ในช่วงเย็นของวันเดียวกันที่นี่ไม่มีแม่บ้าน ดังนั้นอาหารมื้อค่ำจึงเป็นหน้าที่ของตุลย์ที่ทำอย่างง่ายอาทิเช่น ไข่เจียว ไข่ดาว ผัดกะเพราและอื่นๆ ที่ผู้ชายวัย 26 ปีจะพอทำได้และมื้อนี้ก็เป็นผัดผักบุ้งไฟแดงและทอดมันปลากราย
มื้อค่ำถูกจัดเตรียมไว้ที่โต๊ะขนาดเล็กในเวลา 1 ทุ่มโดยมีกับข้าวสองอย่างและจานเปล่าสำหรับใส่ข้าวอีกสองใบ
"เฮียทำเองเหรอ" ด้วยความหิวน้ำหนึ่งเดินมาที่ครัวและเห็นว่าทุกอย่างจัดเตรียมไว้แล้ว
"ใช่"
"เก่งจัง" เธอชื่นชมผู้ชายตรงหน้า น้อยคนจะมาทำอาหารแบบนี้ นอกจากเป็นบอดี้การ์ดอารักขาถือปืนเท่ๆ งานบ้านงานเรือนตุลย์ก็รับบทเป็นพ่อบ้านที่ดี
"พอได้ ไม่ถึงกับเก่ง" ถ่อมตัวเองแล้วยิ้มตอบในยามที่ถูกชมเพราะอยู่กับราเชนทร์มาตั้งนานยังไม่ถูกชมแบบนี้เลย
"แล้วแม่บ้านไปไหน"
"ไม่มีหรอก เป็นบ้านพักส่วนตัวเฮียเชนทร์ไม่ต้องการให้ใครเข้ามา"
"ก็เลยใช้งานเฮียตุลย์คุ้มเชียว" คนฟังหัวเราะชอบใจออกมาไม่ใช่ว่าใช้งานคุ้มหรือใช้งานหนัก ทว่าราเชนทร์ดูแลตุลย์รวมทั้งครอบครัวที่อยู่ต่างจังหวะอย่างดี อะไรที่พอทำได้นอกเหนือจากการเป็นบอดี้การ์ดพวงตำแหน่งคนสนิทก็ยินดีทำ
"หนึ่งมาก็ดีแล้ว ช่วยไปเรียกเฮียเชนทร์มากินข้าวหน่อย"
"...." คนอายุน้อยส่ายหน้า ไม่สันทัดกับการอยู่ใกล้ราเชนทร์เสียเท่าไหร่
"ไปเหอะน่า มันเลยเวลากินข้าวมาครึ่งชั่วโมง ถ้าเฮียปวดท้องขึ้นมาละก็..."
"ไปก็ได้" น้ำหนึ่งหน้าหงิกเมื่อปฏิเสธไม่ได้ หันตัวกลับออกจากห้องเดินขึ้นบันได ยืนมองมันอยู่สักจากนั้นยกมือขึ้นสูงสำหรับการเคาะและตั้งใจจะลงน้ำหนักข้อมือเรียกคนในห้อง
แอ๊ด!!
"...." ราเชนทร์เปิดประตูออกมาในจังหวะที่น้ำหนึ่งก็กำลังจะเคาะประตูทว่าเจ้าของมือน้อยๆ ก็หยุดชะงัก เมื่อคนร่างสูงเปิดประตูโผล่ออกมา
"...." ดวงตารัตติกาลฉายแววคมกริบจ้องคนด้านหน้าประตูโดยไม่มีคำถามว่าขึ้นมาทำไม
"คือ เฮียตุลยให้มาเรียกไปกินข้าวเย็น"
"อืม" เขาตอบสั้นๆ จากนั้นก็เดินเลยผ่านน้ำหนึ่งลงไปยังห้องครัว น้ำหนึ่งแทบไม่ต่างจากอากาศมีเพียงคำตอบสั้นๆ และถูกเดินเลยผ่านไปแบบนี้ทั้งวันอย่างงงๆ
“หล่อตาย เก๊กทั้งวันหน้าไม่เป็นตะคิวหรือไง” บ่นตามหลังกับความหน้านิ่งจนเดาไม่ออกว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่หรือเปล่า
ร่างแน่งน้อยเดินตามมาติดๆ ราเชนทร์นั่งเก้าอี้บนโต๊ะมีอาหาร 2 อย่างและข้าวถูกตักเตรียมใส่จานไว้สองจาน เจ้าของบ้านตักผักบุ้งร้อนๆ ลงประกบบนเม็ดข้าวสวยและตักพริกสดที่ซอยใส่น้ำปลาเพิ่มความนัวให้มื้อนี้ ช้อนที่เม็ดข้าวพูนล้นเตรียมจะยัดเข้าปากแต่กลับเกลือบตามองน้ำหนึ่งที่ยื่นกลืนน้ำลายห่างจากโต๊ะไม่กี่คืบ
"แล้วไม่กินหรือไง" เขาเอ่ยขึ้นและยัดข้าวเคี้ยวแก้มตุ่ยกลืนลงคอ
"หมายถึงหนึ่งเหรอ"
"ตาฉันไม่ได้เหล่ถึงขั้นมองเธอแล้วเป็นไอ้ตุลย์" เขาพูดกับคนตัวเล็กที่ยืนกลืนน้ำลายท้องร้องเสียงดังจนได้ยิน ทั้งวันไม่ค่อยได้กินอะไรเพราะบ้านหลังนี้ไม่ค่อยได้สต็อกของกินอะไรไว้
"ไปนั่ง" ตุลย์กระซิบบอกคนเด็กกว่าร่วมโต๊ะกับราเชนทร์ในครั้งนี้
"ไม่ใช่ของเฮียตุลย์เหรอ" น้ำหนึ่งกระซิบตอบ
"เฮียลดน้ำหนักไม่กินข้าวเย็น" ได้ยินเช่นนั้นน้ำหนึ่งรีบถอยเก้าอี้อย่างไว พอนั่งได้เท่านั้นคว้าช้อนส้อมและจ้วงผักบุ้งไฟแดงที่เป็นกับข้าวตักเข้าปากอย่างมูมมาม ช้อนในมือหนาที่ยกจ่อปากวางมันลงจ้องคนตรงข้ามที่นั่งกินข้าวโดยไม่สนใจอีกฝ่าย ตักไปไม่กี่คำกับข้าวเริ่มหมด ราเชนทร์ยักคิ้วและมองไปที่เมนูผักบุ้งเป็นการบอกให้ตุลน์ผัดมาอีกเพราะเด็กดื้อตรงหน้าเล่นกินกับมากกว่ากินข้าว บรรยากาศที่มีแต่เสียงช้อนเสียงเคี้ยวนั่งกันอยู่สองคนโดยที่ตุยล์เดินออกไปหลังบ้านไปทำธุระส่วนตัวหลังจากจัดโต๊ะอาหารให้คนเป็นนายเสร็จ
“อดอยากมาจากไหน”
“เปล่า” แต่ก็ยังตักเข้าปากไม่เลิกทั้งยังลุกไปตักข้าวในหม้อมาอีกสองทัพพีนั่งกินตามเดิมอย่างเอร็ดอร่อย
“เดี๋ยวติดคอตาย”
คนฟังเลิกสนใจตอบตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว ส่วนราเชนทร์กินไปแค่ไม่กี่คำชายหนุ่มก็ยกแก้วน้ำมาดื่ม
“อิ่มแล้วเหรอ”
“อืม” ลุกจากเก้าอี้ขึ้นห้องนอนตามเดิม ปล่อยคนตัวเล็กนั่งกินข้าวคนเดียวต่ออย่างเอร็ดอร่อย แม้น้ำหนึ่งจะมองตามราเชนท์ทว่าก็ไม่ได้สนใจอะไร ดีซะอีกจะได้กินแบบไม่ต้องเกรงใจ ไม่ยอมให้กลับบ้านเลานจ์จะกินให้เกลี้ยงเลยคอยดู
แน่นอนว่าคืนนี้น้ำหนึ่งยังคงต้องค้างที่นี่ต่อและจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำของราเชนทร์แต่เธอกับเลือกจะเดินออกจากตัวบ้านไปสักหน่อยแล้วใช้ห้องน้ำของตุลย์แทน
“ชั้นบนก็มี”
“หนึ่งไม่สบายใจที่จะต้องเดินขึ้นห้องเฮียเชนทร์”
ตุยล์พยักหน้าตอบก็คงจะไม่ชอบราเชนทร์เหมือนคนอื่นๆ ความหน้านิ่งดูไม่เป็นมิตรไม่แปลกที่จะมีคนไม่ชอบและมันก็เป็นส่วนใหญ่ตลอดหลายปีที่อยู่ด้วยกันมา
“แล้วชุดของคุณรันที่เฮียตุลย์เอามาให้ใส่ หนึ่งก็ไม่สบายใจเหมือนกัน”
“กลัวเหรอ”
“ใครจะไม่กลัว เสื้อผ้าคนที่ตายไปแล้วมาใส่” เอียงสายตามองรอบๆ กับบรรยากาศช่วงกลางคืนที่มีแต่ความเงียบ จากนั้นตุลย์ก็เดินออกไปห้องข้างๆ ที่เอาไว้เก็บของ ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมเสื้อตัวสีขาวลักษณะเป็นคอกลมและกางเกงตัวยาวลายสก๊อตสีแดงม่วง
“ถ้าไม่อยากใส่ของคุณรันก็เอาของเฮียเชนทร์ไปใส่”
“ของเฮียตุลย์ไม่มีเหรอ”
“ไม่มี เฮียประจำที่กรุงเทพเป็นหลักข้าวของหรือเสื้อผ้าที่มีก็มีแค่ติดตัวมา” น้ำหนึ่งไม่อยากใส่เสื้อผ้าของราเชนทร์ อีกทั้งตัวมันใหญ่โคล่งมากเกินกว่าคนตัวบางๆ จะสวมเข้า เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องจำยอมรับมันจากมือของตุลย์แล้วเดินกลับไปเปลี่ยนชุดออกมา ทว่ากางเกงคนเอวหนากับคนหุ่นบางเอว 24 นิ้วก็ต้องใช้ยางแดงมัดถุงแกงมัดขอบกางเกงเอาไว้กันมันหลุด
“เฮ่อ ดูลำบากไปสะทุกอย่าง ให้กลับไปเลานจ์ยังจะง่ายกว่าการมานั่งหายใจทิ้งที่นี่” เธอบ่นตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูห้องน้ำ เมื่อออกมาได้ก็หอบพระพุทธรูปองค์เดิมกลับไปยังที่นอนบนโซฟาตัวแคบและคราวนี้มีตะเกียงโบราณจุดเพื่อเป็นแสงไฟในยามที่ไฟโซล่าเซลล์ถูกตัดในช่วงกลางดึก แน่นอนว่าการอยู่ที่นี่น้ำหนึ่งไม่มีแม้กระทั่งมือถือมันหล่นหายไปตั้งแต่ตอนถูกวิ่งไล่และตัดหน้ารถของราเชนท์ ไม่รู้มันหายไปตอนไหน นอกจากทีวีก็ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่เข้าใจราเชนทร์จะให้เธออยู่ทำไมทั้งที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยสักนิดนอกจากการกินการนอนเท่านั้น
ปัก!!
ปัก!!
เสียงอะไรบางอย่างกระทบกันในช่วงเที่ยงคืน น้ำหนึ่งที่กำลังสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นก็ต้องลืมตาเต็มดวงด้วยความตกใจ
“ผี” ตาเบิกโพลงกับการคิดไปต่างๆ นาๆ ทว่าเสียงมันก็ดังต่อเนื่องหลายครั้ง
ปัก!! เสียงมันมาจากทางด้านซ้าย น้ำหนึ่งลุกขึ้นทั้งกล้าทั้งกลัวจะลองสักหน่อยเสียงที่ว่ามันจะเป็นผีจริงๆ ไหม เดินหอบพระพุทธรูปย่องไปช้าๆ กันผีรู้ตัว ยืนแอบข้างผนังบ้านแล้วชะโงกหัวพร้อมดวงตาที่ปิดไว้หนึ่งข้างและเปิดอีกหนึ่ง หากเป็นผีจริงก็จะได้เห็นไม่ชัดเจน ทว่าเมื่อเพ่งออกไปปรากฏเป็นผู้ชายร่างโตยืนสวมแค่กางเกงนอนตัวยาวด้านบนเปลือยจนเห็นแผ่นหลังที่ลายสักรูปกะโหลกบริเวณด้านขวา ราเชนทร์กำลังเล่นสนุ๊กเกอร์คนเดียวในช่วงเที่ยงคืนเมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่ผีก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย ทั้งยังแอบมองชายหนุ่มรูปงามที่เดินรอบโต๊ะพูลเล็งยิงลูกกลมๆ สีแดงสีเขียว
ปัก!! ลูกสีน้ำเงินกระเด็นออกนอกโต๊ะตกกระทบไหลมาทางน้ำหนึ่ง เป็นผลให้ดวงตาคมกริบมองตามลูกสนุ๊กแล้วเห็นคนตัวบางยืนแอบมอง น้ำหนึ่งเกิดอาการประหม่าเมื่อราเชนทร์เห็นเธออยู่บริเวณนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนเกาหัวและกลอกสายตาไม่มาคล้ายคนเขินถูกจับไว้ว่าเธอแอบดู
“เก็บมันมาสิ” เขาสั่งให้เธอเก็บลูกสนุ๊กมาให้ น้ำหนึ่งทำตามอย่างไม่คัดค้านเก็บเจ้าลูกกลมๆ และเดินเอามาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเตรียมจะหันหลังกลับมานอน ทว่าก็มีเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นตามหลัง
“อยู่เล่นด้วยกันก่อน"
"ว่าอะไรนะ" เธอหันกลับมาทวนคำถาม ทั้งที่ปกติราเชนทร์ไม่เคยเอ่ยปากพูดก่อน
"หรือเล่นไม่เป็น"
"เล่นเป็น ทำไมจะเล่นไม่เป็น" น้ำหนึ่งมีอาการขึ้นมาเมื่อถูกกล่าวหาเช่นนั้น คนอย่างน้ำหนึ่งทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
"ลองมาแข่งกันไหม อยากรู้ฝีมือว่าจะแน่สักแค่ไหน" เป็นการท้าคนตัวเล็กที่ยืนแยกเขี้ยวเป็นแมวขู่
"ไม่มีปัญหา คนแพ้ต้องทำอะไร"
ราเชนทร์เช็ดหัวไม้สนุ๊กจากนั้นก้มตัวเล็งไปยังลูกกลมๆ แล้วแทงลูกสีเหลืองลงไปเกือบเกลี้ยงโต๊ะ
"ไม่ต้องทำอะไร" เดินมาอีกฝั่งเพื่อยิงลูกที่เหลือลงโต๊ะ
ปัก!!!
ยิงครั้งเดียวลูกสนุ๊กดีดตัวแตกกระจายไปลงไปทั้งสาม เป็นผลให้คนดูยืนกลืนน้ำลายแต่ยังมั่นใจในตัวเองว่าเก่งพอตัวเหมือนกัน
"แค่คนชนะจะทำอะไรก็ได้"
"อะไรก็ได้" เกิดความคิดในทันที หากเธอชนะก็จะสามารถออกไปจากบ้านหลังนี้เพราะกติกาของคนชนะคือทำอะไรก็ได้ ฉะนั้นมันก็คงไม่น่ามีอะไรเสียหาย
น้ำหนึ่งรีบตกปากรับคำแข่งเล่นสนุ๊กเกอร์กับราเชนทร์โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าชายหนุ่มเคยเป็นนักกีฬาเก่าประจำโรงเรียนไฮสคูลสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ