EPISODE 02
จากที่ตั้งใจว่าขากลับจะเรียกแท็กซี่ ฉันก็เลยต้องใช้บริการรถเมล์อีกรอบ เพราะตอนนี้เหลือเงินติดตัวอยู่แค่ยี่สิบหกบาท เป็นเงินทอนจากการฝากยัยปูนซื้อปากกาที่ยัดใส่เอาไว้ในกระเป๋ากระโปรง นี่ถ้าใส่เอาไว้ในกระเป๋าตังค์คงโดนแม่เอาไปหมด
สรุปว่าใช้เวลาในการเดินทางเกือบชั่วโมงทั้งที่ระยะทางไม่ได้ไกลมาก กว่ารถเมล์จะมา กว่าจะฝ่ารถติดได้ พอมาถึงหน้าปากซอย ฉันก็ลงรถและเดินเข้าซอยมาเรื่อยๆ เล่นเอาเหงื่อแตกเหมือนกัน
“คุณลุงอยู่ข้างบนเหรอคะป้า” ฉันรีบถามพร้อมกับยกมือไหว้ป้าขวัญทันทีที่เดินเข้าบ้านมาเห็นป้าขวัญยืนรออยู่
“คุณผู้ชายรออยู่ที่ห้องโถงแล้วค่ะ”
“แล้วนั่นกระเป๋าใครคะ” ฉันชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางสามสี่ใบกำลังถูกยกลงมาจากชั้นบน ป้าขวัญยิ้มให้ฉันนิดหน่อยแทนคำตอบ นั่นแปลว่าฉันควรจะรีบไปหาคุณลุง
“มาแล้วเหรอหนูหวาน เข้ามานั่งก่อนสิ” คุณลุงอรรณพหันมาส่งยิ้มให้ฉันพร้อมกับเรียกให้ฉันเข้าไปนั่งด้านใน ซึ่งฉันจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยถ้าไม่บังเอิญว่าตอนนี้ทั้งพี่ไม้เอกและไม้โทเองก็นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย สังหรณ์ใจว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
ถึงฉันจะอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสาวอีกคนของคุณลุง แต่ฉันกลับไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยสักครั้ง ซึ่งคุณลุงเองก็เข้าใจ และแทนตัวเองว่าลุงกับฉันกลับมาเสมอ
“กลับไปหาแม่มาอีกแล้วเหรอ” คุณลุงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย สายตามองมาที่แผลบนหน้าผากที่ฉันซับเลือดออกไปหมดแล้ว ตอนนี้น่าจะเหลือแค่คราบเลือดที่แห้งๆ ติดปากแผลอยู่บ้างเท่านั้น ซึ่งฉันก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วเลือกจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“คุณลุงมีเรื่องอะไรจะบอกหวานเหรอคะ”
“ลุงจะบอกว่าลุงจะไปอินเดียสักสามเดือนน่ะ”
“สามเดือน!”
ให้ตายสิ แบบนี้ก็เท่ากับฉันต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีคุณลุงตั้งสามเดือนงั้นเหรอ
“ปะ...ไปทำไมคะ ทำไมไปนานจัง”
“ไปบวชน่ะ พอดีเพื่อนลุงที่เขาชอบเข้าวัดทำบุญเขาชวน แล้วลุงเองก็แก่แล้ว ก็เลยคิดว่าทำบุญซะบ้างก็น่าจะดี” คุณลุงพูดเจือเสียงหัวเราะ ในขณะที่ฉันขำไม่ออกสักนิด น้ำตากำลังจะตกในเอาด้วย
ขืนคุณลุงไม่อยู่ ฉันต้องโดนพี่ไม้เอกฆ่าตายคาบ้านแน่ๆ ไหนจะยังไม้โทอีกคนล่ะ ถึงเขาจะย้ายออกไปอยู่คอนโดแล้ว แต่ถ้าไม่มีคุณลุงคอยปราม เขาเองก็คงเล่นงานฉันไปนานแล้วเหมือนกัน
หรือว่านี่จะเป็นเรื่องที่พี่ไม้เอกตั้งใจจะคุยกับฉันนะ ฉันว่าต้องใช่แน่ๆ ทั้งเขาและไม้โทน่าจะรู้เรื่องนี้มาก่อน และนี่แหละโอกาสที่พวกเขาจะเล่นงานฉัน
“ระหว่างที่ลุงไม่อยู่ พี่ไม้เอกกับพี่ไม้โทจะคอยดูแลหนูแทนลุงนะหนูหวาน”
นั่นไง คิดอะไรผิดซะที่ไหนกันล่ะ
“หวะ...หวาน...”
“อะแฮ่ม” เสียงเตือนในลำคอเบาๆ ทำให้ฉันต้องรีบกลืนทุกคำประท้วงลงไปแล้วทำได้เพียงยิ้ม
“ค่ะ”
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพี่เขาได้เลย เพราะอาจติดต่อลุงไม่ได้ วัดที่ลุงไปบวชไม่ค่อยมีสัญญาณน่ะ”
ตายแน่แล้วฉัน
“ค่ะคุณลุง” ฉันบอกแล้วยิ้มแห้งๆ ในสมองกำลังประมวลผลหาวิธีการเอาตัวรอด โอ๊ย ขอฮาวทูการอยู่บ้านหลังนี้ยังไงโดยไม่มีคุณลุงด่วน!
“ดูแลน้องด้วยล่ะตาเอก ส่วนโท ช่วงที่พ่อไม่อยู่ จะ...”
“ผมดูแลตัวเองได้”
นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่ที่ฉันเคยได้ยินเขาพูดมาเลย เพราะปกติฉันไม่เคยได้อยู่ฟังเวลาที่เขาพูดกับคุณลุง อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ได้ยินเขาเรียกแทนตัวเองว่าผมล่ะนะ
“ดี งั้นพ่อก็สบายใจ ยังไงพ่อฝากน้องด้วยล่ะ”
“ครับพ่อ”
ฉันควรทำยังไงดีนะ บอกคุณลุงว่าฉันดูแลตัวเองได้แบบที่ไม้โทพูดดีรึเปล่านะ เมื่อกี้นี้ก็กำลังจะพูดอยู่เหมือนกัน ติดตรงที่โดนพี่ไม้เอกดักคอไว้ก่อนน่ะสิ
ฉันยกมือไหว้คุณลุงแล้วเดินเข้าไปกอดท่านเอาไว้หลวมๆ เป็นการบอกลา ก่อนจะเดินออกมาส่งท่านพร้อมกับพี่ไม้เอกและไม้โทที่เดินตามมาด้านหลัง
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สี่ใบถูกยกใส่ท้ายรถ เสียงประตูที่ถูกปิดลงหลังจากที่คุณลุงหันมาโบกมือลาพวกเรา ทำเอาฉันรู้สึกใจหาย เกือบห้าปีที่ผ่านมาฉันอยู่ที่นี่อย่างสงบได้ก็เพราะคุณลุง จะมีบ้างที่ท่านไปทำงานที่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้ไปนานขนาดนี้ แล้วฉันจะทำยังไงดี
บรื้นนน
รถยนต์ของคุณลุงแล่นออกไปพร้อมกับหัวใจของฉันที่วิ่งตามออกไปติดๆ อยากจะร้องไห้ก็ทำไม่ได้เพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่เชื่อเถอะว่าพอได้หันกลับมาเจอหน้าพี่ไม้เอกกับไม้โทแล้ว รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลจริงๆ
“ตามมาสิ” พี่ไม้เอกพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินนำฉันกลับเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งฉันไม่กล้าพอจะมีปัญหากับเขาหรอกก็เลยได้แต่เดินตามเขามาเงียบๆ
“ผมกลับนะ”
“นายรอฉันอยู่ข้างล่างนี่แหละ ฉันคุยกับยัยเด็กนี่ไม่นาน”
‘ยัยเด็กนี่’ นั่นคือคำที่พวกเขาใช้เรียกฉันงั้นเหรอ ฉันมีชื่อนะ
ฉันเดินตามพี่ไม้เอกขึ้นมาที่ชั้นสองของตัวบ้าน หัวใจเต้นตึกตักๆ เพราะไม่รู้และเดาไม่ออกว่าเขาจะพูดกับฉันเรื่องอะไร บอกตรงๆ ว่าถ้าเขาไล่ตะเพิดฉันออกจากบ้าน ฉันจะดีใจมาก
แล้วพี่ไม้เอกก็หยุดเดินที่หน้าห้องของคุณลุง ก่อนที่เขาจะหันมามองฉันด้วยสายตาเย็นเยียบ สลับกับเหลือบสายตามองกลับลงไปที่ชั้นล่าง
ฉันยืนนิ่งและกำลังมองหน้าเขาด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ มือไม้ชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนสักนิด
“พี่ไม้เอกมีอะไรจะพูดกับหวานเหรอคะ”
คำถามถูกถามออกไปทันทีเมื่อเราสบตากันอีกครั้ง พี่ไม้เอกยืดลำตัวขึ้นตรงเต็มความสูง ซึ่งตอนนี้เรายืนห่างกันไม่มากนัก แม้จะไม่ได้ใกล้มาก ห่างกันสักประมาณสองก้าวน่าจะได้ แต่นี่ก็ถือว่าใกล้ที่สุดที่เคยยืนใกล้กันมา
“เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าซะ”
นั่นคือการไล่ฉันออกจากบ้านสินะ เฮ้อ คุณลุงยังไม่ทันจะถึงสนามบินด้วยซ้ำ ฉันว่าเขาคงคิดเอาไว้และรอเวลานี้มานานแล้ว อาจจะตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณลุงจะไม่อยู่บ้านสามเดือนเลยก็ได้ ซึ่งน่าจะมีแค่ฉันที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“พี่ไม้เอก...ว่ายังไงนะคะ”
“ฉันสั่งให้เธอเก็บเสื้อผ้า เพราะระหว่างที่พ่อไม่อยู่ เธอต้องย้ายไปอยู่กับโท”
ทีแรกก็ดีใจอยู่หรอกนะที่เขาไล่ แต่ทำไมต้องมีต่อท้ายประโยคว่าให้ฉันไปอยู่กับไม้โทล่ะ
“ทำไมหวานต้องไปอยู่กับไม้โทด้วยล่ะคะ”
“เพราะฉัน...ไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่”
ไม่ว่าคำตอบอะไรที่หลุดออกจากปากของผู้ชายสองคนนี้มันก็แปลความหมายได้แบบนี้ทั้งนั้น
“หวานทราบค่ะ และคิดว่าไม้โทเองก็คงคิดไม่ต่างจากพี่ไม้เอกเท่าไหร่ เอาเป็นว่าหวานจะลองหาที่อยู่ใหม่ก็แล้วกันนะคะ จะไม่อยู่ที่นี่ให้พี่ไม้เอกรำคาญใจแน่นอน”
“ฉันสั่งให้ไปอยู่กับโท ไม่มีที่อื่นให้เลือก” พี่ไม้เอกย้ำราวกับไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่ฉันกำลังพูดกับเขาเลยสักนิด
แต่เขาจะให้ฉันไปอยู่กับไม้โทได้ยังไงในเมื่อตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาฉันกับไม้โทพูดกันแทบจะนับคำได้ นั่นเท่ากับว่าเราสองคนไม่ต่างอะไรจากการเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเลย
อีกเรื่องที่ฉันรู้สึกเป็นกังวลก็คือเรื่องความมีชื่อเสียงของเขา อย่างที่เคยบอกว่าเขาเป็นนายแบบและกำลังเป็นที่จับตามอง นั่นแปลว่าถ้ามีผู้หญิงเดินเข้าเดินออกคอนโดของเขามันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
“ทำไมต้องเป็นไม้โทคะ” ฉันถามอย่างต้องการเหตุผล
“เพราะช่วงนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง คงไม่ค่อยมีเวลามาดูแลเธอสักเท่าไหร่”
แล้วอีกคนทำได้งั้นสิ เขาทำไม่ได้หรือไม่อยากทำกันแน่ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ขอร้องให้เขามาช่วยดูแลฉันสักหน่อย
“หวานดูแลตัวเองได้ค่ะ”
“จะให้พูดตรงๆ ก็คือฉันไม่ไว้ใจเธอ ในระหว่างสามเดือนที่พ่อไม่อยู่ ฉันจะไม่ยอมให้เธอเอาเงินพ่อฉันไปปรนเปรอความสุขให้ตัวเองหรือแม่ขี้เหล้าของเธอเด็ดขาด”
“แต่ว่าหวาน...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ระหว่างที่เธอไปอยู่กับไม้โทที่คอนโด เขาจะเป็นคนจับตาดูเธออย่างใกล้ชิดและรายงานพฤติกรรมของเธอให้ฉันรู้ทุกอย่าง”
เหตุผลในการดูถูกฉันของเขามันทุเรศสิ้นดี นี่น่ะเหรอเรียกว่าดูแล ฉันว่ามันคือการจับผิดซะมากกว่า แต่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากก้มหน้ารับชะตากรรมเพราะคำว่าบุญคุณมันค้ำคอ!
“แค่นี้ใช่มั้ยคะที่พี่จะสั่ง”
“โทรรายงานฉันทุกวันว่าทำอะไรบ้าง ไปไหนบ้าง กลับกี่โมง ฉันจะได้เช็กว่ามันตรงกับที่โทบอกฉันรึเปล่า”
“มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอคะ”
“ที่เธอได้จากพ่อฉันไปมันมากกว่านี้เยอะ อดทนหน่อย แค่สามเดือน”
คำพูดเชือดเฉือนซ้ำๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อ พูดจบเขาก็เดินจากไป ฉันควรดีใจมั้ยที่วันนี้เราได้พูดกันตั้งหลายประโยค
เหอะ! งี่เง่าชะมัด
“คุณหวานคะ”
“คะป้า”
“คุณเอกให้ป้ามาช่วยคุณหวานค่ะ” ป้าขวัญบอกแล้วยิ้มเจื่อนๆ เขาทำขนาดนี้แล้วฉันจะเลือกอะไรได้ล่ะ ห่วงก็แต่เจ้าของสถานที่ที่ฉันต้องไปอยู่ด้วยนั่นแหละ ป่านนี้จะรู้ตัวรึยังก็ไม่รู้
ฉันเดินนำป้าขวัญเข้ามาเก็บกระเป๋าที่ห้องของตัวเอง วันนี้เอาไปเท่าที่จำเป็นก่อนก็แล้วกันเพราะยังไงซะก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ถาวรอยู่แล้ว เดี๋ยววันหลังค่อยมาเก็บเพิ่มก็ได้
“โดนเยอะเลยเหรอคะคุณหวาน” ขนาดป้าขวัญยังรู้เลย
“ไม่หรอกค่ะ มันน้อยไปถ้าเทียบกับที่คุณลุงให้หวานมาตั้งห้าปี”
“อย่าคิดแบบนั้นสิคะ จริงๆ คุณไม้เอกกับคุณไม้โทใจดีมากนะคะ”
ฉันอยากรู้สึกแบบนั้นกับพวกเขาบ้างจัง เฮ้อ~
ทุกอย่างที่จำเป็นถูกเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ ถึงจะอยู่ที่นี่มาเกือบห้าปีแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้มีข้าวของเครื่องใช้มากมายนักหรอก และถ้าเลือกได้ ฉันคงปฏิเสธทั้งหมดที่คุณลุงซื้อให้ แต่เพราะมันเลือกไม่ได้ไง ทำได้แค่รับเอาไว้ให้น้อยที่สุดเท่านั้นเอง
หลังจากที่ฉันยัดทุกอย่างใส่ลงมาในเป้หนึ่งใบ ฉันก็เดินกลับลงมา ไม้โทที่ยืนอยู่หน้าห้องโถงหันมามองฉันด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อยนี่นา
“อย่าลืมโทรรายงานฉัน” พี่ไม้เอกที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องโถงกำชับฉันอีกครั้ง ซึ่งการพยักหน้าตอบรับของฉันก็ไม่ต่างจากการลงนามในสัญญาติดคุกเป็นเวลาสามเดือนของเขาดีๆ นี่เอง
“อย่าเป็นภาระ” ไม้โทพูดกับฉันสั้นๆ แล้วเดินนำออกไป
“พี่ไม้เอกคะ”
“โทไม่ชอบรอใครนาน”
ไม่มีใครคิดจะฟังฉันเลยสินะ!
ฉันกัดฟันอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า จ้องมองเพียงใบหน้าของคนที่คุณลุงไว้ใจให้เขาดูแลฉันแล้วแอบรู้สึกหดหู่ในใจ ไหนล่ะความใจดีของพวกเขาที่ป้าขวัญบอก มันซ่อนอยู่ในรูขุมขนที่เท่าไหร่ของพวกเขางั้นเหรอ!
บรื้นนน
เสียงเร่งเครื่องยนต์ของปอร์เช่เคย์แมนสีดำดังมาจากหน้าบ้านเรียกสติของฉัน รวมถึงเร่งให้ฉันต้องเร่งฝีเท้าออกจากบ้านให้เร็วขึ้นทันที บางทีก็เริ่มคิดแล้วว่าการที่เราสามคนไม่ค่อยเจอ ไม่ค่อยพูดกันเหมือนเมื่อก่อนมันดีอยู่แล้ว
ปัง!
ขอโทษที ปิดประตูรถแรงไปหน่อย
บรื้นนน
ยังไม่ทันได้หันกลับมาคาดเข็มขัด ไม้โทก็ออกรถด้วยความเร็ว ทำให้ฉันหงายกลับไปกระแทกกับเบาะรถ
“ไม้โท!”
“สิบนาทีก่อนถึงทางแยก ข้อแรก ระหว่างที่เธออยู่กับฉัน ตัวใครตัวมัน”
เขาหมายถึงฉันมีเวลาสิบนาทีในการตกลงกับเขาก่อนจะถึงทางแยกน่ะ เหนื่อยนะเวลาที่ต้องแปลไทยเป็นไทยเนี่ย แล้วก็รู้สึกแปลกใจมากที่ไม้โทพูดกับฉันเกินสามคำในหนึ่งประโยค คงเป็นเพราะเขากำลังหงุดหงิดมากจริงๆ
“อืม”
“ข้อสอง จะต้องไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ด้วยกัน”
ข้อนี้ฉันพอจะเข้าใจว่าเขาคงจะห่วงชื่อเสียงของเขา ซึ่งมันเป็นเหตุผลข้อแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉันตอนที่ได้ยินพี่ไม้เอกสั่งให้ย้ายมาอยู่กับเขาเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่เป็นอยู่นี่ไงล่ะ ทั้งฉันและไม้โทต่างก็ไม่มีใครขัดคำสั่งของพี่ไม้เอกได้ ไม่อย่างนั้นเราจะต้องมาทำข้อตกลงบ้าๆ ในการอยู่ร่วมกันนี่ไปทำไม
“คิดว่าฉันอยากบอกนักรึไง” ฉันบอกอย่างนึกหงุดหงิดบ้าง
“ข้อสาม ถ้าเพื่อนฉันไปที่ห้อง เธอต้องไปอยู่ที่อื่น”
ฉันอยากกรีดร้องจริงๆ ให้ตายสิ
“ถ้าลำบากมาก ฉันจะลองไปคุยกับพี่ไม้เอกอีกที”
เอี๊ยดดด
พูดจบไม้โทก็เหยียบเบรกรถกะทันหันจนฉันได้ยินเสียงยางรถยนต์เสียดสีไปกับพื้นถนนคอนกรีตดังลั่นไปทั่ว โชคดีนะที่ฉันคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้ว
“ลงไป”
คำสั่งของไม้โททำให้ฉันรีบหันมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ แต่พอมองให้แน่ใจแล้วฉันถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่ไม้โทเบรกรถแล้วไล่ฉันลงตรงนี้ก็เพราะเขาขับรถมาถึงทางแยกแล้วนี่เอง ส่วนสาเหตุที่เขาต้องจอดตรงทางแยกก็เพราะถ้าจะไปคอนโดของเขามันต้องเลี้ยวขวาตรงแยกนี้แล้วขึ้นทางด่วนไงล่ะ
แปลเป็นไทยอีกทีก็คือเขาจอดทิ้งฉันบนทางด่วนไม่ได้ แต่ทิ้งตรงนี้ได้!
“ลงไป”
“ฉัน...”
“ลง-ไป” พูดเน้นทีละคำแบบนี้แปลว่าอะไร สติใกล้แตกเหรอ ฉันเป็นมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้ว
“โอเค ฉันตกลงก็ได้” ฉันรีบตกลงทันทีเมื่อคิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ
นี่จะกดดันกันไปถึงไหน แล้วปกติการทำข้อตกลงกัน มันต้องยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่รึไง แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีทางเลือกเลย ไม่มีเลยสักข้อเดียวที่เลือกได้
“ก็แค่เนี้ย แต่จำที่พูดเอาไว้ด้วยนะ พูดแล้วคืน มะรืนนี้ตาย”
บรื้นนน~