บทที่ 3 เป็นเธอ

2252 คำ
[บทบรรยายเรนเดียร์] เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มปลุกเร้าอารมณ์สนุกให้กับนักเที่ยวที่อยู่ภายในคลับ ฉันนั่งมองเหล่าสาว ๆ ที่พากันออกลวดลายเต้นไปตามจังหวะ ส่วนฉันก็ยังนั่งโยกตัวเบา ๆ อยู่กับที่ “พี่แต๊งจะมาด้วยปะ” แฟร์ถามขึ้นมาช่วงนี้จังหวะดนตรีเบาลงไปบ้างเพราะวงดนตรีที่คลับเชิญมากำลังจะขึ้นเล่นแทน “ไม่มา” “เขาติดงานเหรอ” “กูไม่ได้บอกเขาว่ามาที่นี่” ฉันคิดว่าถ้าบอกพี่แต๊งว่ามาคลับ เขาน่าจะต้องตามมาด้วยแน่ ๆ แต่มาในสถานที่แบบนี้ฉันก็อยากปลดปล่อยตัวเองสนุกให้เต็มที่ ไม่อยากต้องมานั่งนิ่งเหนียมอาย ฉันและพี่แต๊งเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน และไม่ได้สนิทกันมากขนาดที่ว่าจะกล้าให้เขามาเห็นอีกมุมของฉันได้ ที่ฉันสนใจจะมาที่นี่ก็เพราะอยากมาดูวงดนตรีที่มาวันนี้ด้วย ฉันคลั่งไคล้นักร้องชายที่บุคลิกดูแบดแต่พอเวลาพูดแต่ละคำกลับทำให้รู้สึกอบอุ่น เป็นอะไรที่เท่มาก “หนีเที่ยวเหรอมึง” แฟร์ถามต่อ “เปล่าซะหน่อย แค่ไม่ได้อยากบอกทุกเรื่อง” ฉันยกแก้วค็อกเทลสีหวานขึ้นมาจิบ “แปลกแฮะ” แฟร์มองฉันด้วยสายตาที่มีคำถาม เธอวางแขนลงบนโต๊ะแล้วยังมองฉันไม่วางตา “อะไร” ท่าทางของเพื่อนรักเหมือนกำลังจับผิด เธอหรี่ตาแล้วไล่มองฉันตั้งแต่หัวจดเท้า “เห็นบอกว่าเขาน่ารักแต่ยังไม่คบเป็นแฟน มาเที่ยวก็ไม่บอกเขา” “ต้องรายงานทุกเรื่องหรือไงล่ะ และก็บอกไปแล้วว่ายังไม่ได้คบเพราะอยากดูไปเรื่อย ๆ ก่อน” ฉันพูดเสียงแข็งและยังมองเพื่อนตัวดีที่ชอบจับผิดด้วยสายตาดุ “ไม่ใช่ว่าคุยเผื่อเลือกเหรอยะ” พอแฟร์ถามแบบนี้ฉันก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย คิดว่าแฟร์จะจับได้ว่าฉันมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ในหัวใจซะอีก “ประมาณนั้นมั้ง” ฉันไหวไหล่ให้เพื่อนจนดูน่าหมั่นไส้ “จ้ะเพื่อน”แฟร์เบะปากใส่แล้วส่ายหน้าคล้ายกับเอือมฉัน ฉันก็ตอบไปงั้นแหละ ตอบเพื่อให้แฟร์เลิกถามเรื่องนี้ ความจริงแล้วฉันไม่ได้คุยกับใครอีก ก็มีคุยแค่กับพี่แต๊งคนเดียว เพียงแต่ว่าในใจของฉันยังมีอีกคนอยู่ เขาเป็นคนที่อยู่ในใจฉันมาตลอดแม้เราจะเลิกกันไปนานแล้วก็ตาม อาจเพราะลึก ๆ แล้ว ฉันก็ยังรอให้เขากลับมา “กรี๊ดดดด” เสียงกรี๊ดของแฟร์ทำให้ฉันสะดุ้งและมองไปที่เวที นักร้องคนโปรดเดินขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของฉันที่เศร้าลงนั้นได้มีรอยยิ้มขึ้นมาทันที่เห็นนักร้องคนนั้น ฉันยกมือขึ้นมาโบกแล้วส่งเสียงกรี๊ดไม่หยุด ผู้คนในคลับก็ต่างส่งเสียงด้วยความดีใจที่ได้เจอศิลปินคนนี้กันทั้งนั้น เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มจากการเล่นของนักดนตรีในวงดังขึ้นไปพร้อมกับเสียงกรี๊ดของเหล่าสาว ๆ ที่พากันยืนอออยู่ที่หน้าเวทีและหยิบยื่นของที่เตรียมมาให้กับนักร้อง “ลืมซื้อของเลยว่ะ” แฟร์หันมาพูด ฉันก็พยักหน้าให้ ฉันเองก็ไม่ได้นึกเหมือนกัน เพราะช่วงที่ผ่านมามีงานที่อาจารย์สั่ง มัวแต่ยุ่งกับงานก็ลืมไปบ้าง ฉันโยกตัวไปตามจังหวะเพลงช้าที่นักร้องกำลังร้องอยู่แล้วมองคนร้องด้วยแววตาที่แสดงถึงความชื่นชอบ แต่เพลงที่เขากำลังร้องอยู่นั้นเศร้าจัง ทำให้ฉันอดที่จะหวนคิดถึงอดีตของตัวเองกับแฟนเก่าไม่ได้ และเผลอแสดงหน้าเศร้าออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว “เดียร์” “...” “เดียร์” “...” “เดียร์!!!” ฉันสะดุ้งเฮือกและมองเพื่อนรักที่กำลังจับแขนฉันไว้อยู่ นี่ฉันนั่งเหม่ออยู่นานจนเพลงนั้นจบลงไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้นักร้องกำลังร้องเพลงใหม่และดนตรีก็มันส์มาก จนนักเที่ยวต่างลุกขึ้นมาเต้นกันทั้งนั้น “มึงเหม่อไปนานมากเลยรู้ตัวมั้ย คิดอะไรอยู่เนี่ย” แฟร์พูดด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ เพราะเสียงดนตรีนั้นค่อนข้างดังมากจนแทบจะฟังกันไม่รู้เรื่อง “เปล่า” “ไปเต้นกันเหอะ” แฟร์ลากฉันออกมาแล้วยืนเต้นกันอยู่ที่ด้านหน้า เพราะอยากจะยื่นมือไปจับกับมือนุ่มของนักร้อง แต่ฉันรู้สึกว่าตอนนี้สติของตัวเองยังไม่กลับมาเต็มร้อย ยังไม่ค่อยมีชีวิตชีวาสัก เท่าไหร่ ไม่ได้ยื่นมือไปขอจับกับศิลปินคนโปรดเลยด้วยซ้ำ “มึงทำหน้าหงอยทำไมเนี่ย สลัดทุกอย่างทิ้ง แล้วสนุกเลยเพื่อนรัก” แฟร์โอบไหล่ฉันแล้วโยกตัวไปด้วย ฉันคิดตามที่แฟร์พูดแล้วถอนหายใจออกมา แล้วค่อยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ สลัดทุกอย่างทิ้งสิเดียร์! ฉันบอกตัวเองในใจ เมื่อสงบจิตใจได้แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันออกลวดลายการเต้นไปกับเสียงดนตรี ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินไปกับแสงสีเสียงในคลับแห่งนี้ จนเต้นได้มันส์สุดเหวี่ยง เราสองคนต่างหัวเราะและยิ้มไปกับการเต้นและความสนุก รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงเพลงเริ่มเบาลงเพราะกำลังจะเริ่มเล่นเพลงใหม่ ฉันโยกตัวพลางหันมองทางอื่นก็เห็นว่ามีหลายคนมองมาที่ฉัน รอยยิ้มเขินของฉันผลิขึ้นมาทันทีแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนสะดุดเข้าที่ใครคนหนึ่ง เขาก็กำลังมองมาทางฉัน เราสองคนสบตากันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เหมือนว่าเขาก็กำลังมองไปรอบ ๆ อยู่เหมือนกัน “เปอร์” ฉันเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ไม่มีใครได้ยินแม้แต่เพื่อนรักที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้ยินเสียงของฉันด้วย เปอร์มองฉันด้วยแววตาเรียบนิ่ง ฉันไม่รู้เลยว่าสายตาคู่นั้นกำลังจะบอกความรู้สึกอะไร เขาเป็นคนที่เก็บซ่อนไว้ได้เก่ง ผิดกับฉันที่ตอนนี้คงแสดงความตกใจจนแทบช็อกผ่านทางสีหน้าและแววตาออกมาหมดแล้ว หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำรุนแรงจนตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมให้เต้นปกติได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าลมหายใจสะดุด ฉันต้องรีบออกจากสายตาของเขา ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สามารถต้านทานความรู้สึกนี้ได้ ฉันหยุดเต้นและมองเขาอยู่อย่างนั้น ก่อนจะรีบแหวกผู้คนที่ห้อมล้อมแล้วเดินอย่างรวดเร็วออกไปที่ห้องน้ำ “เดียร์รอด้วย” เสียงเรียกของแฟร์ดังตามหลังมา จนเธอตามมาได้ทัน “มึงเป็นอะไร ทำไมอยู่ ๆ ก็เดินออกมา” แฟร์ถามด้วยความเป็นห่วง นางคงเห็นสีหน้าของฉันไม่สู้ดีก็เลยลูบแก้มของฉันอย่างเบามือ “...” “เป็นอะไรเดียร์” แฟร์ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าห่วงมากขึ้น คงเป็นเพราะฉันเอาแต่เงียบ “กูเห็นเปอร์” ฉันเอ่ยออกมาแล้วหลุบตามองพื้น พยายามตัดใจจากเขามาตลอดแต่ก็ไม่เคยทำได้ จริง ๆ แล้วฉันยังคิดถึงเปอร์อยู่เสมอ และยังรอเขาอยู่ด้วยซ้ำ ทว่าพอได้เจอหน้าเขากลับมีความรู้สึกหลากหลายโถมเข้ามาจนฉันทำตัวไม่ถูก เหมือนกับว่ายังไม่พร้อมที่จะได้เจอเขาซะด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะว่าฉันยังจำความรู้สึกเสียใจในตอนนั้นได้ ฉันเสียใจจนแทบแย่ กว่าจะเข้มแข็งได้อย่างตอนนี้ต้องใช้เวลามาพอสมควร ฉันก็เลยสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจะรับมือกับความรู้สึกพวกนี้ยังไง มันย้อนแย้งในตัวเองไปหมด “ใช่เปอร์เหรอ” แฟร์ถามกลับมา คงกลัวว่าฉันจะตาฝาดเห็นคนอื่นเป็นเปอร์ “กูมั่นใจ กูไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ” “อาจจะคนหน้าคล้ายก็ได้” “เปอร์แน่ ๆ อะมึง เขานั่งอยู่คนละฝั่งกับโต๊ะเรา ตอนที่กูหันไปเห็นเขา เขาก็เห็นกูพอดี เรายังมองสบตากันอยู่เลย” ฉันพูดแล้วลูบหน้าตัวเอง รู้สึกหน่วงในใจยังไงชอบกล เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาทำให้เราสองคนหยุดคุยกันและหันไปมองคนที่กำลังเดินเข้ามา คราวนี้แฟร์คงเชื่อฉันแล้วว่าคนที่ฉันเห็นคือเปอร์จริง ๆ เพราะตอนนี้เขากำลังเดินเข้ามาทางนี้แล้ว ยิ่งได้เห็นหน้าชัดขึ้นกว่าตอนที่อยู่ข้างใน ความหล่อแบบตี๋ ๆ ของเขายังมีผลต่อใจของฉันอยู่จริง ๆ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นแรงมากขึ้น มากจนฉันไม่สามารถยืนเผชิญหน้ากับเขาได้ต่อไป ดูเหมือนว่าเปอร์มีบางอย่างที่อยากจะคุยกับฉัน ทว่าตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมรับฟัง ไม่พร้อมที่จะคุยอะไรด้วยทั้งนั้น เขามาในตอนที่ฉันตั้งตัวไม่ทัน ฉันเลยจำเป็นที่จะต้องหนีหน้เขาเพื่อไปตั้งหลักก่อน “พี่เดียร์” ฉันได้ยินเสียงเปอร์เรียกขึ้นมาขณะที่ฉันกำลังวิ่งออกมาทางลานจอดรถด้านหลัง แต่เขาไม่ได้ตามออกมาด้วย ฉันเข้ามานั่งในรถแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่ออกมาจากตรงนั้นได้ [บทบรรยายเปเปอร์] ในขณะที่เสียงดนตรีดังกระหึ่มกับจังหวะมันส์ ๆ ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมกวาดสายตามองไปเรื่อยไม่คิดว่าจะเห็นพี่เดียร์เต้นอยู่ที่หน้าเวที ผมพยายามที่จะไม่มองไปโต๊ะที่เธอนั่งเพราะกลัวว่าจะรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีก แต่ก็ดันมาปะทะสายตากับเธอพอดี ผมเห็นว่าพี่เดียร์อึ้งไป ตัวผมเองก็อึ้งเหมือนกัน อึ้งจนทำตัวไม่ถูก ไม่ได้ยิ้มให้เธอเลยสักนิด เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ จนเห็นว่าเธอเดินแทรกผู้คนออกไปทางห้องน้ำ ผมถึงได้สติขึ้นมา เลยรีบลุกขึ้นหวังจะตามเธอไป “จะไปไหนวะ” ฟร้องคว้าแขนผมไว้แล้วถาม “ห้องน้ำ” ผมตอบแล้วรีบเดินตามเธอออกไป แต่ผู้คนที่ค่อนข้างแน่นทำให้เดินออกไปได้ช้าอยู่เหมือนกัน เราสบตากันอีกครั้งเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ มีคำพูดมากมายที่ผมอยากจะพูดกับเธอ แต่ยังไม่ทันได้ทักทายกันเลยสักคำ พี่เดียร์ก็วิ่งหนีผมออกไปซะแล้ว “พี่เดียร์” ผมเรียกเธอไว้เพื่อที่เราจะได้คุยกัน ทว่าเธอไม่ยอมหยุดวิ่งและดูเหมือนว่าจะวิ่งเร็วขึ้นด้วยจนเกือบจะชนกับคนที่เดินสวนมา “อย่าไปเลยเปอร์” แฟร์รั้งแขนผมไว้ ขาของผมชะงักทันทีที่ถูกห้าม ทั้งที่คิดว่าหากวิ่งตามไปยังไงก็ทันแน่ ๆ พี่เดียร์วิ่งหนีผมไปไม่พ้นหรอก ผมหันกลับมามองคนที่รั้งไว้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ผมไม่เข้าใจว่าแฟร์จะรั้งผมไว้ทำไม น่าจะยอมให้ผมได้ไปปรับความเข้าใจกับพี่เดียร์ หรือถ้าจะไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน ก็ให้ผมได้พูดคุยกับเธอบ้างก็ยังดี ดีกว่าการที่หนีหน้ากันแบบนี้ “เดียร์มันไม่คุยด้วยหรอก ถ้าเดียร์ไม่พร้อม ยังไงเดียร์ก็ไม่ฟัง” ผมมองแฟร์ด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าไม่รีบคุยกันตอนนี้ เธอก็น่าจะไม่พร้อมฟังผมไปอีกนานแน่ ๆ “ถ้าเดียร์พร้อมฟังเปอร์ เดียร์ไม่วิ่งหนีไปแบบนี้หรอก” ก็จริงของแฟร์ คราวนี้ผมรู้สึกหนักใจยังไงชอบกลเพราะคิดว่าน่าจะได้คุยกันยาก “แล้วเมื่อไหร่พี่เดียร์จะพร้อมล่ะ” ผมถามกลับไป “ไม่รู้สิ แต่แฟร์ว่าไม่นานหรอก วันนี้เดียร์อาจจะตกใจที่เจอเปอร์กะทันหันเลยตั้งตัวไม่ทัน เปอร์ก็ลองหาเวลาที่เหมาะ ๆ ไปคุยกับเดียร์เอาแล้วกัน” คนตัวเล็กส่งยิ้มให้แล้วรีบวิ่งตามเพื่อนสนิทของตัวเองออกไป ผมได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าแล้วเวลาไหนที่เรียกว่าเหมาะ ผมเดินตามไปยืนอยู่ที่ประตูด้านหลังร้านเพื่อมองหารถของพี่เดียร์ ทว่าหาไม่เจอ ก็คงจะขับออกไปแล้วนั่นแหละ “มีอะไรหรือเปล่า” ฟร้องมันคงเห็นท่าทางที่ผิดปกติของผมถึงได้เดินตามออกมา “กูตามพี่เดียร์มา” ผมตอบเพื่อนแล้วทอดสายตาไปที่ลาน จอดรถ “แต่พี่เดียร์ไม่คุยด้วย กลับไปแล้ว” น้ำเสียงของผมเศร้าลง ฟร้องก็เลยตบบ่าของผมเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจแล้วหันหลังกลับ ผมเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมฟร้อง พยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อนคนอื่นจะได้ไม่ผิดสังเกตด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม