“แต่จามีข้อตกลง” ฉันกอดอก ยืนห่างจากเขาสองเมตร ผู้ชายคนนี้อันตราย ถ้าต้องอยู่ร่วมกันก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเองไว้ก่อน
“ข้อตกลงอะไร” ใบหน้าหล่อแสนร้ายเชิดขึ้นนิด ๆ ดวงตาคมปรายขึ้นมอง เขาปัดปอยผมสีเทาไปด้านหลัง ท่วงท่าดูดีอย่างไม่น่าให้อภัย นี่คิดจะอ่อยฉันอีกแล้วเหรอ!
“ขะ ข้อตกลงการอยู่ร่วมกันของเรา” ฉันดึงสายตาและสติตัวเองกลับมา พยายามไม่จ้องมองเก้าทัพอีก เขาเหมือนปีศาจจิ้งจอกที่มักจะแผ่เสน่ห์ออกมาพร่ำเพรื่อ หากหลงจ้องมองเพียงครู่ก็อาจตกอยู่ในมนต์สะกดแสนร้ายนั่นได้เลย
หนักใจ… หนักใจชะมัดเลย!
.
.
.
กฎการอยู่ร่วมกัน
1. ห้องนอนเป็นพื้นที่เซฟโซน ห้ามเข้าเด็ดขาด
2. ห้ามก้าวก่ายหรือยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเด็ดขาด
3. ห้ามพาคนนอกเข้ามาในคอนโดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายเด็ดขาด
4. ห้ามทำอนาจารในคอนโดเด็ดขาด
.
.
.
“เดี๋ยวนะ ข้อ 4 นี่มันอะไร?”
ฉันสะดุ้งตกใจ รีบถอยหลังออกห่างจากแผ่นกระดาษที่เพิ่งแปะลงบนประตูตู้เย็น ร่างสูงเดินมาซ้อนด้านหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดูเหมือนเขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เพราะว่าเขา…
“พี่เก้า!” ฉันหมุนตัวหันหลัง สองมือยกขึ้นปิดหน้าด้วยความอายปนโมโห เก้าทัพบ้าไปแล้วหรือไง ทำไมเขาถึงสวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาแบบนี้ล่ะ แถมเสื้อคลุมนั่นก็จงใจแหวกซะจนเห็นแผงอกขาว ๆ ลามมาจนถึงกล้ามหน้าท้องเลยด้วย โอ๊ย… หน้าฉันร้อนไปหมดแล้ว!
“เป็นอะไร เรียกซะดังเชียว”
“พี่นั่นแหละเป็นอะไร! ทำไมแต่งตัวแบบนี้! พี่กำลังทำผิดกฎข้อ 4 นะ!” ฉันโวยวายทั้งที่ยังปิดตาหันหลังให้เขา รู้สึกได้ถึงร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ไอร้อนกรุ่น ๆ จากลมหายใจเป่ารดต้นคอฉันจนต้องย่นคอหนี
“ก็ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ไม่ให้ฉันสวมเสื้อคลุม จะให้ฉันพันผ้าขนหนูผืนเดียวหรือไง”
ก็จริง… แต่คือ… เขาอาบน้ำเสร็จแล้วทำไมไม่ไปแต่งตัวดี ๆ ก่อนล่ะ! จะมาเดินโทง ๆ ไปมาในห้องแบบนี้ไม่ได้!
“พี่ก็ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสิ นู้น! ห้องพี่อยู่ทางนู้นไง” ฉันชี้นิ้วเป๋ ๆ ไปทางห้องนอนอีกฝั่ง ไม่รู้หรอกว่าเก้าทัพเดินไปหรือยัง ฉันยืนรอจนแน่ใจว่าภายในห้องรับแขกเงียบสงบจริง ๆ แล้วจึงค่อยเปิดตาออก เหลียวมองไปด้านหลังพบความว่างเปล่า ก่อนถอนหายใจออกมา
ให้ตายเถอะ อยู่ร่วมกันยังไม่พ้นวันอกฉันก็จะแตกตายแล้ว นี่ฉันต้องทนอยู่แบบนี้ไปอีกหนึ่งเดือนเลยเหรอเนี่ย
.
.
.
คณะนิเทศศาสตร์
“หืม จาว่าไงนะ? อยู่ร่วมห้องกับพี่เก้างั้นเหรอ?!”
“ชู่ว์! อย่าตะโกนสิมี่ จายิ่งเครียด ๆ อยู่นะ” เพราะฉันอึดอัดใจมาก ก็เลยเล่าเรื่องเก้าทัพให้มีมี่ฟัง ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ใต้ตึกคณะนิเทศฯ ระหว่างรอเข้าเรียนวิชาถัดไป วายุกับมิลินเรียนคนละวิชากับฉันและมีมี่ ทั้งคู่จึงไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ หมายความว่ายังไงอ่ะ ก็ไหนว่าพี่เก้าเลิกตามติดจาแล้วไง แล้วไหงย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ?”
“เฮ้อ… เรื่องมันยาวน่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้จาต้องจำใจอยู่ร่วมกับเขาไปก่อน จนกว่าพ่อแม่จาจะกลับจากญี่ปุ่น” ฉันถอนใจ ก้มดูดชานมไข่มุกอย่างเซ็ง ๆ
“แล้วพ่อแม่จาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“อีกหนึ่งเดือน”
“โห… งั้นจาก็ต้องอยู่กับพี่เก้าหนึ่งเดือนเลยน่ะสิ”
ฉันเบะปาก ทำหน้าจะร้องไห้ พยักหน้าเบา ๆ
“โอ๊ะ! นั่นพี่ไวน์นี่นา” เสียงตื่นเต้นของมีมี่เรียกสายตาฉันหันมอง หน้าทางเข้าคณะปรากฏร่างสูงของพี่ไวน์กำลังเดินเข้ามา เขายิ้มหล่อออร่ากระจายมาแต่ไกล และจุดหมายที่เขากำลังตรงมาหาก็คือพวกฉัน “หวัดดีค่ะพี่ไวน์ โอ้โห วันนี้ก็หล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ”
มีมี่ยิ้มแซว
“ล้อพี่เล่นอีกแล้วนะเรานี่” พี่ไวน์เกาศีรษะพลางยิ้มแก้เขิน “แล้วนี่ทั้งคู่กำลังนั่งรอเข้าเรียนกับ อ.พีรพัฒน์ ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ อย่าบอกนะว่าพี่ก็ลงเรียนวิชานี้ด้วย?” มีมี่ทำเสียงตื่นเต้น ยัยนี่ปลื้มปริ่มพี่ไวน์มากจริง ๆ นะ สีหน้าท่าทางไม่ปิดบังเลยเชียว
“อื้ม พี่เพิ่งจะเข้าวันแรกเลย ก่อนหน้านี้มัวแต่ไปตามเก็บงานวิชาอื่นอยู่ เพิ่งจะว่างมาเข้าเรียนน่ะ” เขาตอบยิ้ม ๆ พลางมองมาทางฉัน
“บังเอิญจังเลยเนอะจา” มีมี่ใช้ศอกสะกิดแขนฉัน แถมยังขยิบตาให้ด้วย
“แล้วเย็นนี้จาต้องซ้อมละครไหม” พี่ไวน์หันมาถาม เขาเริ่มชวนฉันคุยก่อน ฉันที่นั่งเงียบมาหลายนาที เงยหน้ายิ้มตอบ
“ซ้อมค่ะ พี่ก็มีซ้อมเหมือนกันใช่ไหมคะ”
“วันนี้พวกพี่ยกซ้อมน่ะ มาไม่ครบวงก็เลยพักวันนึง เย็นนี้ก็เลยว่าง ๆ” เขาเกาแก้มตัวเองพลางหลบตา “เอ่อ… ถ้าพี่จะไปดูจาซ้อมที่โรงละครได้ไหม”
“คะ?” ฉันขมวดคิ้ว เอียงคอเล็กน้อย ถึงจะงง ๆ ว่าทำไมพี่ไวน์ต้องขออนุญาตจากฉัน แต่ก็ยอมพยักหน้ารับไปโดยไม่คิดอะไร
“อ๊ะ ได้เวลาเรียนแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ” มีมี่อุทานออกมา เธอควงแขนฉันแล้วพาเดินไปทางลิฟต์โดยมีพี่ไวน์เดินตามหลังมาด้วย
จังหวะนั้นสายตาฉันปะทะกับร่างสูงคุ้นตาของใครคนหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงมุมตึกหน้าคณะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่ปลายนิ้วของเขาคีบมวนบุหรี่ไว้หลวม ๆ ใบหน้าหล่อเหลารับแสงแดดยามบ่ายเบือนมามองกัน ดวงตาคมเข้มเย็นชาจับจ้องฉันนิ่ง คล้ายกำลังไม่พอใจบางอย่าง
อะไร… เก้าทัพมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นทำไม?