ตอนที่ ๒
พิพิธภัณฑ์แรกที่เทวาพาภาริชเข้ามาชมนั้น เป็นรูปกบประหลาดที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนคนกรุงยืนแหงนหน้ามองด้วยความสนใจ หากจะบอกว่ามันเป็นกบทำไมมันถึงได้มีตุ่มน่าเกลียดแบบนี้
“พญาคันคาก” เมื่ออ่านจบในหัวเริ่มตั้งคำถามมันคืออะไร? แน่นอนว่าคนกรุงยืนงงเป็นไก่ตาแตก ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไรแล้วด้านในมันมีอะไรอยู่ถึงได้ก่อตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์
“เดี๋ยว!! มันคืออะไร?” ภาริชชี้นิ้วไปยังตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้ข้างพิพิธภัณฑ์
“คางคกไง งงอะดิ คุณชายเมืองกรุงก็แบบนี้” เทวาหยักไหล่แล้วยิ้มกว้างล้อเลียนเพื่อน ไม่ผิดที่ภาริชจะไม่เข้าใจภาษาอีสาน หากว่าเพื่อนของเขามีเมียคนอีสานคงได้เรียนรู้ภาษาท้องถิ่น
“คางคก? นี่มึงกำลังพากูไปดูคางคก? บ้าหรือเปล่า กูมาซื้อที่ไม่ใช่มาซื้อคางคก”
“เดี๋ยวตบปากแตก พูดแบบนี้ที่มึงจะได้ซื้อไหม ปากไม่เป็นมงคลวอนซะล่ะ” เทวาบ่นออกมา
คางคกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดยโสธร คนที่รู้จักย่อมให้ความเคารพนับถือถึงจะเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แต่ความเชื่อนั้นก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนที่นี่
ภาริชงงกับคำพูดของเพื่อนเข้าไปอีก เขาเอียงคอด้วยการตั้งคำถาม ทำไมกูมาซื้อที่ถึงจะไม่ได้ที่ล่ะ? พูดแปลกๆ
“ไปเร็ว นี่ของดีจังหวัดนี่เลยนะ ไม่มาก็ถือว่าไม่ได้มายโสธรนะมึงเร็วเข้า” เทวาเร่งเพื่อนให้เดินตามมายังพิพิธภัณฑ์พญาคันคากที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างอ่างเก็บน้ำลำทวน
ซึ่งโดยรอบเป็นสวนสาธารณะก็ว่าได้ ในช่วงเย็นมักมีผู้คนออกมาวิ่งเล่นและออกกำลังกาย บรรยากาศติดริมน้ำลมพัดเย็น เทวาก็เคยมาบ่อยหากมีเวลา
สายตาของภาริชจ้องมองไปเห็นรูปปั้นนางรำ ที่ยืนเรียงรายกันรำอยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์พญาคันคากแล้วยืนนิ่ง ของแปลกอีกแล้ว แปลกจนไอ้คนกรุงมันหยุดมองแล้วเดินไปจับนางรำที่อยู่หน้าสุด
“ให้กูถ่ายรูปให้ไหม” เทวาเอ่ยพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“อันนี้อะไร?”
“นางรำไง นี้เป็นประเพณีบุญบั้งไฟ มึงอยู่ต่ออีกสักหน่อยรับรองได้เห็นแน่ ยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจสำหรับมึงแน่นอน นางรำมีแต่สวยๆ” เขาเริ่มพูดโน้มน้าวใจเพื่อนรัก พร้อมกับเดินเข้ามาสวมกอดที่ลำคอ
“แปลกดี มีแต่ของแปลกๆ” ภาริชยอมรับว่าทุกอย่างที่เจอในวันนี้ล้วนแล้วแต่แปลกตา
หรืออาจเป็นเพราะเขานั้นยุ่งอยู่แต่กับธุรกิจของที่บ้าน จนไม่มีเวลาออกมาพบเจอโลกภายนอก มีเงินแล้วจะได้ท่องเที่ยวนั้นมันช่างน้อยนิดสำหรับเขา ก็มีบางที่ไปเที่ยว
แต่สถานที่ไปนั้นมีแต่พวกคนมีเงินที่ไปได้ แต่สถานที่แบบนี้เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นที่เที่ยวก็ได้ เมืองไทยคงมีแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้อยู่อีกมากสินะ
“ไอ้คุณชาย กูรู้ว่ามึงพึ่งเคยเจอ ต่อไปนี้มึงต้องหาเวลามาเที่ยวแบบนี้บ้าง ใช้เงินไม่เยอะเหมือนที่มึงไปเที่ยวต่างประเทศหรอก แถมยังสนุกกว่าเป็นไหนๆ”
บ๊อกๆๆๆ เสียงเห่าของน้องหมาดังขึ้น ชิวาวาตัวน้อยขนสั้นสีขาวกำลังยืนเห่าเขาเสียงแหลมเล็ก สองหนุ่มหันมองด้วยความสนใจ แล้วเจ้าของของมันอยู่ที่ใด
“ตัวเล็ก!! ตัวเล็ก!!” เสียงหวานดังขึ้นก่อนที่สุนัขพันธุ์เล็กจะวิ่งกลับไปหาเจ้าของ
“เอาแล้วไง พรหมลิขิตหรือเปล่าว่ะ” เทวายิ้มกว้างเมื่อมองเห็นเจ้าของสุนัข ที่กำลังอุ้มเอาสัตว์เลี้ยงขึ้นจากพื้น เธอหันมาส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านทรงไทยยกพื้นสูง
“เธอไม่เหมาะกับมึง” เอาแล้วไงเหมือนว่าจะมีสงครามกันเกิดขึ้น เทวาหันมายิ้มกับภาริช “เธอเหมาะกับกูมากกว่า”
“ก่อนจะบอกว่าเหมาะไหม มึงลองไปถามเธอก่อนดีไหมว่าโสดหรือเปล่า สวยขนาดนั้น ตัวเล็กสเปคผู้ชาย ไม่น่าเหลือรอดมาถึงปากพวกเรา”
ใช่ก่อนที่จะเถียงกันต้องรู้ก่อนว่าเธอโสดหรือไม่ หากมองโดยรวมคงรู้ว่าเธอคงมีเจ้าของหัวใจแล้ว ไม่ต้องไปถามให้เสียเวลาหรอก ภาริชหันหลังเดินออกจากตรงนี้เสียเอง
ที่พูดเมื่อครู่ไม่ได้จริงใจอะไรทั้งนั้น แค่นึกหมั่นไส้เพื่อนที่เหล่ตามองสาว ก็น้องสาวของเขาจองมันเอาไว้แล้ว ถึงมันจะบอกว่าไม่ได้ชอบแต่น้องสาวของเขาก็ไม่เลิกชอบมันสักที
“รอกูด้วย เดินเหมือนเป็นผู้รู้ว่าไปทางไหน” เทวาวิ่งตามหลังมา
“ตากูไม่ได้บอด” เขาชี้นิ้วไปตามป้ายบอกทาง ที่จริงไม่ต้องอ่านป้ายบอกทางก็รู้ เพราะสถานที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร พื้นที่โล่งๆ กับลำน้ำใหญ่ บรรยากาศก็ดีไม่น้อย
เมื่อผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาเดินขึ้นมาบนชั้นสอง พวกคุณทั้งหลายจะได้พบกับคางคกสายพันธุ์ต่างๆ วงจรเกิดจนถึงมรณะ และยังไม่เพียงสายพันธุ์ของไทยเท่านั้น ยังมีอยู่ทั่วโลก
เขาเองก็พึ่งรู้ตอนนี้ ว่าคางคกมีอยู่ทั่วโลกนึกว่าจะมีแค่เพียงประเทศไทยเพียงเท่านั้น เขามองไม่ออกว่ากบกับคางคกมันต่างกันตรงไหน มีเขียนเอาไว้ว่าคางคกไม่สามารถกินได้
แล้วใครมันจะอุตริกินล่ะ หน้าตาก็น่าเกลียดแบบนี้ เพียงนึกถึงเมนูอาหารคางคงขึ้นมา ภาริชก็จะสำรอกอาหารที่ทานมาในตอนเช้าออกทางเดิมเสียแล้ว
เมื่อเรียนรู้การเกิดแก่เจ็บตายของคางคกเสร็จแล้วในชั้นแรก ก็ถึงเวลาเดินขึ้นมาบนชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นที่พูดเกี่ยวกับประเพณีของชาวยโสธรทั้งสิบสองเดือน
เขาก็เดินอ่านๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันควรรู้เอาไว้ไหม แต่เขากลับยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้ และยังมีบังไฟในรูปลักษณะต่างๆ ที่อยู่ในตู้กระจก ยังเขียนบรรยายรายละเอียดมากมายเอาไว้
ภาริชหยุดชะงักด้วยความตกใจ เมื่อหันมาด้านหลังแล้วพบเจอกับหุ่นมนุษย์ที่รูปร่างสมจริงจนแยกไม่ออกว่าคือ หุ่นหรือคนจริงๆ แต่พอมองดีๆ ก็คือหุ่นนั่นแหละมือที่ทาบอกยกออกแล้วรีบเดินขึ้นไปอีกชั้น
ในชั้นที่สามพูดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดยโสธร ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ ช่างสุดยอดเสียจริงไม่คิดว่าที่แห่งนี้จะมีความเป็นมาที่ยาวนานเช่นนี้
เมื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์จบลง ก็ต้องมาเรียนรู้สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดยโสธรต่อ แต่ล่ะอำเภอมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เห็นทีเขาต้องรีบทำธุระแล้วออกเที่ยวบ้างแล้ว
ในชั้นสุดท้ายเป็นชั้นบนสุดที่ไม่มีอะไรแต่มีระเบียงยืนออกไปตรงปากพญาคันคาก ให้มองเห็นลำน้ำทวนในมุมสูงที่สวยกว่าด้านล่าง ภาริชยืนรับลมกับเทวา
“เป็นไง น่าสนใจไหม” เทวาเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“อืม ก็ไม่แย่” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม อะไรที่ได้เปิดใจแล้ว ก็ไม่ได้แย่จริงๆ