“ว่ามาสิ ได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม?” จินโทนิคถามทันทีที่นั่งลงบนโซฟาตัวเดิมภายในห้องสืบสวน มาตินี่ยิ้มชอบใจกับนิสัยตรงไปตรงมาของผู้หญิงตรงหน้า นี่ถ้าเขาไม่บอกว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับรัฟเฟียนคนเก่า จินโทนิคก็คงไม่คิดจะก้าวย่างมาที่นี่หรอก
“คนของฉันรายงานมาว่าวันที่เกิดเหตุน่ะ รัมไปหาคนคนหนึ่งที่ตรอกเ**กนั่น”
จินโทนิคนิ่งไปพลางหลุบตาลง มาตินี่จับสังเกตท่าทางของหญิงสาวก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เธอรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
“…” จินโทนิคเลื่อนสายตาขึ้นมองเขานิ่ง เธอเก็บความรู้สึกเก่งและแน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ดี เขารู้ว่าจินโทนิครู้เรื่องเกี่ยวกับรัมอย่างดีเลยล่ะ เพราะเธอคือคนเดียวที่ผู้ชายคนนั้นเชื่อใจที่สุด “แล้วคนนั้นเป็นใคร?”
“เขาอยู่ที่ตรอกนั้นแหละ”
“ฉันจะไปหาเขา”
“เดี๋ยว!” มือหนาคว้าท่อนแขนเรียวของจินโทนิคไว้ในทันที เมื่อคนอารมณ์ร้อนลุกขึ้นพรวดพราด เธอหลุบตามองแขนตัวเองเหมือนจะสั่งทางสายตาว่าให้ปล่อยมือออกซะ มาตินี่รีบปล่อยมือออกพลางถอนหายใจแรง ๆ “อย่าเพิ่งใจร้อนสิจิน เธอไปคนเดียวไม่ได้นะมันอันตราย”
“ฉันไม่กลัว…”
“เฮ้อ… โอเค ๆ งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน ห้ามปฏิเสธนะ!” มาตินี่รีบขัดเสียงดังเมื่อจินโทนิคอ้าปากจะปฏิเสธ เธอใช้สายตาเรียบนิ่งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเด็ดเดี่ยวของผู้ชายตรงหน้า
“ตามใจ…”
.
.
.
ด้านนอกห้องสืบสวน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนพิงกำแพงหน้าห้องด้วยท่าทางสบาย ๆ สายตาจับจ้องผ่านกระจกเข้าไปด้านในห้องที่มีผ้าม่านเปิดแง้มเอาไว้ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงทุกคำพูดภายในห้องนั้นด้วย มือหนาถอดหูฟังออกก่อนจะเดินหลบออกมาเมื่อประตูห้องนั้นถูกเปิดออกพร้อมกับร่างบางของผู้หญิงที่เขาสะกดรอยตามมาเกือบทั้งวัน
“ฉันคิดไม่ผิดจริง ๆ ว่าเธอจะต้องเกี่ยวข้องกับหมอนั่นแน่ ๆ” ซีเคร็ททิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าบดขยี้มันจนแหลก ก่อนจะสาวเท้าเดินตามทั้งสองคนที่มีจุดมุ่งหมายไม่ต่างจากเขา
.
.
.
โกดังร้าง ตรอกเจ๊ก
“แน่ใจเหรอว่ามาถูกที่น่ะ” จินโทนิคถามผู้ชายข้างกายที่เดินเข้ามาในโกดังร้างภายในตรอกเ**กพร้อมกัน สายตาก็กวาดมองรอบกายด้วยความระแวดระวัง บรรยากาศมันไม่น่าไว้ใจจนเธอรู้สึกได้ เพราะไม่คิดว่าที่นี่มันจะเป็นที่อยู่อาศัยของคน มันทั้งรกร้างและน่าวังเวงชอบกล
“แน่ใจสิ ก็ตามข้อมูลที่ได้มาคือทั้งสองคนนัดเจอกันที่นี่นะ” มาตินี่ชูแผ่นกระดาษในมือพลางขมวดคิ้วมุ่นไม่แพ้กัน
“หมายความว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของเขา แต่เป็นที่ที่พวกนั้นนัดเจอกันเฉย ๆ เท่านั้นน่ะเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ”
จินโทนิคถอนหายใจแรง ๆ เพื่อระบายความอึดอัดภายในใจ ความรู้สึกมืดแปดด้านนี่มันคืออะไร? นึกว่าจะได้ข้อมูลอะไรมากกว่าเดิมซะอีก ผลสุดท้ายเธอก็ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นเหมือนเดิม
ตึก ตึก ตึก
และในจังหวะที่คนทั้งสองกำลังยืนใช้ความคิดอยู่กลางโกดังร้างนั่น เสียงรองเท้ากระทบพื้นนับสิบคู่ดังก้องไปทั่วบริเวณจนต้องรีบหันหลังมองพร้อมตั้งการ์ดป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ ผู้ชายชุดดำนับสิบคนยืนขวางทางออกเอาไว้แน่นหนา ทั้งคู่รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้พวกเขากำลังตกหลุมพรางเข้าซะแล้ว
“นายไปได้ข้อมูลนี่มาจากไหน?” จินโทนิคกระซิบถามเสียงต่ำเพื่อจงใจให้มาตินี่ได้ยินเพียงคนเดียว สายตาก็จับจ้องชายชุดดำเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ
“คนของฉันเข้ามาสืบในตรอกนี้นี่แหละ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นกลลวง” เขากัดฟันพูดด้วยความเจ็บใจสุด ๆ เพราะข้อมูลบ้า ๆ นี่กำลังจะทำให้เขาและคนที่เขารักเป็นอันตราย
“พวกแกเป็นใคร?” น้ำเสียงเรียบนิ่งของจินโทนิคเอ่ยถามขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าเธอไม่ได้หวาดกลัวคนพวกนี้สักนิด มาตินี่ขยับเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้นเพื่อหวังจะปกป้องเธอหากต้องถูกคนพวกนั้นทำร้ายจริง ๆ
“ไปกับพวกเราซะดี ๆ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ต้องการตัวฉัน? หึ! พวกเดียวกับไอ้สารเลวพวกนั้นสินะ!”
“หมายความว่ายังไงน่ะจิน?” มาตินี่หันมาถามจินโทนิคด้วยความงุนงง
“คนพวกนี้ไม่เกี่ยวกับคดีของรัมหรอก พวกมันเป็นคนของศัตรูฉันเอง” จินโทนิคไขข้อข้องใจก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปถีบหนึ่งในนั้นด้วยความรวดเร็ว เธอเป็นคนใจร้อน กล้าได้กล้าเสียและสู้ไม่ถอย ข้อนี้มาตินี่รู้ดี เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงชอบเธอ แต่ในสถานการณ์ที่พวกเรากำลังตกเป็นรองแบบนี้ บางทีเขาก็อยากให้เธอหวาดกลัวบ้างสักนิด เพราะเขาไม่อยากให้เธอต้องเป็นอันตราย…
“จัดการพวกมัน!” สิ้นเสียงคำสั่งร่างของชายชุดดำนับสิบก็วิ่งเข้าหาคนทั้งสองในทันที มาตินี่และจินโทนิคหันหลังชนกันท่ามกลางวงล้อม ทั้งคู่ใช้ทักษะการต่อสู้ได้อย่างช่ำชองแม้จะตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองกว่าก็ตาม
พลั่ก!
ตุบ!
ผลัวะ!
“จินระวัง!”
มาตินี่ถีบชายชุดดำออกจากตัวก่อนจะวิ่งเข้าไปผลักจินโทนิคให้หลบจากรัศมีของมีดที่พุ่งเข้ามาทางเธอ ทำให้ปลายมีดนั่นเฉียดข้างท้องของเขาที่วิ่งเข้าไปรับแทนก่อนจะล้มลงบนพื้น จินโทนิคหันมองด้วยความตกใจพลางหมุนตัวเตะมีดเล่มนั้นกระเด็นออกไป แล้วหันไปสู้กับคนที่เหลือต่อก่อนตะโกนถามเขาด้วยความเป็นห่วง
“นายโอเคไหม?”
“อือ… แค่เฉียด ๆ น่ะ” มาตินี่พยุงตัวลุกขึ้นพลางยิ้มให้หญิงสาว เขารู้สึกดีใจที่ได้ปกป้องเธอเอาไว้ถึงแม้ตัวเองจะเจ็บตัวก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มค่าถ้าแลกมาด้วยความห่วงใยจากผู้หญิงแสนเย็นชาอย่างจินโทนิค
“ทำอะไรโง่ ๆ คิดว่าตัวเองเป็นโล่หรือยังไงกันหะ!” จินโทนิคว่าขณะหมุนตัวเตะชายชุดดำจนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว มาตินี่ยกยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำด่าของเธอสักนิด เขาตรงเข้าไปต่อยหน้าคนที่เหลือและร่วมกันสู้กับจินโทนิคอีกครั้ง
กริ๊ก! กริ๊ก! กริ๊ก!
“เลิกเล่นต่อสู้กันสักที! ยืนนิ่ง ๆ นะเว้ย!”
ปืนสามกระบอกเล็งเป้ามาทางพวกเขาสองคนในเวลาต่อมา ดูเหมือนพวกผู้ชายชุดดำจะมาสมทบเพิ่มแถมยังพกปืนมากันอีกด้วย จินโทนิคชะงักเท้าก่อนจะปรายตามองปืนในมือพวกมันด้วยสายตาเรียบนิ่ง หากทว่าดุดันอย่างเห็นได้ชัด
“พวกแกต้องการอะไรวะ?” มาตินี่ถามอย่างหัวเสียสุด ๆ เพราะไร้ทางจะตอบโต้พวกมันแล้ว ก็เล่นจ่อปืนไปทางผู้หญิงที่เขารักขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดขืนล่ะวะ!
“จับตัวพวกมันไว้! อย่าขัดขืนนะเว้ย! ไม่งั้นสมองกระจุย!!”
สิ้นคำพูดนั้นบรรดาชายชุดดำที่เหลือก็พุ่งเข้ามาจับทั้งสองคนให้แยกออกจากกัน มาตินี่มองตามจินโทนิคด้วยความเป็นห่วง เขาไม่น่าพาเธอมาเจออันตรายแบบนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลงกลกับข้อมูลเวร ๆ นี่ เธอก็คงไม่มาเจอเรื่องแบบนี้!