ตอนที่ ๓

1451 คำ
ตอนที่ ๓ “ตัวเล็ก วันนี้พี่พาออกจากบ้านก็อย่าซนนักสิ” สุนัขพันธุ์เล็กเหมือนจะฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องมันนั่งมองคนเลี้ยงตาแป๋ว แต่เป็นคนเลี้ยงชั่วคราวไม่ใช้คนเลี้ยงตลอดชีวิต สายจูงที่คล้องอยู่บนคอกำลังถูกดึงให้เดินตามมายังม้านั่งข้างแม่น้ำลำทวน แพรฝ้ายหามุมนั่งใต้ต้นไม้หากแต่พื้นที่แถวนี้ไม่ค่อยมีร่มเงาเพียงใด ต้นไม้แต่ล่ะต้นยังไม่เติบใหญ่เพราะพึ่งปลูกลงดินไปไม่นานนี่เอง เสียงเห่าของเจ้าตัวเล็ก ก็มันตัวเล็กสมชื่อป้าของเธอถึงได้ตั้งชื่อนี่ให้มัน บทจะน่ารักก็น่ารักบทจะน่าฟัดน่ามันเขี้ยวก็มีเช่นเดียวกัน แต่อย่าได้เผลอเพราะเจ้าตัวเล็กมันจะหาทางหนีเที่ยวในทันที พูดมาแล้วสัตว์มันก็คงเก็บกดที่เอาแต่ถูกกักบริเวณ แล้วเธอจะคิดอะไรให้ยุ่งยากสัตว์เลี้ยงก็ควรเลี้ยงให้ดี อย่างน้อยๆ มันก็กินอิ่มนอนอุ่นยามเจ็บป่วยก็มีคนคอยพาไปหาหมอ ป้าของเธอรักมันเหมือนกับลูกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันจะถูกแบ่งมรดกด้วยหรือเปล่า “คุณอีกแล้ว” เทวาเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะย่อตัวลงนั่งเหมือนพระเอกเอ็มวีเพลงรักโรแมนติก เอื้อมมือไปแตะสุนัขตัวเล็กที่นั่งอยู่บนพื้น “อ๊ะ!!” เขารีบชักมีกลับทันที เหมือนว่าตัวเองจะนิ้วขาดได้ ถ้าไม่รีบดึงมือกลับ สุนัขกำลังแยกเขี้ยวใส่เขาเหมือนกำลังจะเตือนเทวาไม่ให้เข้าใกล้ ภาริชที่ยืนมองอยู่ด้านข้างถึงกลับกลั้นขำ อยากโชว์สาวแต่กลับถูกสุนัขตัวน้อยแยกเขี้ยวใส่ ขนาดหมามันยังไม่ชอบมึงเลย แล้วเจ้าของหมาจะชอบหรือไง “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แพรฝ้ายลุกขึ้นจากม้านั่ง จ้องมองมือของชายตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงและตกใจ “ปกติตัวเล็กไม่เคยกัดใครเลยค่ะ มันเป็นมิตรกับทุกคน” “สงสัยผมจะเป็นคนพิเศษสินะครับ” ภาริชนึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง มันยังเสนอหน้ายิ้มกว้างบอกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ไม่คิดว่าไอ้เพื่อนรักจะหลงตัวเองมากขนาดนี้ ดูจากสีหน้าของเธอแล้วก็ไม่ได้ยินดีปรีดาที่เทวาหยอดคำจีบแม้แต่น้อย “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้ตัวเล็กคงอารมณ์ไม่ดี” เธอตัดสินใจอุ้มมันขึ้นมาเอาไว้ในอ้อมแขน เทวานึกอยากเป็นเจ้าสุนัขตัวนี้เสียจริง เขายืนอยู่แค่นี้ยังได้กลิ่นหอมจากตัวของเธอ ถ้าหากได้แนบชิดแบบนั้นคงนอนหลับฝันดีทุกคืน “ไปได้หรือยัง” ภาริชเอาศอกกระทุ้งแขนของเพื่อน สายตาของเขาจ้องมองไปหญิงสาวตรงหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย “ชื่ออะไรครับ” เทวาไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อน โอกาสที่จะได้รู้จักสาวสวยแบบนี้ช่างหาได้ยากมีหรือที่จะปล่อยผ่าน “ฝ้ายค่ะ” เธอยิ้มตอบกลับ แล้วหันมองมาทางภาริชที่นิ่งเงียบ แต่เธอก็ยังส่งยิ้มมาให้ “ผมริชครับ พอดีมาเที่ยวมีไลน์ไหมครับ ผมขอหน่อยพอดีผมสนใจคุณมากเลยครับ” เขาชิงตัดหน้าของเพื่อนในทันที หากน้องสาวไม่ได้บอกให้จับตาดูเทวาเอาไว้ เขาคงไม่หน้าด้านออกตัวแย่งผู้หญิงกับเพื่อนเช่นนี้ เทวาหันมาจ้องตาของเขา แต่ได้รับรอยยิ้มกวนตีนกลับคืนมาแทน เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่า…ไม่ว่าเทวาจะทำอะไรในเรื่องของผู้หญิง ไอ้คนกรุงมันก็จะขัดขวางอย่างที่สุด “ขอโทษนะคะ ฉันไม่สะดวกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” แพรฝ้ายยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป เสียงหัวเราะของเทวาก็ดังขึ้น มันคือความสะใจที่ได้เห็นเพื่อนหน้าแหก แหกขนาดนี้หมอคงไม่รับเย็บหรอก นึกสมน้ำหน้ามาตัดหน้าของเขาดีนัก “กูไม่สน ขอแค่มึงไม่ได้” ภาริชหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ริช….กูพูดกับมึงเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ กูไม่ได้คิดอะไรกับโบรัน เลิกจับกูให้น้องมึงได้แล้ว หาคนอื่นที่ดีกว่ากูเถอะ” น้ำเสียงฟังดูจริงจัง มันก็พูดกับเขาแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว จะบอกว่าเขาเป็นคนกลางก็ว่าได้ แต่เลือดมันข้นกว่าน้ำแค่ได้มองเห็นน้ำตาของน้องสาวสุดที่รัก หัวใจมันกระตุกเหมือนกลับเครื่องยนต์จะดับ “วา…กูขอร้องมึงได้ไหม ทุกอย่างมันยังไม่เริ่มเลย ให้โอกาสโบรันหน่อยเถอะ ที่กูมาที่นี่มึงก็รู้ว่ากูมาทำไม กูรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันบังคับจิตใจกันไม่ได้ แต่กูขอร้องให้มึงลองสักหน่อย” “การคบหากันไม่ใช่การลองใส่เสื้อผ้านะ มึงบ้าปะ” เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่ง “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ลองก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ของบางอย่างดูภายนอกอาจไม่ถูกใจ แต่พอได้ลองใช้มันอาจทำให้เราถูกใจก็ได้” เขาไม่อยากเปรียบเทียบน้องตัวเองเป็นสิ่งของหรอก แต่มันเป็นการเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย สีหน้าของเทวาก็กำลังครุ่นคิดกับคำขอร้องของเพื่อนรักเช่นเขา “หากว่ากูไม่ตัดสินใจซื้อ ทุกอย่างระหว่างพวกเราจะยังเหมือนเดิมไหมวะ สิ่งที่กูกลัวมากที่สุด…มึงรู้ใช่ไหม แม่มึงกับแม่กูเป็นเพื่อนกัน เราเหมือนครอบครัวใหญ่” “กูคุยกับพ่อแม่แล้ว ไม่งั้นกูจะมาที่นี่ทำไม มึงเป็นผู้ชายคนเดียวที่โบรันสนใจ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยมองผู้ชายคนไหน วิ่งตามมึงตลอดอย่างน้อยๆ ก็เห็นแก่ความจริงใจความรักเดียวใจเดียวของโบรันเถอะนะ” สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว ตอนนี้คงเหลือแต่เทวาต้องตัดสินใจ หากว่าเทวาไม่ตกลงเขาก็มีแผนอื่นสำรองเอาไว้แล้ว อย่างน้อยๆ เขาก็อยากให้น้องสาวได้ทำตามที่ใจปรารถนา “กูขอคุยกับพ่อแม่กูหน่อยแล้วกัน อย่างน้อยๆ กูก็อยากได้เวลาในการคิดเรื่องนี้” ภาริชพยักหน้าเข้าใจ หวังว่าคำตอบจะเป็นคำตอบที่เขาอยากได้ยินมากกว่าคำตอบที่ไม่อยากได้ยินนะ “กูลืม โบรันฝากมาให้มึง กูรู้ว่าหากเป็นโมรัน มึงคงไม่ต้องคิดมากแบบนี้” คำพูดของเขาเหมือนเป็นเข็มทิ่มใจ แต่โมรันนั้นไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้เทวา หากเปรียบเทียบโบรันก็เหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดแน่นหนึบ ส่วนโมรันนั้นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากเข้าใกล้เทวา หรือเป็นเพราะโมรันรู้ว่าโบรันชอบเทวา ถึงได้เว้นระยะห่างไม่ให้แฝดผู้พี่คิดมากถึงเรื่องนี้ ภาริชพอใจมากที่โมรันเว้นระยะห่างได้อย่างดี ทำให้เทวาไม่อาจคิดไปไกลได้ ถึงแม้มันจะคิดแต่ก็ไม่กล้าข้ามเส้น เพราะเมื่อใดที่มันข้ามเส้น…เขานี่แหละที่จะขวาง หากโมรันมีใจให้กับเทวานั้นก็เป็นอีกเรื่อง แต่เขาได้ถามโมรันแล้ว เธอบอกเพียงว่า…ผู้ชายของพี่โบรัน…หนูไม่อยากได้… แต่จะให้พูดก็มีเรื่องน่าแปลกใจ ไม่ว่าโมรันจะคบกับชายคนใดจำต้องเลิกภายในสองเดือน จนตอนนี้โมรันเบื่อหน่ายกับการคบหากับผู้ชาย เธอเปลี่ยนเป้าหมายใหม่มาเป็นคบหาเพศเดียวกัน ถึงโลกจะเปิดกว้างแต่ว่า….เขาก็รับไม่ได้ที่จะมองเห็นน้องสาวคนเล็กคบเพศหญิง มันแปลกพิลึก ไม่ใช่การเหยียดเพศแต่อย่างใด ไม่เอาไม่คิดแล้ว สุดท้ายความสุขของน้องสาวทั้งสองมันคงสำคัญมากกว่าสิ่งใด เหมือนกับการเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้ เขาหวังว่าจะสามารถเป็นสะพานให้กับน้องสาวและเพื่อนรักได้ คนทั้งสองมองมุมไหนก็เหมาะสมกัน เขาคิดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะในดวงตาของโบรันมีเพียงเทวาเท่านั้น ทุกครั้งที่เธอมองเขา…มักมีดวงดาวมากมายส่องประกายอยู่ในดวงตางดงามคู่นั้นเสมอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม