บทที่2. คนที่เฝ้ามอง

1306 คำ
รถกระบะสีน้ำเงินเข้มมีสติ๊กเกอร์รูปดอกลีลาวดีและตัวหนังสือบอกชื่อ ‘สวนสายพิรุณ’ เข้ามาจอดที่บริเวณศูนย์แสดงสินค้าไบเทคบางนาซึ่งเป็นที่จัดงานพืชสวนแฟร์ในครั้งนี้ ปาณิศากระโดดลงมาจากรถด้วยท่าทางทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่ลายดอกไม้เล็กๆ ตรงอกเสื้อ กับกางเกงยีนพอดีตัว ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าเหนือท้ายทอยเผยลำคองามระหง “อย่ากระโดดซิครับคุณฝน”                       “ใครกระโดดจ๊ะพี่บ๊วย!”   ปาณิศาทำหน้าเฉไฉไม่รู้ไม่ชี้ “คุณฝนนี่ดื้อจริงๆ เลย...ดื้อพอๆ กับเจ้าข้าวปุ้นเลย”  “เอ๊ะ! พี่บ๊วย ทำไมเอาฝนไปเปรียบเทียบกับเจ้าข้าวปุ้นละคะ” “ก็มันจริงนี่ครับ” ชายหนุ่มร่างใหญ่ผิวเข้มเกรียมแดดหัวเราะเสียงดังจนคนบริเวณนั้นหันมามองที่หญิงสาวร่างเล็กเป็นตาเดียว ปาณิศาอายจนต้องเดินจ้ำเข้าที่บูธของตนเองแต่แอบฝากสายตาอาฆาตเอาไว้ ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าเธอไม่เคยโกรธใครจริงจังนักหรอก      เพราะตั้งแต่เขารู้จักเด็กหญิงตัวน้อยที่โตเป็นสาวในวันนี้ก็ไม่เคยเห็นเธอแก้แค้นเขาเลยสักครั้ง เป็นเขาต่างหากเล่า...ที่แอบเฝ้ามองเธอเสมอมา ใครๆ  ก็เรียกเขาว่า ‘ไอ้บ๊วย’  แม้แต่หลวงตาที่เลี้ยงเขามาก็ยังเรียกเขาอย่างนั้น  เขาไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร เขาถูกทิ้งไว้ที่หน้าวัด หลวงตาเลี้ยงเขามาเท่าที่วัดจนๆ วัดหนึ่งจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งได้ แต่เขามีรูปร่างใหญ่โตกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครต่อใครคิดว่าเขาจะเป็นพวกนักเลงหัวไม้แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนไม่สู้คนด้วยซ้ำ คนที่มาช่วยเขาในวันที่โดนพวกจิ๊กโก๋ปากซอยที่เมาทะเลาะวิวาทในงานวัดคืนคือ ‘ภาณุ’ เด็กหนุ่มร่างผอมบางที่เหมือนคนอมโรคแต่กลับต่อยตีได้เด็ดขาด ส่วนคนที่ช่วยทำแผลให้เขาก็คือมือเล็กๆ ของ ฝนพรำ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักคำว่า ‘เพื่อน’ เพราะความเรียนไม่เก่ง ใครต่อใครถึงเรียกเขาว่า ‘ไอ้บ๊วย’ ได้เต็มปากเต็มคำ กว่าจะจบป.6 ได้ก็ช้ากว่าคนอื่นถึง 2 ปี ไม่มีใครเชื่อด้วยซ้ำไปว่า เขากับฝนพรำอายุเท่ากัน อาจเพราะรูปร่างใหญ่ยักษ์ กับท่าทางซื่อๆ บื้อ ๆ ของเขาก็เป็นได้ แต่ถึงจะเรียนไม่เก่งแต่เรื่องพละกำลังของเขาไม่น้อยกว่าใครในหมู่บ้านเลย เพราะอย่างนี้เองเขาถึงได้มาทำงานที่สวนสายพิรุณ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเขาต้องรักษาสัญญาลูกผู้ชายกับภาณุก่อนที่ภาณุจะเดินทางเข้ากรุงเทพว่าจะดูแลปาณิศาให้ดีดุจเจ้าหญิง  นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงกว่าแล้ว   ปาณิศาเดินเข้ามาในบูธที่จัดตบแต่งอย่างน่ารัก ซุ้มศาลาหกเสาล้อมรอบด้วยต้นลีลาวดีหลากสีโปรยกลิ่นหอมกรุ่นให้ความรู้สึกสดชื่น    แถมใกล้กันมีน้ำตกจำลองขนาดเล็กเพิ่มความร่มรื่นคนงานที่เข้ามาช่วยเดินทางมาก่อนถึงแล้วหลายคนทักทายอย่างเป็นกันเอง ปาณิศาเดินไปชงโกโก้ร้อนๆ มานั่งในซุ้มศาลาหกเสา ความจริงจากนครปฐมเข้ากรุงเทพก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ เพราะใครต่อใครที่พูดถึง ‘รถติด’ ที่ทำให้เธอเองก็ขยาด ทำให้เธอและทีมงานต้องมาแต่เช้าตรูแม้ว่างานจะเริ่มจริงสิบโมงเช้าก็ตาม ปาณิศาเคยมาเปิดบูธแสดงพันธุ์ไม้กับภากรแต่เป็นจัดในจังหวัดของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเปิดบูธอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ ตามคำแนะนำและชักชวนของบรรดานักตบแต่งสวนที่มาซื้อลีลาวดี แม้ว่าภากรจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก            เพราะเขาไม่ชอบเข้าสังคม วันๆ คลุกอยู่กับการดูแลเพาะพันธุ์ หรือไปสืบเสาะหาสายพันธุ์ดีๆ มาเพาะปลูก แต่เธอกลับเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้กิจการของสวนสายพิรุณก้าวหน้าขึ้น ถ้าคิดแค่เธอกับพ่อรายได้ของที่บ้านตอนนี้ก็ทำให้อย่าอย่างไม่ขัดสน แต่ถ้านึกถึงอีกหลายชีวิตที่ยังต้องพึ่งพาสวนสายพิรุณ เธอไม่เคยมองว่าพวกเขาเป็นคนงาน แต่เธอมองว่าเป็นคนในครอบครัว ถ้าเธออยู่ได้ พวกเขาก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน  “คุณฝนหิวข้าวหรือยังครับ” “ยังเลยคะ ฝนดื่มโกโก้แล้ว พี่บ๊วยเอาสักถ้วยไหม ฝนจัดการให้” “โกโก้มันไม่อยู่ท้องนะครับ” หนุ่มร่างใหญ่ยิ้มกว้างพร้อมชูถุงข้าวเหนียวหมูปิ้ง “กว่าข้าวกล่องจะมากินไอ้นี่รองท้องดีกว่า” “ตามสบายเลยค่ะพี่บ๊วย งั้นขอฝนเดินเล่นแถวๆ นี้หน่อยนะค่ะ เดี๋ยวมา” “อย่าไปไกลนักนะครับ” “พี่บ๊วย! ฝนไม่ใช่เด็กเล็กๆนะค่ะ” หญิงสาวสะบัดหน้าหนีก่อนเดินจ้ำพรวดออกมาจากบูธ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนงานในบูธ มีแต่บ๊วยเท่านั้นที่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงงไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิดไป ปาณิศาเดินทักทายผู้คนที่ออกมารวมบูธ นอกจากจะเป็นแสดงต้นไม้ทั้งไม้ดอกไม้ประดับแล้วยังเป็นงานแสดงการจัดสวนในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจไม่น้อย แม้ว่าจะมีพื้นที่เล็กน้อยอย่างในคอนโดก็สามารถใช้ต้นไม้ตบแต่งในห้องน้ำเนรมิตให้ร่มรื่นได้  “ขอโทษนะคะ บูธเรายังไม่เปิดให้ชมค่ะ” “เอ่อ...เปล่าค่ะ  หนูมาเดินดูเฉยๆ” ‘วัลยา’ เดินออกมาแซวหญิงสาวรูปร่างบอกบางเหมือนก้านดอกไม้ ความจริงหล่อนรู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวไม่ใช่ลูกค้าเพราะมีป้ายสตาฟ์ห้อยคออยู่ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงถูกชะตากับเธอคนนี้จนต้องเดินออกมาทัก ปาณิศารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่ลูกค้า แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจมาก่อกวนเวลาทำงานของใคร หญิงวัยกลางคนอายุอานามคงประมาณพ่อภากรแต่แต่งตัวเหมือนพวกยิปซี ใบหน้านั่นมียิ้มกว้างไม่ได้ทีท่าทีจะโกรธเคืองอะไร              “ฉันแหย่เล่นนะจ๊ะ” วัลยาหัวเราะเสียงดังแล้วควักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ ไม่รู้เพราะการแต่งตัวแปลกประหลาดของวัลยาหรือว่าเธอมีเวทมนต์อะไรทำให้ปาณิศาเดินตามเข้าไปในบูธของเธอ             “ฉันชื่อวัลยา เป็นนักจัดสวนจ๊ะ นี่นามบัตรฉัน” สาวใหญ่ยืนนามบัตรให้             “หนูชื่อปาณิศาคะ เรียกฝนก็ได้ค่ะบ้านหนูเพาะต้นลีลาวดี”             “ว้าว!ชื่อเพราะจัง แถมเลี้ยงลั่นทมอีก อ้อ! ฉันชอบชื่อเก่ามากกว่าลีลาวดีนะจ๊ะ”             “พ่อหนูก็เคยพูดแบบคุณน้านี่แหละคะ”             “คุณน้า! ตายแล้วยัยหนู!!! เรียกพี่ก็พอมั้งจ๊ะ”             “เอ่อ...” ปาณิศาหน้าเหวอขึ้นมาทันที             “เด็กมันเรียกน้าก็ถูกแล้วนี่...จะให้เรียกป้าหรือไง”             “ยัยนี พี่บอกหลายครั้งแล้วใช่ไหม ถ้าจะอ้าพูดอะไรก็ให้มันน่าฟังหน่อย” วัลยาแสร้งทำเป็นงอนเดินเข้าไปในบูธของตัวเองท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของ ‘จงกลนี’ น้องสาวของตนเอง             “อย่าคิดมากเลยจ๊ะ พี่สาวฉันก็เป็นแบบนี้แหละ อ้อ! พี่ชื่อจงกลนี เป็นหุ้นส่วนของร้าน ‘ประดับใจ’ ปาณิศาแทบไม่อยากเชื่อว่าพี่น้องสองสาวที่ดูอายุจะห่างกันหลายปีจะนิสัยต่างขั้วขนาดนี้ เพราะจงกลนีดูเหมือนอายุประมาณ สามสิบต้นๆ แถมแต่งตัวเหมือนสาวออฟฟิศ 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม