ในที่สุดหลิงก่ายสามารถเอ่ยชื่อใหม่ของตนเองแทนชื่อเก่าได้คล่องปากมากแล้ว นับแต่นี้ต่อไปชื่อของหลิงก่ายเด็กกำพร้าจะถูกลบออกไปเหลือไว้ก็แต่บุตรีรองเจ้ากรมพิธีการ หลี่อวี้ถิง ใบหน้าใต้ผ้าคลุมสีเข้มระบายยิ้ม เสี่ยวชุนไม่รู้เรื่องแต่ก็พลอยยิ้มไปด้วยกัน
“ครอบครัวของข้าโชคดีได้คุณหนูช่วยเอาไว้ ข้าเสี่ยวชุนเป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน ข้าจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้คุณหนูเองเจ้าค่ะ”
เสี่ยวชุนเอ่ยถ้อยคำทั้งยังเข้ามาเกาะขาผู้เป็นนาย
“เช่นนี้ดีอย่างยิ่ง มีเจ้าอยู่ข้าย่อมวางใจทุกเรื่อง ว่าแต่ที่นี่ห่างจากตลาดมากหรือไม่”
“ตลาดหรือเจ้าคะ? คุณหนูอยากได้อะไรเจ้าคะ”
เท่าที่หลี่อวี้ถิงรู้มา ทุกเดือนจะมีคนจากที่ใดไม่ทราบได้เอาเสบียงมาส่งให้ เสี่ยวชุนเองก็ไม่เคยเห็นว่าเป็นผู้ใด รู้แต่เพียงทุกเดือนมีอาหาร แห้งกับเมล็ดธัญพืชวางไว้ จำนวนไม่ได้มากมายหากแต่ก็พอประทังชีวิต ที่ผ่านมาหลี่อวี้ถิงเป็นคนกินยาก ร่างกายของนางจึงผ่ายผอมทั้งยังอมโรค
“ข้ารู้ว่าที่เชิงเขาพอมีตลาดเล็กเจ้าค่ะ แต่ถ้าจะเข้าไปในเมืองน่าจะต้องเดินเท้าประมาณหนึ่งวันเจ้าค่ะ”
ในเมืองที่เสี่ยวชุนเอ่ยถึงคือเขตเมืองหนานจิง ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองหลวงเจียนคัง ในยุคเซี่ยเฉียนที่สิบนี้นครหนานจิงเมืองหลวงใหม่ยังไม่มีความรุ่งเรืองมากนัก
“วันนั้นข้าได้ยินเจ้าบอกว่าจะไปตามหมอ”
“ที่อารามชีพอมีหมอสมุนไพรอยู่เจ้าค่ะ เพียงแต่ท่านหมอจ่างติดแต่จะออกไปข้างนอกคราวละหลายวัน บางทีหายไปหลายเดือน วันนั้นคุณหนูฟื้นขึ้นมาบ่าวออกไปตามตัวท่านหมอจ่างก็ไม่พบเช่นกันเจ้าค่ะ”
“อ้อ” หลี่อวี้ถิงพยักหน้า “เวลายังเช้าอยู่ ข้าอยากอาบน้ำแต่งตัวสักหน่อย ยามบ่ายเราออกไปเดินเล่นที่ตลาดดีหรือไม่”
หลี่อวี้ถิงมีเหตุผลมากมายไปเยือนตลาดในยุคนี้ ข้อแรกเสี่ยวชุนไม่ค่อยมีฝีมือด้านการทำอาหารเท่าใดนัก ดูจากอาหารที่นางทำแต่ละมื้อ แค่เพียงกินเข้าไปได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว ส่วนข้อสองนั้นหลี่อวี้ถิงจงใจให้เรื่องที่นางตั้งใจกระทำรู้ไปถึงหูฮูหยินรองให้จงได้
วันก่อนตอนเห็นสารรูปหลี่อวี้ถิงในกระจก นางแทบรับไม่ได้กับภาพอันน่าสยดสยองของคุณหนูใหญ่จวนรองเจ้ากรมพิธีการ ถึงอย่างไรก็ขอเพียงให้ตนเองดูห่างไกลจากคำว่าผีดิบเท่านั้นก็เป็นพอ
ทุกครั้งที่เสี่ยวชุนอาบน้ำให้ หลี่อวี้ถิงจะคอยย้ำให้เสี่ยวชุนสระผม หลังจากเช็ดผมจนแห้งเพียงให้สาวใช้ตัวน้อยมัดรวมผมนางไว้ด้านหลัง
“คุณหนูของบ่าวงดงามมากเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุนเอ่ยไปอมยิ้มไป
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสี่ยวชุน ใบหน้าข้าตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผีดิบ บางทีผีดิบยังงามกว่าข้าด้วยซ้ำ”
“คุณหนูพูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ คุณหนูเพิ่งหายป่วยใบหน้าท่านยามปกติงดงามมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าอย่าปลอบใจข้าให้เสียเวลาเลย ดวงตาข้าแม้จะมองไม่เห็นมากนักแต่ก็พอแยกแยะออก”
“อยู่กันลำพังเช่นนี้คุณหนูอาจจะไม่เชื่อคำพูดบ่าว เช่นนั้นไว้ค่อยให้ผู้อื่นบอกท่านเถิดเจ้าค่ะ”
เสี่ยวชุนหาทางลงให้ตนเองอย่างฉลาดนัก หลี่อวี้ถิงถึงกับแย้มยิ้ม
“ใบหน้าเจ้าข้าจดจำไว้แล้ว น้ำเสียงเจ้าข้าจำไว้เช่นกัน ดูสิหากเสี่ยวชุนของข้าได้กินอิ่มกว่านี้ ใบหน้าเจ้าต้องน่ารักมากแน่”
หลี่อวี้ถิงเอื้อมมือไปลูบคลำใบหน้าเสี่ยวชุน ลักษณะแก้มป้านกลมเหมือนลูกผิงกั่ว[1] เช่นนี้สาวใช้ของนางย่อมต้องน่ารักมาก
“ใบหน้าเจ้ากลมน้ำเสียงหวานหูต้องน่ารักมากแน่ ส่วนข้าใบหน้าเล็กแหลมอย่างกับจิ้งจอกน้ำเสียงก็แผ่วเบา ไหนจะดวงตาลึกโหลซ้ำยังมองไม่เห็น ผีดิบเหมาะสมแล้ว”
“โธ่! คุณหนู”
“เสี่ยวชุนเจ้าเชื่อข้าเถอะ”
อันที่จริงเสี่ยวชุนทราบเพียงว่านิยามความงดงามของสตรียุคนี้นิยมใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามือ ดวงตากลมโตผิวขาวเนียนละเอียด ช่วงเอวคอดกิ่วทั้งยังน้ำเสียงแผ่วเบาชวนให้ลุ่มหลง แบบนี้ถึงจะเรียกว่างามล่มเมือง แต่คุณหนูของนางกลับบอกว่าไม่งามเสียได้
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไปตลาดกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
สองคนนายบ่าวหมดเวลาไปหนึ่งชั่วยาม กว่าจะเดินลงจากเขามาถึงตลาด ที่นี่เป็นตลาดตั้งอยู่ระหว่างตัวเมืองเอาไว้ให้นักเดินทางได้แวะพักผ่อน มีโรงเตี๊ยมขนาดเล็กเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ร้านรวงริมทางมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ขายของป่าจำพวกผัก ซากสัตว์ อาหารแห้งกับของกินเล่นอย่างง่าย
ตอนนี้หลี่อวี้ถิงไม่มีของมีค่าติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว เหลือแต่ปิ่นปักผมทำจากเงินคู่เดียวที่นางใช้ประจำ ถึงอย่างนั้นหลี่อวี้ถิงกลับสั่งให้เสี่ยวชุนเอาออกมาแลกของใช้จำเป็นที่นี่หน้าตาเฉย ติดตรงที่สองร้อยอีแปะในกระเป๋าพวกนางนั้นนับเป็นจำนวนเงินที่เบาหวิว
“เสี่ยวชุนเจ้าบอกข้าที ที่นี่มีร้านขายอะไรบ้าง”
“มีร้านน้ำชาเจ้าค่ะ ข้างกันเป็นร้านขายหมั่นโถว”
“เช่นนั้นไปร้านน้ำชา”
“ได้เจ้าค่ะ”
สองนายบ่าวก้าวเดินตรงไปยังร้านน้ำชาริมถนน ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ที่คนเดินทางจะแวะเวียนมาเป็นที่สุด ผู้คนมาไวไปไวเช่นนี้ส่วนใหญ่ย่อมต้องมีธุระรีบเร่งทั้งนั้น สิ่งที่หลี่อวี้ถิงต้องการคือความสามารถในการกระจายข่าว
“คุณหนูผู้นี้น้ำชาของท่านขอรับ ร้านของเราใช้ใบชาหอมดื่มแล้วสดชื่น เชิญคุณหนูตามสบายขอรับ”
ร้านนี้มีเถ้าแก่กับเด็กชายอายุประมาณสิบสองสิบสามอีกหนึ่งคน เถ้าแก่เป็นคนพูดเก่ง ท่าทางแย้มยิ้มต้อนรับลูกค้าอย่างดี เมื่อครู่ระหว่างเดินลงจากเขาหลี่อวี้ถิงนัดแนะเสี่ยวชุนไว้แล้ว มาถึงเสี่ยวชุนเริ่มเปิดประเด็น
“เถ้าแก่คุณหนูของข้าอยากไปร้านยา ไม่ทราบว่าที่ตลาดนี้เถ้าแก่พอจะแนะนำให้ได้หรือไม่”
“มีเหมือนกันขอรับท่านหมอที่นี่เป็นหมอสมุนไพร ว่าแต่คุณหนูเจ็บป่วยมากหรือไม่ขอรับ ห่างจากที่นี้ไปสิบหลี่จะมีโรงหมออยู่”
หลี่อวี้ถิงยิ้มบาง
“ข้าหาได้เจ็บป่วยอันใดไม่ บอกเถ้าแก่ตามตรงข้าอาศัยอยู่อารามชีบนเขามานานหลายปีถือศีลกินเจไม่ได้ขาด หลายวันมานี้จิตใจกลับไม่สงบเอาเสียเลย ยามนอนเห็นแต่ภาพผืนดินผุดขึ้นมา ผู้คนไร้บ้านไร้ที่อยู่ แม้ยามตื่นภาพนั้นยังติดตาข้าอยู่”
หลี่อวี้ถิงเอ่ยไปน้ำเสียงโศกเศร้าไปด้วย
“ยังดีที่เมื่อก่อนข้าเคยเห็นตำรา เทียนก่านตี้จือ[2] อยู่บ้างจึงพอจะรู้เหตุผล หากนิมิตของข้าเป็นจริงจะได้มุ่งหน้าเผยข้อความจากสวรรค์”
น้ำเสียงหลี่อวี้ถิงหนักแน่นมั่นคง ทั้งยังเอ่ยคำพูดสวยหรูมากมาย ลูกค้าในร้านน้ำชาบางส่วนให้ความสนใจเงี่ยหูมาฟังนางมากกว่าครึ่ง
“เช่นนั้นแล้วคุณหนูจะไปที่ร้านยาทำไมหรือขอรับ”
เถ้าแก่ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
“ในตำราเทียนก่านตี้จืออธิบายไว้ว่า ยามใดที่แผ่นดินเกิดเหตุกลืนกินผู้คนเช่นนั้นย่อมมีลางบอกเหตุไม่มากก็น้อย”
หลี่อวี้ถิงเว้นวรรค
“หนึ่งในนั้นคือท้องฟ้าทอแสงแดงฉาน สัตว์น้อยใหญ่ละทิ้งที่อยู่ พืชพรรณรักษาโรคมุดหายลงดิน ตัวข้าเป็นเพียงหญิงตาบอด หากจะถามถึงแสงตะวันข้าย่อมไม่อาจมองเห็นได้ ส่วนสัตว์ป่าข้าก็ไม่อาจมองเห็นพวกมันได้เช่นกัน คงมีแต่อย่างสุดท้าย คืออาศัยสอบถามจากร้านยาว่าพืชสมุนไพรในป่าเป็นไปอย่างที่ตำราบอกไว้หรือไม่ ในใจของข้าหวังให้ไม่เป็นเช่นนั้นยิ่งนัก เช่นนั้นแล้วข้าจะได้ถือโอกาสขอยาสงบใจจากท่านหมอ”
เอ่ยถึงประโยคนี้หลี่อวี้ถิงเสียงเบาลง
“แม่นางท่านนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ลำพังตัวท่านเป็นคนในอารามชีทั้งยังตาบอด เช่นนี้แล้วท่านจะเคยเห็นตำราที่ว่านั่นได้อย่างไร”
เสียงชายผู้หนึ่งในร้านน้ำชาเอ่ยท้วง หลี่อวี้ถิงกับเสี่ยวชุนรอคอยโอกาสนี้อยู่นาน พอสบโอกาสเสี่ยวชุนขึ้นเสียงใส่ชายผู้นั้นทันที
“ท่านบังอาจนัก! คุณหนูของข้าคือบุตรีท่านรองเจ้ากรมพิธีการหลี่โหย่วจิ้ง ดวงตาคุณหนูข้าประสบเคราะห์กรรมร้ายแรง จึงได้แต่อุทิศตนบำเพ็ญภาวนาหวังให้โรคร้ายหายในเร็ววัน”
ยามเอ่ยปากเสี่ยวชุนน้ำตาเอ่อคลอเต็มใบหน้า ผู้คนในอารามย่อมทราบดีว่าสตรีตาบอดที่อยู่บนอารามชีนั้นเป็นบุตรีรองเจ้ากรมพิธีการจริง ทั้งคุณหนูคนนี้ยังพูดจานุ่มนวลน่าฟัง เต็มไปด้วยถ้อยคำสวยหรูมากมาย หรือนิมิตของนางจะเป็นความจริง
“นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วข้าต้องรีบไปร้านยา ไม่รบกวนเถ้าแก่แล้ว”
หลี่อวี้ถิงโค้งคำนับ
“พระพุทธองค์ทรงโปรด ข้าขอให้นิมิตของข้าอย่างได้มีเค้าลางไม่ดีอันใดปรากฏเลย”
หลี่อวี้ถิงให้เสี่ยวชุนจ่ายค่าน้ำชา ก่อนจับแขนสาวใช้ประคองออกจากร้านไป ตลอดทางที่เดินมาทั้งสองตกลงกันไว้แล้วว่าจะยังไม่พูดจาสนทนากันเรื่องภารกิจลับ รอจนกว่ากลับถึงอารามชีแล้วค่อยปรึกษากัน
............................................
[1] ผิงกั่ว คือแอปเปิล
[2] เทียนก่านตี้จือ เป็นตำราพยากรณ์ของจีนโบราณ