บทที่1. ลืมตา

1997 คำ
กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นสมุนไพรชื่อ ‘อัปสร’ กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายผลไม้สุกชื่อ ‘เอกไพศาล’ กลิ่นหอมระเรื่อชื่อ ‘ชุมแสง’ แต่ที่กลิ่นหอมแรงถูกขนานนามว่า ‘เพลิงพิรุณ’             ‘ปาณิศา’ ลืมตาขึ้นก่อนระบายยิ้มจางๆ เธอก้าวเท้าตามกลิ่นหอมของต้นลีลาวดีที่มีหลากหลายสายพันธุ์ในสวนของพ่อภากรซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมที่ดูแลเธอมากว่าสิบปี ทุกๆ เช้าเธอจะเดินดมกลิ่นดอกไม้และเดาว่ากลิ่นที่สัมผัสได้คือต้นไหน พันธุ์อะไร บางครั้งเธอก็เดาถูก บางทีก็เดาผิด แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในบ้านสวนที่ปลูกลีลาวดีเป็นรายได้หลักของครอบครัว แต่เธอก็ยอมรับว่าเธอรู้จักพืชชนิดนี้น้อยมาก หมือนกับที่เธอเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวในอดีตของตัวเองมากนัก             หญิงสาวร่างบอบบางรวบผ้าถุงลายดอกที่สวมอยู่แล้วเดินกลับเข้ามาในบ้านไม้ที่ดูจะกลมกลืนกับบริเวณรอบบ้านที่เต็มไปด้วยต้นลีลาวดี บ้านหลังน้อยที่อาศัยเพียงแค่สองคนพ่อลูกแค่นี้มากมายพอแล้วในความคิดของปาณิศา ไม่ไกลนักมีโรงเรือนไว้เพาะพันธุ์ไม้โดยเฉพาะ ภากรมีคนงานค่อยช่วยดูแลต้นไม้แต่สวนใหญ่จะมีบ้านพักอยู่ในละแวกใกล้เคียง จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีที่พักสำหรับคนงาน แต่ปาณิศาเคยได้ยินบรรดาคนงานแอบแซวพ่ออยู่บ่อยๆ ว่า ‘เพราะพ่อห่วงลูกสาว’ ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้แม้กระทั่งคนงานก็ไล่กลับไปนอนบ้านหมด             ใครต่อใครรู้ดีว่า‘ภากร’ มีลูกชายคนเดียวคือ ‘ภาณุ’ ที่เวลานี้ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ สองพ่อลูกที่มีไม่ค่อยลงรอยกันนักทำให้ภาณุแทบไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ‘ปาณิศา’ หรือ ‘ฝน’ ที่ภากรรับมาเป็นลูกบุญธรรมนั้น นอกจากจะไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนแล้ว           ‘ปาณิศา’ คือลูกสาวคนเดียวใน ‘ตระกูลอิ่มเอมทรัพย์’  เมื่อสิบปีที่แล้วเคยเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ครอบครัวอิ่มเอมทรัพย์ล้มละลายหัวหน้าครอบครัวฆ่าภรรยาและลูกสาวอายุสิบขวบด้วยการผสมยาฆ่ายาใส่นมสดและฆ่าตัวตายตาม มันเป็นข่าวดังอยู่แค่ไม่กี่วันก็เงียบหาย  จึงไม่มีใครรู้ว่าลูกสาวคนเดียวของตระกูลอิ่มเอมทรัพย์ถูกช่วยชีวิตไว้ทันด้วยความช่วยเหลือของคนทำสวนที่อยู่รับใช้ในบ้านมานานหลายปี                     “พ่อหนูไปไหน แม่หนูไปไหน ฮือๆ”             “คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายไปสวรรค์แล้วครับคุณหนู”              “ฝนจะไปหาพ่อกับแม่ ฮือๆ ฝนจะไปหาพ่อกับแม่ ฮือๆ”             “คุณหนูไปไม่ได้...คุณหนูยังเด็กอยู่...”             “ฝนจะอยู่กับใคร...ฝนไม่มีใครแล้ว พ่อกับแม่ไม่รักฝนแล้ว...ฮือๆ”             “ลุงจะอยู่กับคุณหนู...ลุงจะเป็นพ่อเป็นแม่ให้คุณหนู” นับจากนั้นเป็นต้นมา มือเล็กที่เคยเกาะเกี่ยวเรียก ‘ลุงภากร’ ก็เปลี่ยนมาเรียก ‘พ่อภากร’ เกือบสิบปีแล้วที่เธอมาอาศัยอยู่ที่บ้าน เธอเติบโตจาก ‘เด็กหญิง ปาณิศา อิ่มเอมทรัพย์’ จนกลายเป็นหญิงสาว ‘ปาณิศานาดี’ ซึ่งเป็นนามสกุลของภากร     บ้านหลังใหญ่ถูกธนาคารเข้ายึดทรัพย์และขายทอดตลาดในเวลาต่อมา เธอกับภากรจึงกลับมาที่นครปฐมบ้านเดิมของภากร จากที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาตลอด ปาณิศาก็มีพี่ชายที่แก่กว่าแปดปีชื่อ ‘ภาณุ’      ภากรมีลูกชายก่อนที่จะไปทำงานที่บ้านพ่อแม่แท้จริงของปาณิศา  แต่เพราะแม่ของภาณุทิ้งลูกชายไว้และหนีไปแต่งงานใหม่ ทำให้ภากรกลายเป็นพ่อหม้ายลูกติดอย่างไม่ตั้งใจ ปาณิศาเผลอยิ้มน้อยๆ ออกมาเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ภากรแนะนำให้เธอรู้จักกับภาณุ ตอนนั้นภาณุเรียนช่างกลดูท่าทางน่ากลัวจนปาณิศาต้องไปแอบอยู่ด้านหลังภากร ภาณุทำหน้าเซ็งๆ เดินออกจากบ้านไปไม่ถามอะไรสักคำ แต่วันต่อมาภาณุจะมีช็อกโกแล็ตราคาถูกมาวางไว้ให้เธอ ในความเงียบขรึมกลับซ่อนความอ่อนโยนไว้อย่างไม่น่าเชื่อ ภาณุอยู่บ้านไม่นานก็ไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ นานๆ จะกลับบ้านสักที แต่ทุกครั้งที่กลับมาก็จะมีของฝากเธอเสมอ แม้กระทั้งตอนนี้ที่ภาณุทำงานที่บริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งเขาก็ยังส่งตุ๊กตาหรือช็อกโกแล็ตมาให้เสมอ “โฮ่ง  โฮ่ง!” “อย่าเสียงดังซิ ข้าวปุ้น เดี๋ยวพ่อภากรตื่นนะ” หญิงสาวดุเจ้าชิสุห์อายุสองขวบที่กระดิกหางไปมา เจ้าหมาน้อยนี่ก็อีก...ภาณุอุ้มลูกหมามาหาเธอในเช้าวันหนึ่งที่ฝนตกลงมาปรอยๆ เขาบอกว่ามันเป็นหมากำพร้าเจ้าของ...เดิมทีมันมีคู่รักเลี้ยงดูมัน แต่พอความรักจบกลับไม่มีใครยอมเลี้ยงเจ้าหมาน้อยตัวนี้ เขาจึงอาสาอุ้มมันมาให้เธอ คราวแรกที่เห็นหน้ากัน  ปาณิศายอมรับเลยว่า มันเป็นหมาที่มอมแมม ดูแป๊ปเดียวก็รู้ว่า...ไร้คนเหลียวแล เธอพยายามจะสางขนยุ่งๆ ของมันแต่ก็ไม่เป็นผล จนต้องกร่อนแล้วเลี้ยงขนยาวของมันใหม่        ‘เจ้าผ้าขี้ริ้ว’ ในวันนั้นกลายเป็น ‘คุณชายน้อย’ ในวันนี้ด้วยฝีมือการใส่ใจดูแลของเธอ ปาณิศาลงมือทำอาหารมื้อเช้าง่ายๆ เช่นทุกครั้งเธอทำได้เพียงเท่านี้     ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่ครั้งนั้นทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรที่ออกแรงมากได้เลย ขนาดว่า...เธอเรียนจบมัธยมปลายแล้วต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยทางไปรษณีย์ แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนเรียนดีเธอจึงเรียนจบได้ในเวลารวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ         ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริงเธอยังอยู่และเธอเป็นคุณหนูในตระกูลอิ่มเอมทรัพย์ เธอคงได้เรียนต่อจนจบในระดับดอกเตอร์แล้วก็ได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากเรียนจบมาแล้วไม่สามรถนำมาใช้งานอะไรได้เลย หญิงสาวหันมาสนใจอาหารมื้อเช้าของตนเอง เมื่อไข่เจียวหอมกรุ่นพร้อมเสิร์ฟกับผัดผักรวมมิตร ก็ได้เวลาที่ภากรตื่นและเดินลงมานั่งกินกาแฟที่ชั้นล่างเมื่อทุกครั้ง เจ้าหมาน้อยนามข้าวปุ้นกระดิกหางแล้ววิ่งเข้าใส่ทักทายเหมือนทุกครั้ง แต่เจ้าของต้องส่งเสียงดุเจ้าหมาน้อยจึงแกล้งหงอยนอนหมอบใต้โต๊ะกินข้าว “จะไปดุมันทำไม...ดุไปมันก็ไม่จำหรอก”                “ก็...มันเสียมารยาทนี่คะ เรากำลังจะกินข้าวมันมานั่งจ้องหน้าเราแบบนี้จะถูกเหรอค่ะแล้วพ่อก็เลิกให้ท้ายมันเสียทีเถอะค่ะ มันจะเสียหมาเปล่าๆ” “เอ้า! แล้วมาเกี่ยวอะไรกับพ่อด้วยเหล่านี่...”            ภากรพูดพลางหัวเราะ ตั้งแต่มีเจ้าหมาน้อยเข้ามาในบ้านรู้สึกว่าเสียงหัวเราะจะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย คนเป็นลูกค้อนเข้าให้ ข้าวปุ้นเงยหน้าเหมือนจะยิ้มเยาะเย้ย หญิงสาวเผลอแลบลิ้นใส่ แต่เมื่อนึกได้ก็แกล้งทำเป็นเทอาหารเม็ดใส่ถ้วยแล้วยื่นให้มันได้กลิ่น      ข้าวปุ้นรีบลุกขึ้นยืนสองขาของอาหารทันที “ทีแบบนี้ทำมาเป็นง้อเรานะ เจ้าข้าวปุ้น” “มีหมาง้อก็ยังดีกว่าไม่มีใครง้อน๊า...” “พ่อคะ! พ่อจะเข้าข้างใครกันแน่”  “เอาละๆ ช่างเถอะ” ภากรโบกไม้โบกมือห้ามศึก “ตกลงพรุ่งนี้ลูกจะไปออกบูธงานแสดงต้นไม้แน่นะ” “ไปคะ เราเตรียมตัวมาตั้งเป็นเดือน...ยังไงฝนก็จะต้องไปให้ได้” แววตามุ่งมั่นของปาณิศาทำให้ภากรได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “นี่ถ้าขาพ่อไม่เจ็บ  พ่อจะไม่ให้ลูกต้องไปลำบากเลย”             ภากรหมายถึงขาข้างขวาที่เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุหกล้มเมื่อสองวันก่อนจนกระดูกข้อเท้าเคลื่อนทำให้เดินเหินไม่สะดวก “ลำบากอะไรคะ พ่อน่ะ...ลำบากเพราะฝนมาเยอะแล้ว ให้ฝนทำอะไรเพื่อพ่อบ้างเถอะค่ะ” หญิงสาวเข้ามากอดเอวประจบผู้เป็นพ่อแม้จะเป็นพ่อบุญธรรมก็ตาม “งานนี้เราลงทุนไปเยอะ ยังไงจะมาล้มเลิกกลางทางแบบนี้ไม่ได้ หรอกค่ะ” เธอหมายถึงงานออกบูธแสดงต้นไม้ในวันพรุ่งนี้ เมื่อวานกับวันนี้ คนงานในสวนไปจัดการตบแต่งบูธเรียบร้อย งานนี้จะเท่ากับเป็นการเป็นตัวสวน ‘สายพิรุณ’ ของภากรอย่างเป็นทางการเสียที สวนสายพิรุณเน้นไม้ประดับอย่างลีลาวดีเป็นหลักแต่ละต้นแต่ละสายพันธุ์มีความงามอย่าน่าตื่นตาตื่นใจ “ไหวแน่เหรอ...พรุ่งนี้ให้ไอ้บ๊วยไปช่วยด้วยซิ” “พี่บ๊วยต้องไปช่วยฝนอยู่แล้วค่ะ” ปาณิศายิ้มกว้าง พอคิดว่าพรุ่งนี้จะได้เดินทางเข้ากรุงเทพ เธอก็อดคิดถึงพี่ชายอีกคนไม่ได้ “ฝนว่าจะโทรหาพี่ณุด้วย” ภากรนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงภาณุ ลูกชายคนเดียวที่เวลานี้ไปทำงานในกรุงเทพฯ ถ้าภาณุอยู่ที่นี่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของสวนสายพิรุณก็คงดีไม่น้อยไม่รู้มันจะดื้อดึงอยู่กรุงเทพฯ ไปทำไมกัน หรือมันเกลียดกลิ่นดินกลิ่นโคลนบ้านนอกอย่างนี้ก็ไม่รู้ คิดแล้วก็ได้แต่น้อยใจ  ดูซิ...ดูคนที่ไม่ใช่ลูกแถมเกิดมาในตระกูลผู้ดีเก่าแต่กลับร่าเริงอยู่ในสวนในไร่กับเขาได้มากว่าสิบปี  จะว่าไป...ถึงแม้ร่างกายของฝนพรำจะอ่อนแอแต่จิตใจเธอเข้มแข็งกว่าที่ใครจะคาดคิด เด็กหญิงตัวน้อยกลับกล้าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ครั้งแรกที่เขาพา ‘คุณหนู’ กลับมาบ้านสวนนั้น เขายอมรับว่ามืดแปดด้านไม่รู้จะหยิบจับทำอะไรดี แถมยังมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูทั้งลูกตัวเองและลูกเจ้านายเก่าที่เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณสำหรับเขาอย่างยิ่ง แต่เขาก็พยายามที่จะประกอบอาชีพที่ตนเองถนัด กลับไปรับจ้างตบแต่งสวนตามบ้านคนรวยมีสตางค์ แต่คนที่ทำให้เขาคิดเพาะต้นลีลาวดีขายก็เป็นความคิดของเดกหญิงอายุสิบกว่าขวบคนนี้แหละ “พ่อภากรชอบต้นไม้หรือจ๊ะ” “จ๊ะ...ลุง เอ๊ย! พ่อชอบต้นไม้” “แล้วทำไมพ่อไม่ปลูกต้นไม้ที่บ้านละจ๊ะ พ่อปลูกต้นไม้เก่งนี่จ๊ะ พอเราปลูกเยอะๆ ฝนก็จะเอาดอกไม้สวยๆ ของพ่อไปขายที่ตลาดไงจ๊ะ” ตอนนั้นปาณิศาเพิ่งอายุสิบสองขวบเท่านั้นแต่มันก็ทำให้เขาได้ฉุกคิด เขายังโชคดีเพราะมีที่มีทางของตัวเองอยู่หลายไร่ที่ไม่ได้ทำประโยชน์อย่างจริงจัง เขาปรึกษาเกษตรประจำจังหวัดและลองผิดลองถูกอยู่หลายปีกว่าจะเข้าที่เข้าทางจนกลายเป็นสวนดอกลีลาวดีที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม  แถวนี้แทบไม่มีมีใครไม่รู้จัก ‘สวนสายพิรุณ’ ของคุณ ‘ภากร นาดี’ “แต่พรุ่งนี้ฝนไม่อยู่พ่อไม่ลำบากแน่นะค่ะ” ภากรตื่นจากภวังค์ “พ่อดูแลตัวเองได้ แค่ขาเจ็บนิดหน่อยเอง”   “ก็ดีค่ะ...ฮืม งั้นข้าวปุ้นอยู่บ้านดูแลคุณพ่อแทนฝนนะ...ถ้าข้าวปุ้นเป็นเด็กดีจะซื้อขนมอร่อยๆ จากกรุงเทพฯ มาฝาก” เจ้าหมาน้อยทำตาละห้อยเสยดายที่ไม่ได้ไปเที่ยวในเมืองเลยอดได้หลีน้องหมาสาวๆ แต่พอคิดว่าจะได้กินขนมอร่อยก็เข้ามาประจบประแจงจนปาณิศาอดเอานี้ชี้จิ้มหน้าผากของมันไม่ได้ “เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่จริงๆ เลยนะเจ้าข้าวปุ้น”.  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม