EPISODE 03
ฟู่ว์~
วันนี้ฉันตื่นตั้งแต่เช้ามืดแล้วแหละ แต่จนสายล่วงเลยมาถึงบ่ายป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
อึดอัดชะมัด จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันไม่ชินเท่าไหร่กับการนอนบนโซฟาที่ไม้โทอุตส่าห์มีน้ำใจให้ฉันยืมใช้แทนเตียงนอนชั่วคราว ส่วนเขาน่ะเหรอ เข้าไปนอนในห้องสบายใจเฉิบแล้วก็ลุกออกไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้ามืด แต่งตัวซะหล่อจนฉันคิดว่าเห็นผีบ้านผีเรือน
ครึ่งค่อนวันแล้วที่ฉันนั่งมองข้าวของของตัวเอง ซึ่งถึงแม้จะมีมาแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว แต่ฉันกลับไม่รู้จะเอามันไปวางตรงไหน แน่นอนว่าฉันไม่สามารถเอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องได้ เพราะเจ้าของห้องไม่อนุญาต แต่ครั้นจะเอาของข้างในออกมากองข้างนอกก็ไม่ได้อีก เพราะถ้าเกิดว่ามีเพื่อนของไม้โทโผล่มา มีหวังฉันเก็บไม่ทันจนเป็นเรื่องอีกแน่ๆ ไม้โทย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่กับเขาที่นี่
แต่ที่หนักใจยิ่งไปกว่าเรื่องข้าวของในกระเป๋าก็คือตอนนี้ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย เพราะห้องน้ำด้านนอกมีไว้สำหรับปลดทุกข์เท่านั้น ส่วนห้องน้ำอีกห้องที่อยู่ในห้องนอนก็เข้าไม่ได้เพราะไม้โทล็อกเอาไว้ ฉันก็เลยได้แต่ล้างหน้าแปรงฟันที่ซิงก์ล้างจานในครัวแล้วมานั่งถามตัวเองว่าฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี
นี่เกือบจะบ่ายสองแล้ว นอกจากฉันจะยังไม่ได้อาบน้ำแล้ว ข้าวก็ยังไม่ได้กินเพราะไม่กล้าหยิบจับอะไรในห้องเขาสักอย่าง จะออกไปซื้อก็ไม่ได้อีก เพราะถ้าออกไปแล้วจะกลับเข้ามายังไงในเมื่อฉันไม่มีคีย์การ์ด
ชีวิตบัดซบสุดๆ
“โว้ยยย...อุ๊ย! กลับมาแล้วเหรอ” ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อกำลังแหกปากโวยวายอยู่คนเดียวด้วยอารมณ์หงุดหงิดแต่หางตาดันเหลือบไปเห็นไม้โทเข้าพอดี ทำเอาฉันต้องรีบยกมือลูบเส้นผมให้กลับเข้าที่เพราะเมื่อครู่นี้กำลังยีมันระบายอารมณ์ ว่าแต่เขาเข้ามายังไงโดยที่ฉันไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดปิดประตู
ปัง!
แล้วประตูห้องนอนก็ถูกปิดลงหลังจากที่คนเปิดเดินหายเข้าไปด้านในโดยไม่ทักไม่ทายฉันสักคำ ฮึ่มมม! ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!
ฉันพยายามกัดฟันแล้วบอกให้ตัวเองอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่ดีแน่ ถ้าขืนต้องอยู่แบบนี้ต่ออีกสักวันสองวันฉันต้องบ้าหรือไม่ก็ต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้าแน่ๆ ดูก็รู้ว่าไม้โทไม่เต็มใจต้อนรับฉันสักนิด (ซึ่งก็รู้แต่แรกอยู่แล้ว) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันว่าฉันไม่ควรอยู่ให้เราต่างคนต่างรู้สึกอึดอัดจะดีกว่า
“จะไปไหน”
รออีกสักห้านาทีค่อยเดินออกมาไม่ได้รึไง
ฉันหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหน้าคนถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก อุตส่าห์สะพายกระเป๋าพาดบ่าแล้วนะ ตั้งใจแล้วว่าจะไปหาห้องเช่าเล็กๆ อยู่คนเดียวก็ได้ อย่างน้อยมันก็น่าจะสบายใจกว่าอยู่ที่นี่
“ไปอยู่ที่อื่น”
“พี่ไม้เอกอนุญาต?”
นี่ถ้าไม่ได้รู้จักเขามาห้าปี และไม่ได้เห็นหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ฉันก็เกือบแยกไม่ออกว่านั่นเป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำถาม
“แปลว่าไม่”
“ฉัน...”
“อย่าเป็นภาระ”
“ฉันก็กำลังจะไปนี่ไง ไม่ได้อยากจะอยู่เป็นภาระนายสักหน่อย” ฉันรีบบอก ยิ่งพูดกับไม้โทฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝุ่นยังไงก็ไม่รู้ เขาทำเหมือนรังเกียจฉันมากทั้งที่เราแทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ จนป่านนี้แล้วฉันเองก็ยังหาสาเหตุและข้อสรุปไม่ได้ว่าเขาเกลียดฉันเรื่องอะไร
“จะไปก็ไป แต่ต้องโทรบอกพี่ไม้เอกก่อน”
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวฉันจะโทรบอกพี่ไม้เอกเอง”
“เดี๋ยวนี้”
ฟุ่บ!
โอเค ไม่ไปก็ได้วะ!
สุดท้ายฉันก็ต้องเดินกลับมานั่งจุ้มปุ๊กบนโซฟาที่นั่งอยู่มาตั้งแต่เช้าตามเดิม แต่ไม่ได้คิดจะยอมแพ้หรอกนะ เอาเป็นว่าถ้าคราวหน้าไม้โทออกไปข้างนอกอีกรอบ ฉันจะหนีออกไปทันที เมื่อกี้นี้น่าจะคิดได้ตั้งแต่ตอนก่อนที่เขาจะกลับมา ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันมัวลังเลอะไรอยู่
เอ๊ะ! หรือว่าฉันควรทำข้อตกลงกับไม้โทเหมือนที่เขาทำกับฉันเมื่อวานบ้างจะดีมั้ยนะ
“ไม้โท” ฉันตัดสินใจหันไปเรียกไม้โทก่อนเป็นครั้งแรก ซึ่งสายตาที่เขามองกลับมาก็ทำให้ความกล้าที่จะทำข้อตกลงกับเขาแทบจะหายวับไปในทันทีเลยทีเดียว
“เอ่อ คือว่าความจริงแล้ว ถ้านายไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะออกไปอยู่ข้างนอกก็ได้นะ”
เอาเป็นว่าลองใช้ไม้อ่อนกับเขาดูก่อนก็แล้วกัน
“โทรบอกพี่ไม้เอกสิ” ไม้โทย้ำ แต่ถ้าจะโทรบอกพี่ไม้เอก ฉันจะเสียเวลาพูดกับเขาก่อนทำไม
“ฉันหมายถึงไปแบบที่ไม่ต้องบอกพี่ไม้เอกน่ะ หมายถึงให้มันเป็นความลับ...ระหว่างเรา”
“ฉันไม่โกหก”
แปลว่าไม้อ่อนไม่ได้ผล คำปฏิเสธสั้นๆ ของไม้โททำให้ฉันรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวชะมัด
“ก็ไม่เชิงโกหกสักหน่อย แต่ในเมื่อนายเองก็เกลียดฉันและไม่ได้อยากให้ฉันมาอยู่ด้วย ก็คิดซะว่าทำเพื่อความสบายใจของนายก็แล้วกัน ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่รกหูรกตานายไง” ฉันพยายามอ้าง
ไม้โทช้อนตามองฉันผ่านขอบแก้วน้ำทรงสูงที่เขากำลังยกมันขึ้นดื่ม ก่อนที่เขาจะหันหน้าหนีไปแบบเมินเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยินไอ้ประโยคที่ฉันอุตส่าห์พูดไปตั้งยาว
“หรือความจริงแล้วนายอยากให้ฉันอยู่ที่นี่”
“เหอะ!”
“นั่นไง นายเองก็ไม่ได้อยากให้ฉันอยู่สักหน่อย ฉันก็กำลังจะไปนี่ไง เราจะได้ไม่ต้องต่างคนต่างอึดอัด”
“มีแฟนรึยัง”
เดี๋ยว! นั่นมันไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันกำลังพูดกับเขาสักนิด
“ว่าไง ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ” ไม้โทถามย้ำอีกรอบ ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากจนฉันดูไม่ออกว่าเขาถามแบบนั้นเพื่ออะไร
“อยากไปอยู่กับแฟน?”
ฉันเข้าใจแล้วว่าเขากำลังคิดอะไร
ตุ้บ!
เป็นอันว่าฉันไม่ได้ตอบคำถามของไม้โท แต่เลือกจะทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาเพราะรู้ตัวแล้วว่าคงไปไหนไม่ได้ ขืนฉันก้าวออกไปมีหวังไม้โทต้องเข้าใจว่าฉันอยากไปอยู่กับแฟนแน่ๆ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพี่ไม้เอก ฉันต้องโดนเขาเล่นงานหนักแน่นอน ลำพังแค่เรื่องแม่ พี่ไม้เอกก็จ้องจะเอาเรื่องฉันหนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งถึงฉันจะไม่พอใจที่เขาชอบว่าแม่ของฉัน แต่จะเถียงยังไงได้ในเมื่อที่เขาพูดมันจริง ฉันว่าถ้าฉันให้เงินแม่แล้วแม่เอาไปซื้อของที่มันมีประโยชน์หรือเอาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ลงขวดเหล้า อะไรๆ มันก็อาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
จ๊อกกก~
หิวชะมัด เหมือนจะได้กลิ่นอะไรหอมๆ มาจากในครัวด้วย แต่ไม่กล้าหันไปมองหรอก เดี๋ยวเจ้าของห้องเขาจะหาว่าฉันตะกละ
จ๊อกกก~
ฮือออ ยิ่งได้กลิ่นท้องมันก็ยิ่งร้องน่ะ ไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่นา เพราะหลังจากกลับมาถึงคอนโดพร้อมกันกับไม้โท เขาก็เดินหายเข้าไปในห้องแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย ทิ้งฉันนั่งเป็นหมากระเป๋าเฝ้าโซฟาอยู่เนี่ย
จ๊อกกก~
“ไม้โท”
“ซื้อมากินคนเดียว”
ไอ้งก!
“ไม่ได้จะขอกินด้วยสักหน่อย” ฉันรีบบอก รู้สึกหน้าชามากตอนที่ตัดสินใจกระเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาเพื่อหันไปมองหน้าไม้โทแต่เขากลับรีบดึงกล่องของกินสีขาวๆ เข้าหาตัวพร้อมกับบอกว่าซื้อมากินคนเดียว
“ขอก็ไม่ให้กิน”
“รู้แล้วน่า ฉันแค่จะถามว่านายจะออกไปไหนอีกรึเปล่า” ฉันถามพลางถอนหายใจเมื่อไม้โทยังไม่หยุดยั่วโมโหฉันด้วยการทำท่าทางหวงแหนกล่องตรงหน้า มิหนำซ้ำยังคีบซูชิใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
กวนประสาท!
“ว่าไง ตกลงว่านายจะออกไปไหนมั้ย”
“ไม่รับฝาก”
ปั๊ดโธ่โว้ย! ไม่ได้จะฝากซื้อ
“รู้แล้วว่าไม่รับฝาก แต่นายช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อยจะได้มั้ย ฉันถามเพราะเห็นนายแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอกอีกรอบ แต่ถ้านายไม่ไป ฉันก็แค่จะขอยืมคีย์การ์ดหน่อยก็เท่านั้นเอง” ฉันรีบอธิบาย
ถ้าดูจากการแต่งตัวของไม้โทแล้ว เขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดอยู่บ้านเลย ไม่รู้ว่าแค่แวะกลับมาเอาของหรือมาหาอะไรกินก่อนกลับออกไปรึเปล่า ไม่ก็อาจจะแค่แวะมาดูว่าฉันตายเป็นผีเฝ้าห้องเขาไปรึยัง
ฉันนั่งมองผู้ชายที่สวมกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวดูธรรมดาๆ แต่เขากลับดูดีกว่าผู้ชายปกติที่สวมเพียงเสื้อยืดแบบที่ฉันเคยเห็น
ไม้โทตัดผมสั้นดูเป็นผู้ชายสุภาพและรักสะอาด แต่กลับเจาะหูข้างซ้ายและใส่ต่างหูสีดำที่ฉันคิดว่ามันขัดกับบุคลิกผู้ดีๆ และใบหน้าหวานๆ ของเขาโดยสิ้นเชิง แต่พอมองโดยรวมแล้วก็ยากที่จะปฏิเสธว่าเขาดูดีมากทีเดียว
ฉันยังจำได้ว่าวันแรกที่เจอกันที่โรงพยาบาลเขาเองก็แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ แบบนี้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากพี่ไม้เอกลิบลับ รายนั้นน่ะเนี้ยบตั้งแต่เส้นผมยันถุงเท้า ว่าไปแล้วนี่ถ้าไม้โทมีรอยสักอีกสักอย่างฉันคงคิดว่าเขาเป็นมาเฟียหน้าเด็ก ซึ่งก็ดีแล้วที่ไม่มี เนื้อตัวของเขาดูสะอาดสะอ้านมากแถมผิวยังขาวจัดเหมือนไม่เคยตากแดด และที่โดดเด่นมากในตอนนี้ก็คือนาฬิกาข้อมือหน้าปัดใหญ่ๆ ที่เขาสวมอยู่ที่ข้อมือด้านซ้าย เพราะมือข้างนั้น...กำลังคีบซูชิเข้าปากคำแล้วคำเล่า
โว้ย! ยิ่งนั่งมองเขาฉันก็ยิ่งอยากจะกรีดร้อง เพราะนอกจากไม้โทจะไม่สนใจตอบคำถามของฉันแล้ว เขายังเอาแต่เคี้ยวซูชิตุ้ยๆ แล้วปล่อยให้เสียงของฉันหายไปในอากาศ ความเงียบของไม้โททำให้ฉันยิ่งหงุดหงิดจนรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองกำลังจะแตก
“ไม้โท” เรียกอีกรอบก็ได้เผื่อเมื่อกี้นี้เขาไม่ได้ยิน
“ไม่ให้”
“แต่ฉันหิว”
“กินคีย์การ์ด?” ไม้โทถามเสียงสูงพร้อมกับละสายตาจากซูชิในกล่องตรงหน้าขึ้นมามอง
“คีย์การ์ดบ้านนายกินได้รึไงล่ะ ฉันจะลงไปซื้อของกินต่างหาก”
“ก็ไปสิ”
“แล้วฉันจะกลับเข้ามาได้ยังไงถ้าไม่มีคีย์การ์ด” ฉันรีบถาม แต่ไม้โทกลับหรี่ตามองฉันเหมือนจะไม่เข้าใจคำพูดของฉัน
ทำไมเขาถึงเป็นคนเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ!
“ก็ฉันอยู่ในห้อง กลับมาก็เรียกสิ อินเตอร์คอมหน้าห้องก็มี หรือว่าเธอคิดจะไปสักสามเดือน”
แปลว่าเขาไม่ได้จะออกไปไหน แล้วแต่งตัวดูดีขนาดนั้นอยู่ห้องเพื่อ? อีกอย่างจะประชดฉันทำไมนักหนา
“แล้วนายจะไม่นอนพักบ้างรึไง ถ้านายให้คีย์การ์ดฉันเดี๋ยวพอฉันกลับมาถึงฉันก็เปิดเข้ามาเองได้ นายกินเสร็จแล้วก็เข้าไปนอนพักสิ นายตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง ออกไปตอนตีห้า เพิ่งกลับมาไม่ง่วงเหรอ” ฉันถามรัวเป็นชุด
รู้หรอกว่าฉันคงทำให้เขาไม่พอใจที่พูดมาก แต่ฉันเกรงใจเขานี่นา เผื่อว่าเขาจะกลับมาเหนื่อยๆ ถ้าฉันเปิดเข้ามาเองได้เขาจะได้ไม่ต้องมาคอยเปิดประตูให้ อีกอย่างถ้าเกิดว่าเขาหลับไปแล้ว แล้วฉันกดออดเรียก เดี๋ยวก็พาลมาด่าฉันอีก
“ว่าไงล่ะ หิวแล้วนะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนเนี่ย น้ำก็ยังไม่ได้อาบ” ฉันเร่งเอาคำตอบเมื่อได้ยินเสียงไม้โทถอนหายใจเบาๆ แต่เขากลับก้มลงกินซูชิต่อเหมือนจะไม่สนใจฉันอีกเหมือนเคย
“จะไปไหนก็ไป”
“แล้ว...”
“จะดูบอล ไม่ง่วง”
คำตอบของไม้โทยังคงห้วนเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยมันก็แปลว่าฉันสามารถลงไปซื้ออะไรกินได้นั่นแหละ
เมื่อได้ยินไม้โทบอกว่าเขาไม่ง่วง ฉันก็รีบกระเด้งตัวเองลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความสบายใจก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้เพื่อหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา แต่ทันทีที่เห็นกระเป๋าตังค์ฉันก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า...ฉันไม่มีตังค์
“อ่า...ไม้โท”
“เยอะนะ” นั่นคือถ้อยคำกระแนะกระแหนของไม้โทที่ฉันคิดว่าฟังดูดีกว่าทุกครั้งแล้วนะ
“แค่จะถามว่าข้างล่างมีตู้เอทีเอ็มมั้ย”
“ไม่มี” คำตอบนี้ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่
ฉันได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเซ็งๆ ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอย่างจนปัญญา ใครจะหน้าด้านขอยืมเงินเขากันล่ะ แค่นี้เขาก็ทำหน้าตารำคาญฉันมากพออยู่แล้ว
ความเงียบภายในห้องทำให้ฉันอยากจะร้องไห้ นี่ฉันควรจะทำยังไงดี หรือว่าควรจะเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตู้เอทีเอ็ม พยายามค้นในกระเป๋าตังค์แล้ว ในกระเป๋าเป้ก็ค้นแล้วแต่กลับไม่มีเศษเหรียญหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว
“แม่นะแม่!”
นาทีนี้ถ้าไม่ให้ฉันโทษแม่แล้วจะให้ฉันโทษใคร ถ้าเมื่อวานไม่ถูกแม่ขโมยเงินไป อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ยังน่าจะพอมีเงินเหลืออยู่สักสามสี่ร้อย เพราะปกติถ้านับเฉพาะค่ากินฉันใช้เงินไม่ถึงวันละสองร้อยด้วยซ้ำ
ปั้กๆ
แรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่ข้อเท้าทำให้ฉันต้องละสายตาจากกระเป๋าตังค์ในมือเพื่อหันไปมอง แต่ถ้าจะพูดด้วย แค่เรียกชื่อฉันก็ขานแล้ว ไม่เห็นต้องเดินมาสะกิดกัน...ด้วยเท้า...แบบนี้เลย
ปั้ก!
“เหลือ”
หลังจากที่ไม้โทใช้เท้าสะกิดจนฉันหันไปมองหน้าเขา เขาก็โยนกล่องซูชิสีขาวลงบนโต๊ะก่อนจะพูดห้วนๆ เหมือนไม่เต็มใจ ในกล่องที่ถูกโยนลงมานั้นมีซูชิเหลืออยู่ประมาณห้าหกคำ พูดจบ คนพูดก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเอื้อมมือไปหยิบรีโมตในตะกร้ามากดเปิดโทรทัศน์
ไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะโกรธเขาดีมั้ยที่เขาทำเหมือนฉันมาขอทานเขากิน แต่ก็พอจะดูออกว่าเขาไม่ได้กินเหลือจริงๆ หรอก แต่เขาตั้งใจกินให้เหลือต่างหาก
ครืด
แล้วฉันก็ตัดสินใจดันกล่องซูชิตรงหน้าออกไปให้ห่างเป็นการปฏิเสธ
“นายกินเถอะ ฉันรู้ว่านายยังไม่อิ่ม”
“บอกแล้วไงว่าเหลือ”
เถียงกับเขาไปก็ไม่ได้อะไรหรอก แม้จะรู้ดีว่าเหลือของเขาคือตั้งใจเหลือเพราะคงรู้สึกสมเพชฉัน
“กินแค่นี้ฉันไม่อิ่ม ไม่กินซะดีกว่า เอาเป็นว่าจะลองเดินไปหาตู้เอทีเอ็มเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ถ้าข้างล่างไม่มี แถวๆ นี้ก็น่าจะมีบ้าง เมื่อคืนเหมือนจะเห็นร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลตอนที่นายขับรถผ่านมา”
“กิโลกว่า”
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ฮึ่ย! เมื่อคืนตอนนั่งอยู่ในรถมันไม่ได้ไกลมากนี่นา เขาหลอกฉันหรือว่ามันไกลขนาดนั้นจริงๆ กันนะ
ฉันครุ่นคิดพลางแอบเบะปากใส่ไม้โทนิดหน่อยแล้วรีบเดินหลบฉากออกมา รู้หรอกน่าว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากจะให้ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นสักเท่าไหร่