบบุหรี่ในลิ้นชักบิ้วอินติดผนังบ้าน แน่นอนว่าราเชนทร์หยิบบุหรี่แล้วเดินปลีกตัวออกไปด้านซ้ายเป็นระเบียงโล่งเพื่อรับลมจากทางทิศตะวันตก ชายหนุ่มยืนดูดบุหรี่ในช่วงตี 3 ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังอีกฝ่ายและยังไม่มีคำตอบให้เธอ "แล้วตกลงจะตอบได้หรือยัง" "....." ราเชนทร์หันกลับมามองปากก็ยังดูดสารนิโครตินกลืนลงปอด "พาฉันมาทำไม" "เรียกฉันว่าเฮีย" สั่งให้คนตัวเล็กเรียกเขาว่าเฮีย "ทำไมต้องเรียก คุณไม่ใช่พี่ฉันสักหน่อย เราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน" "งั้นต่อไปเราจะเป็นคนสนิทกัน" "ใครอยากสนิทด้วยอ่ะ" คนเด็กกว่าเริ่มมีเสียงตอกกลับ โดยที่ราเชนทร์ยังดูดบุหรี่และพ่นควันออกมาเป็นระยะ "แล้วทำไมไม่ตอบว่าพามาทำไม" คราวนี้น้ำหนึ่งเสียงดังขึ้น เริ่มโมโหที่ถามไปแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมบอกเหตุผล พอจะตอบก็เป็นคนละเรื่องที่พูดไป เมื่ออีกคนมีท่าทีเพิกเฉยเด็กซนอย่างน้ำหนึ่งเริ่มปี๊ดแตก มองหาข้างของมีค่าที่พอจะทำให้ราเชนทร์เปิดปาก ยกแจกันโบราณมีลวดลายแปลกตาชูขึ้นสูง นัยน์ตาสวยเย้ยคนตรงหน้า "ไม่บอกใช่ไหม" คล้ายจะทุ่มมันลง ยิ้มเยาะสิ่งของมีค่าอยู่ในกำมือเธอ ยังไม่ทันจะขว้างราเชนทร์ก็ยกมือชี้หน้าคนเด็กกว่า ดวงตาคมกริบสาดราวกับดาบที่เตรียมจะเฉือน ทว่าน้ำหนึ่งไม่ได้สนใจหรือกลัวในตอนนี้ ในยามที่โมโหจวนตัวเช่นกันมือเล็กปล่อยแจกันทิ้งลงตรงหน้าของราเชนทร์ทันที เพล้ง !! คนแก่กว่าขบสันกรามแน่น ไม่เคยมีใครทำพฤติกรรมไม่เกรงกลัวเขาเช่นนี้ น้ำหนึ่งค่อนข้างพอใจสุดท้ายราเชนทร์ก็ไม่กล้าทำอะไรเธอ "ฉันให้เวลาคุณอีกหนึ่งนาที ถ้าไม่บอก" มองไปยังกรอบรูปที่แขวนไว้บนผนังเป็นรูปผู้หญิงหน้าตาสะสวย ทว่าให้เดาต้องหญิงคนรักของผู้ชายตรงหน้า "จะทำอะไร" "....." คราวนี้เป็นฝ่ายไม่ตอบ กระตุกเรียวปากบางยิ้มเยาะคนมอง ปีนโซฟาเหยียบมันขึ้นไปปลดรูปภาพลงมา และเช่นเดิมน้ำหนึ่งทำท่าจะขว้างมันลงกับพื้น สีหน้าเกรี้ยวโกรธของราเชนทร์ปรากฏขึ้นทันทีเมื่อถูกเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าสัมผัสรูปอันหวงแหน "อย่ายุ่งกับรูปนี้" แค่นเสียงสั่งห้ามออกตามไรฟัน ทว่าคนตัวเล็กยืนย่ำเท้าหากลัวไม่ น้ำหนึ่งโยนมันลงต่อหน้าต่อตา เพล้ง !!! ทันทีที่กรอบรูปตกกระทบลงพื้น ราเชนทร์เดินสาวเท้ายาวไม่กี่ก้าวก็คว้าร่างแน่งน้อยแล้วผลักลงโซฟา น้ำหนึ่งถูกคนตัวโตกว่ากดลงโซฟาจมมิดชนิดไม่มีที่ว่างให้อากาศได้เข้าแทรก "โอ๊ย" "ฉันเตือนแล้วใช่ไหม" "ปล่อยฉันนะ ปล่อย" "รู้ตัวหรือเปล่าว่าล้อเล่นอยู่กับใคร" น้ำเสียงโมโหอย่างมากที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอวดเก่งและกล้าทำถึงเพียงนี้ เรียวแขนเล็กถูกไขว้พาดกลางหลังขัดกันไว้แน่น "ฉันเจ็บ ปล่อย โอ๊ย" ฝ่ามือหนากดกระแทกคนตัวบางจมลงโซฟาโน้มใบหน้าต่ำข้างใบหน้าที่บดบี้กับหนังโซฟาสีดำขลิบ "ที่ฉันพามาเพราะสงสารเด็กไม่มีที่ซุกหัวนอน อย่าสำคัญตัวว่าฉันจะพิศวาสเธอ" เสียงแหบพร่าด้วยความโมโหเปล่งอยู่ข้างลำคอน้ำหนึ่ง "ไม่พิศวาสก็ปล่อยฉันสิ คุณมานอนทับฉันแบบนี้ไม่ได้" ออกแรงดิ้นอย่างสุดกำลังก็ไม่สามารถหลุดจากการถูกล็อก ผมเผ้าที่หล่นปิดหน้าถูกมือหนาเสยเปิดออกให้ ราเชนทร์ยิ้มเยาะคนไร้ทางสู้เพราะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถทำอะไรได้ "ปล่อยฉัน เจ็บแขน" "เรียกฉันว่าเฮีย" "ไม่ ปล่อย" "เรียกฉันว่าเฮีย" "อ๊ะ" กดแขนลงจมโซฟาอีกครั้ง ใบหน้าเหยเกจากความเจ็บปวดอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือทว่าบ้านหลังนี้มันไม่มีใครนอกจากเธอราเชนทร์และลูกน้องของเขา กึก!! "อ๊ะ เฮียหนูเจ็บ"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม