EPISODE 04
Rrrr~
“สวัสดีค่ะป้าขวัญ” ฉันกดรับแล้วกระซิบกระซาบพูดสาย
[คุณหนูหวาน วันนี้คุณหนูหวานพอจะมีเวลาว่างมั้ยคะ ป้ามีเรื่องอยากจะรบกวนคุณหนูหวานสักหน่อยน่ะค่ะ]
“มีเรื่องอะไรเหรอคะป้า” ฉันรีบถาม น้ำเสียงของป้าขวัญฟังดูร้อนใจแต่ก็ยังจะเกรงใจฉัน
[คุณไม้เอกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่ยอมทานข้าวเลยค่ะ สงสัยป้าจะทำอาหารไม่ถูกปาก]
“เหรอคะ ถ้างั้นเดี๋ยวหวานจะรีบไปนะคะ”
[ถ้าคุณหนูหวานทำธุระอยู่ก็ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องรีบ คุณไม้เอกน่าจะเพิ่งหลับไปเมื่อสักครู่น่ะค่ะ คุณหนูหวานทำธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาก็ได้นะคะ]
“ไม่เป็นไรค่ะป้า เดี๋ยวหวานไปเลยดีกว่า เดี๋ยวเจอกันนะคะป้า” พูดจบฉันก็กดวางสาย ก่อนจะเดินย้อนกลับมายังโซฟาที่ไม้โทกำลังนั่งดูการแข่งขันฟุตบอลอยู่อีกรอบ เสียงฝีเท้าของฉันทำให้เขาต้องละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์หันกลับมามอง
“พี่ไม้เอกไม่สบาย” ฉันส่งข่าวเผื่อว่าเขาจะอยากรู้ แต่พูดจบแล้วไม้โทก็ยังเอาแต่มองหน้านิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ไม่พูดหรือถามอะไรต่อสักคำ
“นายจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
“จะกลับบ้าน?” ฉันให้เขาถามถึงพี่ไม้เอก ไม่ได้ให้ถามว่าฉันจะกลับบ้านรึเปล่าสักหน่อย
“อืม ป้าขวัญโทรมาบอกว่าพี่ไม้เอกไม่ยอมกินข้าวกินยา ไม่สบายทีไรเป็นแบบนี้ทุกที”
ได้โอกาสฉันก็เลยแอบบ่นพลางเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายบ่าอีกรอบ แต่ทันทีที่หันกลับมาเตรียมจะเดินไปที่ประตู ฉันกลับเซถอยกลับมาด้านหลังเมื่อสายกระเป๋าถูกไม้โทรั้งเอาไว้
“คิดจะหนี?”
หัวสมองหรือท่อระบายน้ำ กลวงชะมัด คิดได้ยังไงว่าฉันกำลังจะหนีเนี่ย!
“เปล่า ฉันจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน บอกแล้วไงว่ายังไม่ได้อาบน้ำ ปล่อยกระเป๋าฉันเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวมันขาด!”
“ห้องน้ำที่นี่ไม่มี?”
ฟุ่บ!
เอาเป็นว่าฉันไม่เอากระเป๋าไปก็ได้หรอก โธ่เอ๊ย คิดว่าถ้าฉันจะหนีไปอยู่ที่อื่นจริงๆ ไม่มีกระเป๋าแล้วฉันจะไปไม่ได้รึยังไง
“พอใจนายรึยัง” ฉันหันไปย้อนถามอย่างตั้งใจจะหาเรื่อง เพราะขนาดยอมสละกระเป๋าออกแล้วไม้โทก็ยังไม่วายมองฉันด้วยสายตาจ้องจับผิด
“ชอบพี่ไม้เอก?”
“ฮะ! นี่นายถามบ้าอะไรของนาย” ฉันถึงกับต้องถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบ มั่นใจนะว่าฟังไม่ผิด แต่ที่ต้องถามย้ำเพราะไม่คิดว่าไม้โทจะกล้าคิดแบบนั้นต่างหาก เขาคิดว่าฉันชอบพี่ไม้เอกเนี่ยนะ ประสาทเถอะ
“แค่ถามดู เห็นร้อนใจถึงขนาดต้องรีบไป”
“แล้วฉันควรใจเย็นเหมือนนายงั้นเหรอ” ฉันอดไม่ได้ที่จะยอกย้อน ทั้งที่การต่อปากต่อคำกับเขาหรือกับพี่ไม้เอกก็ดี ไม่เคยอยู่ในความคิดของฉันมาก่อนหน้านี้เลย
“ถ้านายไม่สนใจเรื่องที่พี่ไม้เอกไม่สบายฉันก็ไม่ได้ว่าหรอกนะ แต่อย่าคิดอะไรแบบนั้นอีก”
“ทำไม”
“เพราะฉันไม่ได้ชอบพี่ไม้เอก แต่ที่จะรีบไปเพราะฉันเป็นห่วงเขาในฐานะที่เขาเป็นลูกชายของคุณลุงเหมือนนายไงล่ะ” ฉันย้ำชัดๆ เผื่อไม้โทจะเข้าใจ ลองถ้าพวกเขาไม่ใช่ลูกชายของคุณลุงที่มีพระคุณกับฉันสิ ฉันจะเถียงฉอดๆ ให้ดู ไม่มีทางยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหงฉันแบบนี้เด็ดขาด
“คิดว่าไปแล้วช่วยได้?” ไม้โทย้อนถามกลับมาบ้าง สายตาที่เขามองมายังคงนิ่งเหมือนเดิมทั้งที่คำถามของเขาเริ่มทำให้ฉันฉุกคิด
“หรือคิดว่าเขาอยากเห็นหน้าเธอ?”
“นายตั้งใจจะพูดอะไรกับฉันกันแน่ไม้โท”
“ก็พูดอย่างที่กำลังพูด คิดเหรอว่าพี่ไม้เอกจะดีใจที่เห็นว่าเธอรีบไปหาเขาทันทีที่รู้ว่าเขาไม่สบาย” ไม้โทย้ำอีกครั้งด้วยโทนเสียงปกติเหมือนเดิม แต่ยิ่งเขาพูด ก็ยิ่งทำให้ฉันคิดได้มากขึ้นว่าทุกอย่างอาจเป็นแบบที่เขาพูดจริงๆ
พี่ไม้เอกไม่ได้อยากจะเห็นหน้าฉันหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะไล่ฉันมาอยู่กับไม้โทแต่แรกทำไม พวกเขาก็เหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ ต่างกันตรงที่พี่ไม้เอกมีอำนาจในการตัดสินใจไล่ฉันมากกว่าไม้โทที่ต้องเชื่อฟังเขาในฐานะที่เป็นน้อง
“รู้น่า ทั้งนายและพี่ไม้เอกก็คงคิดเหมือนๆ กันนั่นแหละ แต่ที่ฉันรีบไม่ใช่เพราะคิดว่าพี่ไม้เอกจะดีใจ ฉันไปเพราะหน้าที่ เหมือนที่ฉันถูกไล่มาอยู่กับนายนี่ไง” ฉันบอกฉุนๆ ก่อนจะรีบก้าวออกมาโดยไม่คิดจะใส่ใจคำพูดของไม้โทอีก พวกเขาก็ดีแต่พูดทำร้ายน้ำใจฉันนั่นแหละ มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่รู้ทำไมฉันถึงไม่ชินสักที
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่เคยเปิดใจยอมรับฉันเลยสักครั้ง ซึ่งอย่าว่าแต่เรื่องยอมรับเลย แค่พูดกับฉันดีๆ สักคำ...ก็ยังไม่เคย หลังจากก้าวเท้าออกมาจากห้องไม้โทได้สำเร็จ ฉันก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกเหนื่อยและเหมือนเพิ่งพาตัวเองเดินออกมาจากฝันร้ายเลย
แล้วนี่ฉันจะไปยังไงล่ะเนี่ย เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรียกแท็กซี่ก็แล้วกัน แล้วให้แท็กซี่จอดกดเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มแถวๆ บ้าน ได้เงินมาจ่ายค่าแท็กซี่แล้วค่อยว่ากัน
Rrrr~
ช่วงนี้ขายดีจังแฮะ ลงลิฟต์ยังไม่ทันจะถึงชั้นล่างโทรศัพท์อีกสายก็โทรเข้ามาติดๆ
“สวัสดีค่ะลุงมนัส แม่ก่อเรื่องอีกแล้วเหรอคะลุง” ฉันรีบถามตั้งแต่กดรับสาย เพราะลุงมนัสเป็นเพื่อนบ้านของแม่ฉันเอง เวลาที่แม่ก่อเรื่องหรือมีปัญหาอะไร ลุงมักจะโทรมารายงานฉันเสมอ เพราะฉันรบกวนแกเอาไว้ขอให้ช่วยสอดส่องดูแลแม่ให้
[ลุงรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากบ้านของหนูนะหนูหวาน]
คนทะเลาะกันงั้นเหรอ แม่ของฉันจะทะเลาะกับใครได้ล่ะในเมื่อแม่อยู่บ้านคนเดียว
“นี่แม่เมาแต่เช้าเลยเหรอคะลุง”
[วันไหนไม่เมาสิแปลก ยังไงถ้าวันนี้หนูหวานว่างก็แวะมาดูแม่หนูหน่อยก็แล้วกัน เอะอะโวยวายเสียงดังเดี๋ยวบ้านอื่นเขาจะรำคาญเอา นี่ลุงเองก็เห็นแก่หนูหรอกนะถึงได้ใจเย็นอยู่แบบนี้ได้] คุณลุงมนัสตำหนิมาตามสาย ซึ่งฉันเองก็เกรงใจแกเหมือนกันแต่ไม่รู้จะทำยังไง
“ขอบคุณมากนะคะลุง เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะแวะไปก็แล้วกันค่ะ แต่วันนี้คงยังแวะไปไม่ได้ อีกอย่างแม่คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ไม่ได้ทะเลาะกับใครหรอกนอกจากตัวเอง”
[อืม บุญรักษานะหนู]
“ขอบคุณค่ะ อุ๊ย”
เงยหน้ามาจากโทรศัพท์ที่เพิ่งจะกดวางสายได้ฉันก็เป็นอันต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อไม่คิดว่าคนที่ฉันเพิ่งจะหลบหน้าเขามาจะโผล่ออกมาจากลิฟต์ตัวข้างๆ
“ข้างตึกเทา” ไม้โทพูดกับฉันโดยที่เขายังไม่หยุดเดิน เขาไม่ได้หันกลับมามองหรือแสดงออกให้ชัดเจนว่าเขาต้องการจะสื่อสารกับฉันด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาไม่ได้พูดกับฉันเขาจะพูดกับใครในเมื่อตรงนี้มีแค่เรา
หมายความว่าเขาจะให้ฉันไปรอที่ตึกเทาอะไรนั่นน่ะเหรอ ถ้าอย่างนั้นไอ้ตึกเทาบ้านั่นมันอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วมีอะไรทำไมไม่พูดกันให้รู้เรื่องก่อน ฉันเหนื่อยนะที่ต้องมานั่งตีความหมายประโยคที่โคตรประหยัดคำพูดของเขาเนี่ย
หลายนาทีที่ฉันเสียเวลายืนหัวเสียอยู่หน้าลิฟต์ ตั้งสติได้ก็ต้องรีบก้าวเท้าตามไม้โทออกมา ซึ่งทันทีที่มายืนอยู่หน้าคอนโด ฉันถึงได้มองเห็นตึกสีเทาที่น่าจะเป็นตึกเทาที่ไม้โทบอกเมื่อครู่ ว่าแต่เขาให้ฉันไปที่นั่นทำไมกัน
บรื้นนน~
เสียงปอร์เช่เคย์แมนสีดำถูกเร่งเครื่องยนต์ขับผ่านหน้าฉันไปเร็วๆ เร่งให้ฉันต้องก้าวเท้าตาม นี่เขาเอาอะไรคิดว่าฉันจะวิ่งตามรถของเขาทันวะเนี่ย เกิดเป็นฉันนี่ชีวิตต้องรันทดเบอร์ไหน
แฮ่กๆๆๆ
เสียงหอบหายใจถี่ของฉันดังขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ตึกเทาบ้าบออะไรสักอย่าง ซึ่งหลังจากที่พาตัวเองมาถึงสถานที่นัดหมาย ฉันก็พยายามมองหาคนนัดแล้วแต่ไม่รู้ว่าเขาหายหัวไปไหน
บรื้นนน~
เสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังกวาดสายตามองหารถของไม้โท ซึ่งเขาก็เร่งเครื่องให้สัญญาณเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังมองหาเขาอยู่นั่นแหละ
ไม้โทจอดรถอยู่ระหว่างซอกตึก เห็นแค่นั้นฉันก็พอจะเดาได้ว่าทำไมเขาถึงได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ สาเหตุก็เพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันนั่งรถออกมาจากคอนโดน่ะสิ นี่ถ้ามีตำรวจสายตรวจผ่านมาแถวนี้คงคิดว่าฉันแอบมาส่งของผิดกฎหมายแหงๆ
“ช้า”
“โห! ใครจะไปรู้ล่ะว่านายกำลังคิดจะทำอะไร ทีหลังพูดให้มันรู้เรื่องก่อนไม่ได้เหรอ” ฉันโวยวายเมื่อถูกไม้โททำเสียงดุใส่หาว่าฉันช้า เดินมาเหนื่อยๆ ยังไม่เหนื่อยเท่าต้องมานั่งเดาความคิดของเขาเลย
หลังจากที่ฉันพูดจบไม้โทก็เงียบลงแล้วเหยียบคันเร่งตรงไปทะลุที่อีกซอยที่เชื่อมถึงกัน ท่าทางเหมือนจะใช้เส้นทางนี้จนคล่องแล้วเขาถึงได้ขับซะเร็วทั้งที่มันเป็นแค่ซอยแคบๆ
“นายจะไปส่งฉันที่บ้านเหรอ”
“เปล่า”
“อ้าว ถ้างั้นนายให้ฉันขึ้นรถมาด้วยทำไม” ฉันรีบถาม เมื่อกี้นี้ก็มัวแต่เหนื่อยแล้วก็หงุดหงิดจนลืมถามไปเลยว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงให้ฉันขึ้นรถมาด้วย
“พี่ไม้เอกโทรมาตาม”
“ตามนาย”
“เธอ”
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเขาจะไปส่งฉันที่บ้านจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้เต็มใจไปส่งเอง แต่ไปเพราะพี่ไม้เอกบังคับ
“งี่เง่าชะมัด!” ไม้โทรำพึงรำพันด้วยความหงุดหงิด พูดจบเขาก็ปล่อยมือข้างขวาออกจากพวงมาลัยรถ ชันศอกไว้กับขอบประตูรถแล้วเอียงหัวลงไปซบฝ่ามือของตัวเองเหมือนจะเหนื่อยๆ
“นายว่าพี่ไม้เอกเรียกเราสองคนไปทำไม”
“ฉันไม่เกี่ยว”
“อ้าว ทำไมเอาตัวรอดคนเดียวอ่ะ”
“นั่งเงียบๆ รำคาญ พ่อกลับมาแล้วรีบๆ ไปซื้อรถมาขับเองเลยนะ” ไม้โทหันมาพาลใส่ฉันซะเฉยๆ เล่นเอาฉันทำหน้าเหวอใส่เพราะตั้งหลักไม่ทัน ไม่คิดว่าเขาจะพาลไปถึงเรื่องนั้นได้
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากใช้เงินคุณลุงให้นายกับพี่ไม้เอกเกลียดฉันมากกว่าเดิม”
“ทำเหมือนไม่ซื้อแล้วจะเกลียดน้อยลง”
อยากหาอะไรยัดปากเขาจริงๆ ให้ตายสิ
ฉันถอนหายใจแรงๆ ใส่ไม้โท ก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเขา อย่างที่บอกว่าฉันไม่อยากมีปัญหาเพราะฉะนั้นถ้าเลี่ยงได้ฉันยอมเลี่ยงดีกว่า ขืนฉันมีปัญหากับเขาขึ้นมาจริงๆ คุณลุงต้องหนักใจแน่ๆ
ไม่นานไม้โทก็พาฉันกลับมาถึงบ้าน มันช่างเป็นการเดินทางที่โคตรจะอึดอัดเพราะนอกจากเสียงลมหายใจของตัวเองแล้วฉันยังได้ยินเสียงไม้โทหาวตลอดทาง อยากจะหันไปถามเหมือนกันว่าไหนบอกไม่ง่วง!
ฉันรีบเปิดประตูแล้วก้าวเท้าลงจากรถ จากนั้นก็เดินเข้าบ้านโดยไม่คิดจะหันกลับไปขอบคุณไม้โทสักคำเพราะเขาพูดเองว่าพี่ไม้เอกสั่งให้เขามาส่งฉัน เพราะฉะนั้นคำขอบคุณคงไม่จำเป็นในเมื่อเขาไม่ได้ทำเพราะมีน้ำใจ
“สวัสดีค่ะป้าขวัญ”
“คุณหวานมาพอดีเลย ป้ากำลังจะยกข้าวต้มไปให้คุณไม้เอกพอดีเลยค่ะ”
นั่นแปลว่าต้องกลายเป็นหน้าที่ฉันสินะ
“นี่” เสียงไม้โทดังมาจากประตูหน้าบ้าน เชื่อแล้วว่าเขาไม่อยากพูดกับฉัน เพราะขนาดแค่ชื่อ เขาก็ยังไม่เรียกเลย
ฉันรับถาดข้าวต้มมาจากมือของป้าขวัญอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะหันกลับไปมองไม้โทที่กำลังเดินสวนกับป้าขวัญเข้ามาด้วยสายตาเบื่อๆ
“มีอะไร”
“ถ้าพี่ไม้เอกถาม”
“รู้ นายจะกลับไปนอนก็ไปเถอะ เดี๋ยวกลับเอง”
“เหตุผลเดียวกับที่ฉันมาส่งเธอนั่นแหละ” ไม้โทบอกสั้นๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องโถง ซึ่งเหตุผลที่เขายังไม่กลับก็เพราะเขาต้องรอรับฉันกลับด้วย มันคงเป็นคำสั่งของพี่ไม้เอกเหมือนกับเขาพูดเองว่าเหตุผลเดียวกับที่เขามาส่งฉันยังไงล่ะ
บ้าบอกันทั้งบ้านเลยจริงๆ!
ฉันเดินถือถาดข้าวต้มขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน ห้องพี่ไม้เอกอยู่ปีกซ้าย ซึ่งถึงจะมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องสักพักแล้วฉันก็ยังลังเลที่จะเคาะประตู เพราไม่รู้ว่าเขาจะยังหลับอยู่รึเปล่า แต่ขืนชักช้า คนที่รออยู่ข้างล่างก็คงพร้อมจะขย้ำฉันเหมือนกัน
ก๊อกๆๆ
เอาเป็นว่าจะช้าหรือเร็ว ฉันก็ต้องโดนอยู่ดี อยู่ที่ว่าจะเป็นใครเท่านั้นเอง
“หวานเองค่ะ” ฉันตะโกนบอกก่อนจะยืนรออยู่หน้าห้องสักพักเพื่อรอคำอนุญาต แต่ผ่านไปหลายนาทีคนในห้องก็ยังคงเงียบจนฉันต้องเคาะประตูซ้ำๆ สุดท้ายแล้วเมื่อไม่มีสัญญาณใดๆ ฉันถึงได้กลั้นใจทำใจดีสู้เสือเปิดประตูเข้ามา
ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องของพี่ไม้เอกทำเอาฉันขนลุก เพราะรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ตั้งอุณหภูมิเอาไว้จนต่ำ ขนาดเจ้าของห้องยังต้องซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนวมหนาๆ เลย
แกร๊ก!
ฉันวางถาดข้าวต้มลงบนโต๊ะหัวเตียงอย่างเบามือเพราะกลัวว่าเสียงของมันจะทำให้คนหลับอยู่สะดุ้งตื่น ก่อนจะเดินย้อนกลับมาปรับเพิ่มอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศขึ้นสักนิด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคงมีคนหนาวตายแน่ๆ
“พี่ไม้เอกคะ” ฉันค่อยๆ เรียกพี่ไม้เอกที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเบาๆ ลังเลอยู่นานว่าจะยื่นมือไปเขย่าตัวเขาเพื่อปลุกดีมั้ย แต่ในเมื่อเรียกอยู่หลายครั้งแล้วเขายังไม่ตื่น ฉันก็ต้องเขย่านั่นแหละ ป้าขวัญจัดยามาพร้อมกับถาดข้าวต้มด้วย เขาควรจะตื่นมากินข้าวกินยาได้แล้ว
“อุ๊ย พี่ไม้เอกคะ พี่ไม้เอก ทำไมพี่ตัวร้อนแบบนี้ล่ะคะ”
“หนาว” พี่ไม้เอกร้องบอกด้วยเสียงแหบพร่าและสั่นเครือ มิหนำซ้ำเขายังดึงมือฉันไปแนบกับแก้มของเขาเอาไว้อย่างแนบแน่นจนฉันเกือบจะล้มลงไปตอนที่ถูกดึง
“แม่”
คำเดียวสั้นๆ ถูกร้องเรียกออกมาจากริมฝีปากสีซีดของพี่ไม้เอก มันเหมือนเขากำลังฝันร้าย มือหนาที่จับมือของฉันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเหนียวเหนอะหนะไปทั้งฝ่ามือ
“พี่ไม้เอกคะ พี่ไม้เอก”
“แม่อย่าไป”
“พี่ไม้เอกคะ นี่หวานเองค่ะ” ฉันพยายามบอก
แม้จะคิดว่าบางทีพี่ไม้เอกอาจกำลังฝันถึงคุณป้าที่ฉันเคยเห็นแค่เพียงรูปถ่าย แต่การที่เขานอนกระสับกระส่ายแบบนี้มันแปลว่าในความฝันไม่น่าจะใช่เรื่องดีนัก ดังนั้นถึงจะเป็นการปลุกเขาจากความฝันที่เขากำลังอาจได้พบเจอคุณป้าที่เขาคงคิดถึงเธอมาก ฉันก็ต้องทำ
“พี่ไม้เอกค่ะ”
“เธอ!”
และเมื่อดวงตาคมปลาบคู่นั้นลืมขึ้นมาเห็นว่าเป็นฉัน มือข้างที่ถูกเขาจับเอาไว้แน่นก็ถูกปล่อยออกในทันที
ฉันรีบลุกถอยออกมาให้ห่างจากเตียง เม้มริมฝีปากแน่นเมื่อไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันควรปั้นหน้าหรือพูดอะไรก่อนเป็นอย่างแรก ได้แต่ยืนรอให้พี่ไม้เอกที่กำลังค่อยๆ ขยับตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเป็นฝ่ายเริ่มพูด ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะทำท่าทางเหมือนไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้ แต่ดูจากสีหน้าที่ซีดเผือดเพราะพิษไข้แล้ว ฉันก็อดจะรู้สึกเป็นห่วงเขาไม่ได้เลยจริงๆ
“ไปหาหมอมั้ยคะ เดี๋ยวหวานลงไปบอกป้าขวัญให้”
“ไม่ต้อง” พี่ไม้เอกบอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งฉันรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าเขาจะต้องปฏิเสธ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อเท่าที่เห็นตอนนี้สภาพของเขาดูไม่สู้ดีนัก แถมเมื่อกี้ตอนที่ถูกเขาจับมือแนบแก้มเอาไว้ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนในร่างกายของเขาที่กำลังพุ่งสูง
“ถ้างั้นพี่ก็ทานข้าวต้มสักหน่อยนะคะ จะได้รีบทานยา ป้าขวัญเตรียมยาไว้ให้พี่แล้วค่ะ”
“เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
คำถามที่เขาเอ่ยถามสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงตำหนิทำให้ฉันได้แต่ถอนหายใจ แต่พยายามแล้วที่จะไม่คิดมากเพราะรู้ตั้งแต่แรกว่าต้องโดน
“หวานเคาะประตูหลายครั้งแล้วค่ะ เรียกพี่ก็หลายครั้งแต่พี่ไม่ขานรับ หวานเป็นห่วงก็เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามาเอง ขอโทษค่ะ”
“โทมาด้วยรึเปล่า”
“อยู่ข้างล่างค่ะ พี่ไม้เอกจะให้หวานลงไปตามให้มั้ยคะ” ฉันถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ พูดจบก็เปิดฝาชามข้าวต้มออกแล้วหยิบช้อนใส่ลงไป
“เอาวางไว้ตรงนั้นเฉยๆ ไม่ต้องยุ่ง”
“พี่ตัวร้อนมากนะคะ ต้องกินข้าวแล้วรีบกินยา ทำไมอยู่ๆ ถึงไม่สบายได้คะ ตากฝนมารึเปล่า”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” พี่ไม้เอกยังคงพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง จะว่าชินก็ชินนั่นแหละ แต่จะว่าเริ่มรู้สึกไม่พอใจก็ใช่อีก ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงให้เขาเลิกมีอคติกับฉันสักที ทั้งพี่ทั้งน้องเลย
ฉันพยายามอดทนแล้ว พยายามจะคิดว่าสักวันพวกเขาอาจมองฉันเป็นคนในครอบครัวบ้าง แต่ก็ไม่เลย ไม่เคยมีวี่แววของความเป็นไปได้เลยสักครั้ง
“ไม้โทบอกว่าพี่ให้เขามาส่งหวาน พี่มีเรื่องอะไรจะพูดกับหวานงั้นเหรอคะ” ฉันตัดสินใจเข้าประเด็น เมื่อคิดว่าทู่ซี้พูดเรื่องอื่นไปก็คงไม่มีประโยชน์ ฉันควรรีบพูดกับเขาให้จบแล้วออกไปซะ เผื่อว่าถ้าฉันออกไปแล้ว มันจะทำให้เขายอมกินข้าวกินยาง่ายขึ้น
“บัตรเอทีเอ็ม”
“คะ?” ฉันถามย้ำเพราะรู้สึกเหมือนจะได้ยินไม่ชัด มันพอจะจับใจความได้นะแต่อยากมั่นใจว่าฟังไม่ผิดจริงๆ
“เอาบัตรเอทีเอ็มของเธอมาให้ฉัน”
“ทะ...ทำไมคะ”
“บอกแล้วไงว่าฉันจะไม่ยอมให้เธอเอาเงินพ่อฉันไปให้แม่ขี้เหล้าของเธอใช้เด็ดขาด”
ดูท่าว่าเขาคงไม่เลิกระแวงฉันเรื่องนี้ง่ายๆ สินะ
“แต่...”
“เอาวางไว้บนโต๊ะ ฉันสั่งไม้โทแล้วว่าต่อไปนี้ให้แบ่งเงินให้เธอใช้วันละสามร้อย” พี่ไม้เอกสั่งเสียงเรียบ พูดจบเขาก็นั่งมองหน้าฉันนิ่งๆ เหมือนรอให้ฉันทำตามคำสั่ง
“ค่ะ หวานคืนให้ก็ได้ เพราะพี่คงรู้ว่าหวานเองก็ไม่ได้อยากจะได้ตั้งแต่แรก” ฉันพูดออกไปพร้อมกับหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาจากกระเป๋าตังค์แล้ววางมันไว้บนโต๊ะ ใกล้กันกับถาดข้าวต้มนั่นแหละ
“ต่อไปนี้ฉันอนุญาตให้เธอไปที่นั่นได้แค่อาทิตย์ละสองครั้ง”
“ไม่ได้ค่ะ นั่นแม่หวาน หวานต้องไปดูแลแม่”
“จำไม่ได้เหรอว่าแม่ของเธอขายเธอให้พ่อฉันแล้ว” พี่ไม้เอกย้ำเสียงเข้ม ทุกคำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่ก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตาเอาไว้
“กลับไปได้แล้ว”
“พี่ไม้เอกคะ”
“ไป” น้ำเสียงเด็ดขาดของพี่ไม้เอกทำให้ฉันเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะลงมาอย่างยากเกินจะกลั้น โชคดีที่หันหลังให้เขาได้ทันก่อนที่มันจะร่วงลงมาต่อหน้าเขา
ทุกครั้งเวลาที่ฉันพูดกับพี่ไม้เอก ทุกคำพูดของเขาจะเปรียบเสมือนก้อนหินก้อนเล็กๆ ที่เขาค่อยๆ หย่อนมันลงมาบนหน้าอกของฉันทีละก้อนๆ และทับถมกันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มันกำลังทำให้ฉันเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยจะออก
ปัง!
ฉันปิดประตูห้องลงเสียงดังด้วยความลืมตัวและไม่ทันระวัง หรือจะให้บอกว่าโกรธจนไม่รู้จะทำยังไงก็ได้นั่นแหละ ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายนักนะ ถึงฉันจะรู้ว่าทั้งหมดที่เขาพูดมันคือเรื่องจริง แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดซ้ำๆ ทุกครั้งเลย เขาต้องเกลียดฉันขนาดไหนถึงได้เรียกฉันมาเพราะเรื่องแค่นี้ ทั้งที่ตัวเองไม่สบาย เขาทำเหมือนอยากจะฆ่าฉันให้ตายซ้ำๆ ด้วยคำว่าฉันถูกขายมาเพราะแม่ไม่ต้องการ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะคุณหวาน”
“ปะ...เปล่าค่ะป้า ไม่มีอะไร” ฉันรีบบอกพร้อมกับยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกอีกรอบเพราะไม่อยากให้ป้าขวัญรู้ เดี๋ยวแกจะพลอยไม่สบายใจไปด้วยเปล่าๆ
“หวานขอตัวกลับเลยนะคะ พี่ไม้เอกตื่นแล้ว หวานบอกแล้วว่าให้เขาทานข้าวแล้วทานยา สักพักป้าขึ้นไปยกถาดกลับลงมาได้เลยค่ะ”
“ค่ะคุณหวาน” ป้าขวัญรับคำพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ แต่ฉันทนสบตาป้าขวัญได้ไม่นานก็ต้องเดินเลี่ยงออกมาตามไม้โทที่นอนเหยียดขาพักสายตาอยู่ที่โซฟา
เขาไม่ได้หลับหรอก เพราะฉันยังไม่ทันจะเรียก เขาก็ลืมตาขึ้นมามองฉันแล้ว
“เสร็จแล้ว?”
“อืม กลับเถอะ”
“เดี๋ยว” ไม้โทเรียกฉันเอาไว้พร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง ฉันพยายามแล้วที่จะไม่หันกลับไปมองเขาเพราะรู้สึกไม่อยากมองหน้าใครทั้งนั้น
“พี่ไม้เอกสั่งอะไร”
“ไหนเขาบอกว่าบอกนายแล้วว่าต่อไปนี้ให้ฉันขอเงินนายใช้วันละสามร้อย” ฉันพูดไปตามความจริง ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองชะมัด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าแบบนี้มาก่อน
“บ้าฉิบ! เอาจริงเหรอวะเนี่ย”
“ฉันรู้ว่านายเองก็ไม่ได้ชอบใจนัก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหางานทำก็แล้วกัน”
“ฉันพูดสักคำรึยัง”
“นายพูดเองว่าอย่าเป็นภาระ จำไม่ได้รึไง”