EPISODE 03

2828 คำ
EPISODE 03  ฟู่ว์~ วันนี้ฉันตื่นตั้งแต่เช้ามืดแล้วแหละ แต่จนสายล่วงเลยมาถึงบ่ายป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง อึดอัดชะมัด จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันไม่ชินเท่าไหร่กับการนอนบนโซฟาที่ไม้โทอุตส่าห์มีน้ำใจให้ฉันยืมใช้แทนเตียงนอนชั่วคราว ส่วนเขาน่ะเหรอ เข้าไปนอนในห้องสบายใจเฉิบแล้วก็ลุกออกไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้ามืด แต่งตัวซะหล่อจนฉันคิดว่าเห็นผีบ้านผีเรือน ครึ่งค่อนวันแล้วที่ฉันนั่งมองข้าวของของตัวเอง ซึ่งถึงแม้จะมีมาแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว แต่ฉันกลับไม่รู้จะเอามันไปวางตรงไหน แน่นอนว่าฉันไม่สามารถเอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องได้ เพราะเจ้าของห้องไม่อนุญาต แต่ครั้นจะเอาของข้างในออกมากองข้างนอกก็ไม่ได้อีก เพราะถ้าเกิดว่ามีเพื่อนของไม้โทโผล่มา มีหวังฉันเก็บไม่ทันจนเป็นเรื่องอีกแน่ๆ ไม้โทย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่กับเขาที่นี่ แต่ที่หนักใจยิ่งไปกว่าเรื่องข้าวของในกระเป๋าก็คือตอนนี้ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย เพราะห้องน้ำด้านนอกมีไว้สำหรับปลดทุกข์เท่านั้น ส่วนห้องน้ำอีกห้องที่อยู่ในห้องนอนก็เข้าไม่ได้เพราะไม้โทล็อกเอาไว้ ฉันก็เลยได้แต่ล้างหน้าแปรงฟันที่ซิงก์ล้างจานในครัวแล้วมานั่งถามตัวเองว่าฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี นี่เกือบจะบ่ายสองแล้ว นอกจากฉันจะยังไม่ได้อาบน้ำแล้ว ข้าวก็ยังไม่ได้กินเพราะไม่กล้าหยิบจับอะไรในห้องเขาสักอย่าง จะออกไปซื้อก็ไม่ได้อีก เพราะถ้าออกไปแล้วจะกลับเข้ามายังไงในเมื่อฉันไม่มีคีย์การ์ด ชีวิตบัดซบสุดๆ “โว้ยยย...อุ๊ย! กลับมาแล้วเหรอ” ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อกำลังแหกปากโวยวายอยู่คนเดียวด้วยอารมณ์หงุดหงิดแต่หางตาดันเหลือบไปเห็นไม้โทเข้าพอดี ทำเอาฉันต้องรีบยกมือลูบเส้นผมให้กลับเข้าที่เพราะเมื่อครู่นี้กำลังยีมันระบายอารมณ์ ว่าแต่เขาเข้ามายังไงโดยที่ฉันไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดปิดประตู ปัง! แล้วประตูห้องนอนก็ถูกปิดลงหลังจากที่คนเปิดเดินหายเข้าไปด้านในโดยไม่ทักไม่ทายฉันสักคำ ฮึ่มมม! ทนไม่ไหวแล้วโว้ย! ฉันพยายามกัดฟันแล้วบอกให้ตัวเองอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่ดีแน่ ถ้าขืนต้องอยู่แบบนี้ต่ออีกสักวันสองวันฉันต้องบ้าหรือไม่ก็ต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้าแน่ๆ ดูก็รู้ว่าไม้โทไม่เต็มใจต้อนรับฉันสักนิด (ซึ่งก็รู้แต่แรกอยู่แล้ว) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันว่าฉันไม่ควรอยู่ให้เราต่างคนต่างรู้สึกอึดอัดจะดีกว่า “จะไปไหน” รออีกสักห้านาทีค่อยเดินออกมาไม่ได้รึไง ฉันหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหน้าคนถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก อุตส่าห์สะพายกระเป๋าพาดบ่าแล้วนะ ตั้งใจแล้วว่าจะไปหาห้องเช่าเล็กๆ อยู่คนเดียวก็ได้ อย่างน้อยมันก็น่าจะสบายใจกว่าอยู่ที่นี่ “ไปอยู่ที่อื่น” “พี่ไม้เอกอนุญาต?” นี่ถ้าไม่ได้รู้จักเขามาห้าปี และไม่ได้เห็นหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ฉันก็เกือบแยกไม่ออกว่านั่นเป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำถาม “แปลว่าไม่” “ฉัน...” “อย่าเป็นภาระ” “ฉันก็กำลังจะไปนี่ไง ไม่ได้อยากจะอยู่เป็นภาระนายสักหน่อย” ฉันรีบบอก ยิ่งพูดกับไม้โทฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝุ่นยังไงก็ไม่รู้ เขาทำเหมือนรังเกียจฉันมากทั้งที่เราแทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ จนป่านนี้แล้วฉันเองก็ยังหาสาเหตุและข้อสรุปไม่ได้ว่าเขาเกลียดฉันเรื่องอะไร “จะไปก็ไป แต่ต้องโทรบอกพี่ไม้เอกก่อน” “รู้แล้วน่า เดี๋ยวฉันจะโทรบอกพี่ไม้เอกเอง” “เดี๋ยวนี้” ฟุ่บ! โอเค ไม่ไปก็ได้วะ! สุดท้ายฉันก็ต้องเดินกลับมานั่งจุ้มปุ๊กบนโซฟาที่นั่งอยู่มาตั้งแต่เช้าตามเดิม แต่ไม่ได้คิดจะยอมแพ้หรอกนะ เอาเป็นว่าถ้าคราวหน้าไม้โทออกไปข้างนอกอีกรอบ ฉันจะหนีออกไปทันที เมื่อกี้นี้น่าจะคิดได้ตั้งแต่ตอนก่อนที่เขาจะกลับมา ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันมัวลังเลอะไรอยู่ เอ๊ะ! หรือว่าฉันควรทำข้อตกลงกับไม้โทเหมือนที่เขาทำกับฉันเมื่อวานบ้างจะดีมั้ยนะ “ไม้โท” ฉันตัดสินใจหันไปเรียกไม้โทก่อนเป็นครั้งแรก ซึ่งสายตาที่เขามองกลับมาก็ทำให้ความกล้าที่จะทำข้อตกลงกับเขาแทบจะหายวับไปในทันทีเลยทีเดียว “เอ่อ คือว่าความจริงแล้ว ถ้านายไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะออกไปอยู่ข้างนอกก็ได้นะ” เอาเป็นว่าลองใช้ไม้อ่อนกับเขาดูก่อนก็แล้วกัน “โทรบอกพี่ไม้เอกสิ” ไม้โทย้ำ แต่ถ้าจะโทรบอกพี่ไม้เอก ฉันจะเสียเวลาพูดกับเขาก่อนทำไม “ฉันหมายถึงไปแบบที่ไม่ต้องบอกพี่ไม้เอกน่ะ หมายถึงให้มันเป็นความลับ...ระหว่างเรา” “ฉันไม่โกหก” แปลว่าไม้อ่อนไม่ได้ผล คำปฏิเสธสั้นๆ ของไม้โททำให้ฉันรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวชะมัด “ก็ไม่เชิงโกหกสักหน่อย แต่ในเมื่อนายเองก็เกลียดฉันและไม่ได้อยากให้ฉันมาอยู่ด้วย ก็คิดซะว่าทำเพื่อความสบายใจของนายก็แล้วกัน ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่รกหูรกตานายไง” ฉันพยายามอ้าง ไม้โทช้อนตามองฉันผ่านขอบแก้วน้ำทรงสูงที่เขากำลังยกมันขึ้นดื่ม ก่อนที่เขาจะหันหน้าหนีไปแบบเมินเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยินไอ้ประโยคที่ฉันอุตส่าห์พูดไปตั้งยาว “หรือความจริงแล้วนายอยากให้ฉันอยู่ที่นี่” “เหอะ!” “นั่นไง นายเองก็ไม่ได้อยากให้ฉันอยู่สักหน่อย ฉันก็กำลังจะไปนี่ไง เราจะได้ไม่ต้องต่างคนต่างอึดอัด” “มีแฟนรึยัง” เดี๋ยว! นั่นมันไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันกำลังพูดกับเขาสักนิด “ว่าไง ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ” ไม้โทถามย้ำอีกรอบ ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากจนฉันดูไม่ออกว่าเขาถามแบบนั้นเพื่ออะไร “อยากไปอยู่กับแฟน?” ฉันเข้าใจแล้วว่าเขากำลังคิดอะไร ตุ้บ! เป็นอันว่าฉันไม่ได้ตอบคำถามของไม้โท แต่เลือกจะทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาเพราะรู้ตัวแล้วว่าคงไปไหนไม่ได้ ขืนฉันก้าวออกไปมีหวังไม้โทต้องเข้าใจว่าฉันอยากไปอยู่กับแฟนแน่ๆ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพี่ไม้เอก ฉันต้องโดนเขาเล่นงานหนักแน่นอน ลำพังแค่เรื่องแม่ พี่ไม้เอกก็จ้องจะเอาเรื่องฉันหนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งถึงฉันจะไม่พอใจที่เขาชอบว่าแม่ของฉัน แต่จะเถียงยังไงได้ในเมื่อที่เขาพูดมันจริง ฉันว่าถ้าฉันให้เงินแม่แล้วแม่เอาไปซื้อของที่มันมีประโยชน์หรือเอาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ลงขวดเหล้า อะไรๆ มันก็อาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ จ๊อกกก~ หิวชะมัด เหมือนจะได้กลิ่นอะไรหอมๆ มาจากในครัวด้วย แต่ไม่กล้าหันไปมองหรอก เดี๋ยวเจ้าของห้องเขาจะหาว่าฉันตะกละ จ๊อกกก~ ฮือออ ยิ่งได้กลิ่นท้องมันก็ยิ่งร้องน่ะ ไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่นา เพราะหลังจากกลับมาถึงคอนโดพร้อมกันกับไม้โท เขาก็เดินหายเข้าไปในห้องแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย ทิ้งฉันนั่งเป็นหมากระเป๋าเฝ้าโซฟาอยู่เนี่ย จ๊อกกก~ “ไม้โท” “ซื้อมากินคนเดียว” ไอ้งก! “ไม่ได้จะขอกินด้วยสักหน่อย” ฉันรีบบอก รู้สึกหน้าชามากตอนที่ตัดสินใจกระเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาเพื่อหันไปมองหน้าไม้โทแต่เขากลับรีบดึงกล่องของกินสีขาวๆ เข้าหาตัวพร้อมกับบอกว่าซื้อมากินคนเดียว “ขอก็ไม่ให้กิน” “รู้แล้วน่า ฉันแค่จะถามว่านายจะออกไปไหนอีกรึเปล่า” ฉันถามพลางถอนหายใจเมื่อไม้โทยังไม่หยุดยั่วโมโหฉันด้วยการทำท่าทางหวงแหนกล่องตรงหน้า มิหนำซ้ำยังคีบซูชิใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย กวนประสาท! “ว่าไง ตกลงว่านายจะออกไปไหนมั้ย” “ไม่รับฝาก” ปั๊ดโธ่โว้ย! ไม่ได้จะฝากซื้อ “รู้แล้วว่าไม่รับฝาก แต่นายช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อยจะได้มั้ย ฉันถามเพราะเห็นนายแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอกอีกรอบ แต่ถ้านายไม่ไป ฉันก็แค่จะขอยืมคีย์การ์ดหน่อยก็เท่านั้นเอง” ฉันรีบอธิบาย ถ้าดูจากการแต่งตัวของไม้โทแล้ว เขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดอยู่บ้านเลย ไม่รู้ว่าแค่แวะกลับมาเอาของหรือมาหาอะไรกินก่อนกลับออกไปรึเปล่า ไม่ก็อาจจะแค่แวะมาดูว่าฉันตายเป็นผีเฝ้าห้องเขาไปรึยัง ฉันนั่งมองผู้ชายที่สวมกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวดูธรรมดาๆ แต่เขากลับดูดีกว่าผู้ชายปกติที่สวมเพียงเสื้อยืดแบบที่ฉันเคยเห็น ไม้โทตัดผมสั้นดูเป็นผู้ชายสุภาพและรักสะอาด แต่กลับเจาะหูข้างซ้ายและใส่ต่างหูสีดำที่ฉันคิดว่ามันขัดกับบุคลิกผู้ดีๆ และใบหน้าหวานๆ ของเขาโดยสิ้นเชิง แต่พอมองโดยรวมแล้วก็ยากที่จะปฏิเสธว่าเขาดูดีมากทีเดียว ฉันยังจำได้ว่าวันแรกที่เจอกันที่โรงพยาบาลเขาเองก็แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ แบบนี้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากพี่ไม้เอกลิบลับ รายนั้นน่ะเนี้ยบตั้งแต่เส้นผมยันถุงเท้า ว่าไปแล้วนี่ถ้าไม้โทมีรอยสักอีกสักอย่างฉันคงคิดว่าเขาเป็นมาเฟียหน้าเด็ก ซึ่งก็ดีแล้วที่ไม่มี เนื้อตัวของเขาดูสะอาดสะอ้านมากแถมผิวยังขาวจัดเหมือนไม่เคยตากแดด และที่โดดเด่นมากในตอนนี้ก็คือนาฬิกาข้อมือหน้าปัดใหญ่ๆ ที่เขาสวมอยู่ที่ข้อมือด้านซ้าย เพราะมือข้างนั้น...กำลังคีบซูชิเข้าปากคำแล้วคำเล่า โว้ย! ยิ่งนั่งมองเขาฉันก็ยิ่งอยากจะกรีดร้อง เพราะนอกจากไม้โทจะไม่สนใจตอบคำถามของฉันแล้ว เขายังเอาแต่เคี้ยวซูชิตุ้ยๆ แล้วปล่อยให้เสียงของฉันหายไปในอากาศ ความเงียบของไม้โททำให้ฉันยิ่งหงุดหงิดจนรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองกำลังจะแตก “ไม้โท” เรียกอีกรอบก็ได้เผื่อเมื่อกี้นี้เขาไม่ได้ยิน “ไม่ให้” “แต่ฉันหิว” “กินคีย์การ์ด?” ไม้โทถามเสียงสูงพร้อมกับละสายตาจากซูชิในกล่องตรงหน้าขึ้นมามอง “คีย์การ์ดบ้านนายกินได้รึไงล่ะ ฉันจะลงไปซื้อของกินต่างหาก” “ก็ไปสิ” “แล้วฉันจะกลับเข้ามาได้ยังไงถ้าไม่มีคีย์การ์ด” ฉันรีบถาม แต่ไม้โทกลับหรี่ตามองฉันเหมือนจะไม่เข้าใจคำพูดของฉัน ทำไมเขาถึงเป็นคนเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ! “ก็ฉันอยู่ในห้อง กลับมาก็เรียกสิ อินเตอร์คอมหน้าห้องก็มี หรือว่าเธอคิดจะไปสักสามเดือน” แปลว่าเขาไม่ได้จะออกไปไหน แล้วแต่งตัวดูดีขนาดนั้นอยู่ห้องเพื่อ? อีกอย่างจะประชดฉันทำไมนักหนา “แล้วนายจะไม่นอนพักบ้างรึไง ถ้านายให้คีย์การ์ดฉันเดี๋ยวพอฉันกลับมาถึงฉันก็เปิดเข้ามาเองได้ นายกินเสร็จแล้วก็เข้าไปนอนพักสิ นายตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง ออกไปตอนตีห้า เพิ่งกลับมาไม่ง่วงเหรอ” ฉันถามรัวเป็นชุด รู้หรอกว่าฉันคงทำให้เขาไม่พอใจที่พูดมาก แต่ฉันเกรงใจเขานี่นา เผื่อว่าเขาจะกลับมาเหนื่อยๆ ถ้าฉันเปิดเข้ามาเองได้เขาจะได้ไม่ต้องมาคอยเปิดประตูให้ อีกอย่างถ้าเกิดว่าเขาหลับไปแล้ว แล้วฉันกดออดเรียก เดี๋ยวก็พาลมาด่าฉันอีก “ว่าไงล่ะ หิวแล้วนะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนเนี่ย น้ำก็ยังไม่ได้อาบ” ฉันเร่งเอาคำตอบเมื่อได้ยินเสียงไม้โทถอนหายใจเบาๆ แต่เขากลับก้มลงกินซูชิต่อเหมือนจะไม่สนใจฉันอีกเหมือนเคย “จะไปไหนก็ไป” “แล้ว...” “จะดูบอล ไม่ง่วง” คำตอบของไม้โทยังคงห้วนเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยมันก็แปลว่าฉันสามารถลงไปซื้ออะไรกินได้นั่นแหละ เมื่อได้ยินไม้โทบอกว่าเขาไม่ง่วง ฉันก็รีบกระเด้งตัวเองลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความสบายใจก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้เพื่อหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา แต่ทันทีที่เห็นกระเป๋าตังค์ฉันก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า...ฉันไม่มีตังค์ “อ่า...ไม้โท” “เยอะนะ” นั่นคือถ้อยคำกระแนะกระแหนของไม้โทที่ฉันคิดว่าฟังดูดีกว่าทุกครั้งแล้วนะ “แค่จะถามว่าข้างล่างมีตู้เอทีเอ็มมั้ย” “ไม่มี” คำตอบนี้ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ ฉันได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเซ็งๆ ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอย่างจนปัญญา ใครจะหน้าด้านขอยืมเงินเขากันล่ะ แค่นี้เขาก็ทำหน้าตารำคาญฉันมากพออยู่แล้ว ความเงียบภายในห้องทำให้ฉันอยากจะร้องไห้ นี่ฉันควรจะทำยังไงดี หรือว่าควรจะเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตู้เอทีเอ็ม พยายามค้นในกระเป๋าตังค์แล้ว ในกระเป๋าเป้ก็ค้นแล้วแต่กลับไม่มีเศษเหรียญหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว “แม่นะแม่!” นาทีนี้ถ้าไม่ให้ฉันโทษแม่แล้วจะให้ฉันโทษใคร ถ้าเมื่อวานไม่ถูกแม่ขโมยเงินไป อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ยังน่าจะพอมีเงินเหลืออยู่สักสามสี่ร้อย เพราะปกติถ้านับเฉพาะค่ากินฉันใช้เงินไม่ถึงวันละสองร้อยด้วยซ้ำ ปั้กๆ แรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่ข้อเท้าทำให้ฉันต้องละสายตาจากกระเป๋าตังค์ในมือเพื่อหันไปมอง แต่ถ้าจะพูดด้วย แค่เรียกชื่อฉันก็ขานแล้ว ไม่เห็นต้องเดินมาสะกิดกัน...ด้วยเท้า...แบบนี้เลย ปั้ก! “เหลือ” หลังจากที่ไม้โทใช้เท้าสะกิดจนฉันหันไปมองหน้าเขา เขาก็โยนกล่องซูชิสีขาวลงบนโต๊ะก่อนจะพูดห้วนๆ เหมือนไม่เต็มใจ ในกล่องที่ถูกโยนลงมานั้นมีซูชิเหลืออยู่ประมาณห้าหกคำ พูดจบ คนพูดก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเอื้อมมือไปหยิบรีโมตในตะกร้ามากดเปิดโทรทัศน์ ไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะโกรธเขาดีมั้ยที่เขาทำเหมือนฉันมาขอทานเขากิน แต่ก็พอจะดูออกว่าเขาไม่ได้กินเหลือจริงๆ หรอก แต่เขาตั้งใจกินให้เหลือต่างหาก ครืด แล้วฉันก็ตัดสินใจดันกล่องซูชิตรงหน้าออกไปให้ห่างเป็นการปฏิเสธ “นายกินเถอะ ฉันรู้ว่านายยังไม่อิ่ม” “บอกแล้วไงว่าเหลือ” เถียงกับเขาไปก็ไม่ได้อะไรหรอก แม้จะรู้ดีว่าเหลือของเขาคือตั้งใจเหลือเพราะคงรู้สึกสมเพชฉัน “กินแค่นี้ฉันไม่อิ่ม ไม่กินซะดีกว่า เอาเป็นว่าจะลองเดินไปหาตู้เอทีเอ็มเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ถ้าข้างล่างไม่มี แถวๆ นี้ก็น่าจะมีบ้าง เมื่อคืนเหมือนจะเห็นร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลตอนที่นายขับรถผ่านมา” “กิโลกว่า” ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ฮึ่ย! เมื่อคืนตอนนั่งอยู่ในรถมันไม่ได้ไกลมากนี่นา เขาหลอกฉันหรือว่ามันไกลขนาดนั้นจริงๆ กันนะ ฉันครุ่นคิดพลางแอบเบะปากใส่ไม้โทนิดหน่อยแล้วรีบเดินหลบฉากออกมา รู้หรอกน่าว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากจะให้ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นสักเท่าไหร่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม