เรื่องราวคืนนั้น ผ่านพ้นมาหลายวันแล้ว ตอนนี้หลิงก่ายอาศัยอยู่อารามซีเหลียนไต๋ในปีเซี่ยเฉียนที่สิบนี้มาหลายวันแล้วเช่นกัน นานพอที่เธอจะปรับตัวให้ชินกับชีวิตคนที่นี่
เมื่อคราวตกลงไปในหลุมลึกวันนั้นตัวเธอคงตายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณไม่ได้ลงไปยังภพภูมิใต้ดิน กลับมาฟื้นตื่นขึ้นในร่างคนอื่นอย่างนี้ได้ยินว่าเจ้าของร่างนี้ป่วยหนักนอนซมอยู่เกือบเดือน ไม่แน่ว่าเด็กคนนั้นอาจจะตายแล้วเช่นกันก็ได้วิญญาณหลิงก่ายจึงมาสวมร่าง คิดมาถึงตรงนี้ร่างกายเธอสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
หลิงก่ายจากที่เคยแข็งแรงวิ่งได้วันละหลายสิบหลี่ กลับต้องมาอ่อนปวกเปียกเรี่ยวแรงไม่พอจะเดินเหิน นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับเจ้าของร่างนี้ ดวงตาได้รับอุบัติเหตุทำให้มองเห็นไม่ชัดตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน
เสี่ยวชุนเดินเข้ามาเห็นผู้เป็นนายนั่งเหม่อ
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ บอกบ่าวสิเจ้าคะ”
หลิงก่ายไม่ตอบได้แต่หันมามองเสี่ยวชุน ข้างกายเธอตอนนี้มีแต่เด็กน้อยคนนี้คนเดียว น่าเหลือเชื่อที่บ่าวรับใช้ในยุคโบราณต้องอุทิศตนรับใช้เจ้านายหนักหนาขนาดนี้
ฉันจะดีกับเธอให้มากนะเสี่ยวชุน
“ตรงนี้แดดแรง บ่าวพาท่านเข้าไปพักข้างในดีไหมเจ้าคะ”
หลิงก่ายในร่างหลี่อวี้ถิงไม่ตอบกลับส่งยิ้มให้เสี่ยวชุน ได้เห็นรอยยิ้มของคุณหนูเสี่ยวชุนจึงพลอยอารมณ์เบิกบานไปด้วย
“อย่าเลยข้าไม่เป็นอะไรหรอก อยากนั่งตรงนี้อีกสักพัก”
ตอบไปแบบนั้นเพราะตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ จากที่เคยออกแรงนิดหน่อยก็เอาแต่เป็นลม ตอนนี้เธอฝึกออกกำลังกายแบบไทชี่ แค่เพียงไม่กี่วันร่างกายบอบบางนี้ก็มีกำลังขึ้นมาไม่น้อย
เสียอย่างเดียวดวงตาคู่นี้ยามกลางวันโดนแสงจ้าจะแสบร้อนแทบทนไม่ได้ หลิงก่ายแก้ปัญหาด้วยการเอาแถบผ้าสีทึบผูกไว้
หลายวันมานี้หลิงก่ายในคราบหลี่อวี้ถิงใช้ความคิดอย่างหนัก พยายามทบทวนความรู้ในหัวสมองไปด้วย ประวัติศาสตร์แต่ละยุคของแผ่นดินจีนนั้นเธอท่องจำได้ขึ้นใจ ส่วนมากจะจดจำเฉพาะหัวข้อใหญ่ ส่วนเรื่องราวยิบย่อยแต่ละราชวงศ์ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก เว้นแต่พวกเหตุการณ์สำคัญจำพวกภัยธรรมชาติ
ตอนนี้คือปีเซี่ยเฉียนที่สิบ
เป็นยุคกลางของราชวงศ์จิ้น เป็นยุคย่อยที่ผ่านพ้นยุคซุนซิวจ้านกว่ออันวุ่นวายมาพักใหญ่ ถึงกระนั้นแผ่นดินยังไม่นับว่าสงบ คนของราชสำนักแบ่งพรรคพวกไม่สามัคคีปรองดอง อีกทั้งแผ่นดินยังไม่ได้รวมกันเป็นปึกแผ่น
แผ่นดินจีนในยุคนี้แม้จะมีความแตกแยกแต่ก็ถือว่าสงบสุขประชาชนอยู่ดีมีสุข ยังไม่มีการส่งคนออกไปติดต่อค้าขายกับต่างแคว้น แผ่นดินไม่ได้มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของโลกดังเช่นยุคปฏิวัติที่เธอจากมา
นับเป็นอีกยุคหนึ่งที่สวยงาม
ไม่รู้ว่าวันหน้าแผ่นดินจีนที่เธอรักจะมีทิศทางใด จะแตกแยกออกเป็นดินแดนย่อยเหมือนเช่นยุคนี้หรือไม่ จากนี้ไปหลิงก่ายไม่อาจรับรู้เรื่องราวในอนาคตจากที่ใดได้อีกแล้ว
ในที่สุดหญิงสาวก็คิดตก ต่อให้เรื่องเลวร้ายลงอีกแค่ไหนจะขอเก็บความลับที่เธอไม่ใช่หลี่อวี้ถิงตัวจริงเอาไว้ ยอมใช้ตัวตนคุณหนูใหญ่ หลี่อวี้ถิงไปก่อน ผู้คนในยุคนี้มีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ อีกทั้งประวัติของหลี่อวี้ถิงเองก็เต็มไปด้วยพวกซ่อมคมมีดไว้ข้างหลังทั้งนั้น
หากหลิงก่ายพูดออกไปว่าตนเองไม่ใช่คุณหนูจวนเจ้ากรมพิธีการ แต่เป็นวิญญาณหญิงสาวมาจากยุคอนาคต อาจถูกจับไปถ่วงน้ำตาย หรือไม่ก็ลุยไฟพิสูจน์เป็นแน่ มีแต่ต้องละทิ้งตัวตนหลิงก่ายกลายเป็น หลี่อวี้ถิงเต็มตัวเท่านั้น เริ่มจากการยอมรับชื่อใหม่ของตัวเอง
เสี่ยวชุนเห็นคุณหนูเงียบไปอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคุณหนูหายป่วยคราวนี้จะกลับไปคิดน้อยใจนายท่านอีกหรือไม่ สาวใช้คนดีรีบหาเรื่องมาชวนคุย
“บ่าวเห็นคุณหนูอารมณ์ดีเช่นนี้ บ่าวดีใจเจ้าค่ะ คราวนี้คุณหนูป่วยหนักมาก ตอนแรกบ่าวเกรงว่าท่านจะทนไม่ไหวเสียอีกเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงเสี่ยวชุนขาดเป็นห้วง เด็กคนนี้ร้องไห้อีกแล้ว เป็นเช่นนี้ได้แต่ถอนหายใจ
“เจ้าร้องไห้อีกแล้วหรือเสี่ยวชุน ต่อไปนี้ข้าขอสั่งเจ้าห้ามร้องไห้พร่ำเพรื่ออีก เข้าใจหรือไม่”
“บ่าวกลัวเจ้าค่ะ คุณหนูป่วยนอนซมอยู่เกือบเดือน ฮูหยินรองใจร้ายนักถึงกับไม่ส่งคนมาดูดำดูดีท่าน”
“ฮูหยินรอง?” หลี่อวี้ถิงทวนคำ
“ใช่เจ้าค่ะ ไหนจะคุณหนูพวกนั้นอีก ตอนใต้เท้าไม่อยู่ก็คอยแต่จะมารังแกคุณหนู”
เสี่ยวชุนหน้าบึ้งตึง
“ครั้งนั้นก็เป็นพวกนางทั้งนั้นส่งเสริมให้ใต้เท้าเอาคุณหนูมาทิ้งไว้ที่นี่ คิดแล้วบ่าวเจ็บใจจริงเจ้าค่ะ”
เรื่องราววุ่นวายในครอบครัวสกุลหลี่นั้น หลายวันมานี้หลิงก่ายในคราบหลี่อวี้ถิงรับฟังจากปากเสี่ยวชุนไม่น้อย ดวงหน้าสดใสยิ้มตอบ
“เห็นทีข้าจะป่วยหนักจริง พอฟื้นขึ้นมาถึงได้จดจำเรื่องราวในอดีตไม่ค่อยได้”
บ่าวเล่าให้ท่านฟังได้เจ้าค่ะ บ่าวจำได้ทุกเรื่องไม่ลืมเลย”
หลี่อวี้ถิง คือชื่อเจ้าของร่างที่วิญญาณหลิงก่ายอาศัยอยู่ นางเป็นบุตรของ ซื่อหนิงผิง ภรรยาเอกจวนรองเจ้ากรมพิธีการหลี่โหยวจิ้ง ปีนี้ หลี่อวี้ถิงผู้นี้อายุสิบสี่ปีพอดี เท่ากับว่านางถูกครอบครัวเอามาทิ้งไว้ที่อารามชีตั้งแต่อายุสิบขวบ เอามาทิ้งทั้งที่ดวงตาพิการเกือบบอด หลิงก่ายได้แต่ถอนหายใจ ชะตาชีวิตสาวน้อยแซ่หลี่ช่างน่าสงสารกว่าเธอไม่รู้ตั้งกี่ร้อยเท่า
เดิมทีหลิงก่ายเป็นเด็กกำพร้า แต่ก็เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ดีมาก จนโตขึ้นจึงได้มีโอกาสเข้าไปเรียนหนังสือในเมือง หลายปีก่อนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าถูกรัฐบาลใหญ่สั่งปิดอย่างไม่เป็นธรรม ตั้งแต่นั้นหลิงก่ายเข้าร่วมเครือข่ายเยาว์ชนซุนอู่ที่มีอุดมการณ์เพื่อคืนความสงบให้แผ่นดินจีน
ในความโชคร้ายเหล่านั้นเธอยังพบความโชคดีอยู่บ้าง แตกต่างกับ หลี่อวี้ถิงที่มารดาผู้ให้กำเนิดตายจากไปตั้งแต่เด็ก บิดาของนางจึงแต่ง หลินเจียวเหนียงมาเป็นภรรยารอง ทั้งยังให้กำเนิดบุตรสาวอีกสองคนชื่อหลี่ซูฟางกับหลี่ชิงโหลว
ลูกสาวต่างแม่ไหนเลยจะยอมลงรอยกันโดยดี น้องสาวสองคนนั้นก็เช่นกัน ลับหลังหลี่โหย่วจิ้งเป็นต้องได้หาเรื่องมารังแกหลี่อวี้ถิงประจำ ไม่รู้ว่าดวงตาที่พิการของนางนี้จะเป็นฝีมือสามแม่ลูกนั้นหรือไม่ ฟังจากที่เสี่ยวชุนเล่า คาดว่าอีกไม่นานบิดาของนางเจ้ากรมพิธีการหลี่โหย่วจิ้งจะได้เลื่อนขั้นเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ จึงได้ส่งคนมารับนางกลับจวนก่อนกำหนด
เสี่ยวชุนเล่าอย่างใส่อารมณ์ไปด้วย
“ไม่ใช่ว่าท่านไม่ยอมสู้สามแม่ลูกนั่นนะเจ้าคะ เพียงแต่หยดน้ำมัน ไหนเลยจะหาญกล้าสู้บ่อน้ำลึก พอคุณหนูเงียบ พวกนั้นก็ได้ใจกำเริบเสิบสานรังแกคุณหนูหนักข้อขึ้น”
“แล้วดวงตาของข้า?”
“เรื่องนั้นบ่าวรู้แต่ว่าปีนั้นคุณหนูป่วยหนัก พอฟื้นขึ้นมาดวงตาก็มองไม่เห็นอีก ฮูหยินรองเลยหาข้ออ้างส่งท่านมาอยู่ที่นี่”
“ท่านพ่อเห็นดีด้วยงั้นหรือ” ดวงหน้าใสกระจ่างเลิกคิ้ว
“เรื่องนั้นบ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนนั้นนายท่านไม่อยู่ที่จวน”
สีหน้าเสี่ยวชุนลังเล สุดท้ายก็ยอมเอ่ยออกมา
“คุณหนูเจ้าคะเมื่อวันก่อนคุณหนูให้บ่าวไปหยิบคันฉ่องให้ เช่นนั้นดวงตาของคุณหนูหายดีแล้วหรือเจ้าคะ”
เสี่ยวชุนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอดหลายวัน หากแต่คุณหนูของนางเพิ่งจะหายป่วย เสี่ยวชุนยังแอบคิดว่าคราวนั้นคุณหนูป่วยจนต้องเสียดวงตาไป หากคราวนี้นางหายป่วยแล้วดวงตาอาจหายกลับมาดีดังเดิม
“เสี่ยวชุนเจ้าอยู่กับข้ามานานกี่ปีแล้ว”
“บ่าวรับใช้คุณหนูมาห้าปีแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงหน้าหลี่อวี้ถิงยิ้มบาง “ดูข้าสิเรื่องของเจ้าข้ายังลืมได้ เสี่ยวชุนเจ้าดูแลข้าอย่างดีมาตลอด ข้าเองก็เอ็นดูเจ้าเหมือนพี่น้อง เรามาสาบานเป็นพี่น้องกันดีหรือไม่”
เอ่ยถึงตรงนี้หลี่อวี้ถิงน้ำเสียงพลันสดใส ส่วนเสี่ยวชุนกลับเอาแต่ส่ายหน้า
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู ทำอย่างนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ บ่าวไม่อาจเอื้อมเจ้าค่ะ”
“เจ้ากับข้าเกิดเป็นคนเหมือนกัน เราเป็นสตรีเหมือนกันแล้วจะไม่เท่าเทียมกันได้อย่างไร” หลี่อวี้ถิงท้วง
“บ่าวเกิดมาต่ำต้อย ไม่คู่ควรเป็นพี่น้องกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
ใบหน้าหลี่อวี้ถิงงอง้ำ “หรือเจ้ารังเกียจว่าข้าตาบอด”
“บ่าวไม่เคยรังเกียจคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
พูดไปพูดมาเสี่ยวชุนน้ำตาไหลอีกแล้ว หลี่อวี้ถิงเห็นอย่างนี้ให้ใจอ่อนทุกที
“บ่าวกล้าสาบานตรงนี้ขอซื่อสัตย์ภักดีกับคุณหนูจนชีวิตหาไม่ หากผิดคำสาบานขอให้ไม่ตายดีเจ้าค่ะ”
“...ดี!...เช่นนั้นข้าขอสาบาน ต่อไปนี้ข้าคือหลี่อวี้ถิงชาตินี้ข้าจะดูแลเจ้าเหมือนเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ จะไม่ทอดทิ้งเจ้า มีเจ้ามีข้าดีหรือไม่”
“คุณหนู! ขอบพระคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
เสี่ยวชุนยิ้มจนตาหยี โขกหัวคำนับให้หลี่อวี้ถิงจนหน้าผากนางเป็นรอยแดง ชีวิตก่อนหน้านี้หลี่อวี้ถิงเป็นถึงผู้นำเยาว์ชน เรื่องจะปลุกใจให้คนในปกครองสมัครสมานกลมเกลียวนางถนัดนัก
ไม่ใช่แค่คำพูดแต่ หลี่อวี้ถิงยังทำได้จริงอย่างที่พูดอีกด้วย
“เจ้ารู้อะไรไหมเสี่ยวชุน เรื่องที่ข้าตาบอดความจริงแล้วดวงตาข้ามองเห็นในที่มืดได้ เฉพาะยามกลางวันเท่านั้นที่ไม่อาจสู้แสงอาทิตย์”
ประโยคหลังหลี่อวี้ถิงหรี่เสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ
“อะไรนะเจ้าคะ อุ๊บ!”
ปากน้อยช่างจ้อของเสี่ยวชุนถูกฝ่ามือหลี่อวี้ถิงทาบปิดไว้สนิท ดวงตาใต้ผืนผ้าสีเข้มหรี่สายตา
“เจ้าอย่าเสียงดังไป ที่นี่มีคนอยู่ไม่น้อย ข้าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้”
“บ่าวไม่เข้าใจเจ้าค่ะ”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ข้าถูกสามแม่ลูกนั่นส่งมาที่นี่ เช่นนั้นย่อมต้องมีคนของนางคอยเป็นหูเป็นตาที่นี่เช่นกัน”
เสี่ยวชุนเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้ผู้เป็นนาย ดวงตากลมใสนั้นช้อนขึ้นมองใบหน้าหลี่อวี้ถิง
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“หลายปีมานี้ข้าไม่กล้าบอกผู้ใดรู้แม้แต่เจ้า ขอโทษด้วยนะเสี่ยวชุน”
“โธ่! คุณหนูของบ่าวช่างน่าสงสารนัก”
“อย่าพูดแบบนี้เลย”
เสี่ยวชุนดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง คุณหนูของนางถูกคนรังแกมาตั้งแต่เล็ก เช่นนี้หากนางกล้าไว้ใจบอกความลับให้กับผู้ใด ผู้นั้นย่อมต้องได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเต็มสิบส่วน
“หลังจากข้าหายป่วยคราวนี้สมองของข้าถึงคิดได้ ที่ผ่านมาข้าไม่กล้ายืมมือผู้ใดมาช่วยถึงได้ตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าคิดตกแล้วต่อไปนี้จะไม่ให้ผู้ใดหาเรื่องเอาเปรียบข้าหลี่อวี้ถิงได้อีก”