ขาว VS ดำ

3747 คำ
เช้าวันใหม่มาเยือนในไม่ช้า แม้ว่าใครต่อใครมากมายจะอยากให้ค่ำคืนของวันหยุดพักผ่อนยาวนานกว่านี้ มิหนำซ้ำพระอาทิตย์ยังกระวีกระวาดตื่นขึ้นจากราตรีมาสาดแสงอันร้อนแรง แผ่รังสียูวีเอ บี ซี ดี ซอกซอนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า มองดูคล้ายการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่ต่างพร้อมใจกันนำเสนอข่าวเด็ดประจำวัน ชนิดเจาะลึกถึงรูขุมขนของคนในข่าวตลอด 24 ชั่วโมง “หยุดถ่ายได้แล้ว ! ไปให้พ้น ! ออกไปจากบ้านของฉันให้หมด ออกไป!!” ภาพ ส.ส.โชคชัยไล่ตะเพิดนักข่าว มีภรรยาสาวหน้าตาเลอะเทอะไปด้วยเครื่องปรุงรสจากห้องครัว หลบอยู่ข้างหลังด้วยความอับอาย ถูกแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง รวมทั้งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว แม้แต่ภายในกองปราบปราม “พอกล่องสมบัติที่ชื่อว่าความลับเปิดออก มนุษย์ก็มักสติแตก โดยไม่ได้คำนึงถึงข้อผิดพลาดที่ว่า นั่นจะยิ่งเป็นการฉีกหน้าตัวเองด้วยมือของตัวเอง” เจ้าของคารมคมคายยืนกอดอกพิงผนัง มองภาพในโทรทัศน์ยิ้มๆ วันนี้เขาอยู่ในชุดนักศึกษาปี 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง และนี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมรองทรง ใบหน้า และสีผิวถ่ายทอดพันธุกรรมบรรพบุรุษจีน – ญี่ปุ่น – เกาหลีมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ยกเว้นนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นที่ได้รับมาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งสืบเชื้อสายไทยแท้แต่โบราณ ...ถ้าไม่ติดตรงที่มีแววทะเล้นแถมเพิ่มเข้ามาด้วย ! “ถูกเขียนหน้าด้วยซอสพริกซอสมะเขือเทศซะจนเละเทะ แถมคล้องป้ายโคตรโกงไว้ที่คอแบบจงใจประจาน หลักฐานการทุจริตก็โดนส่งไปให้สื่อมวลชนตีแผ่จนถูกตั้งกรรมการสอบ เป็นใครก็ต้องสติแตกกันทั้งนั้นแหละครับ” ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้นบ้าง ...เขาเป็นเจ้าของรูปร่างสูงยาวเข่าดีพอกัน จะแตกต่างก็ตรงใบหน้าคมเข้มรับกับดวงตาคมๆ ที่มีแววอ่อนโยนอยู่ในที และสีผิวที่คล้ำกว่าจากการกรำแดดออกปฏิบัติหน้าที่ แน่นอน... รวมทั้งยศซึ่งประดับอยู่บนบ่านั่นด้วย “คดีนี้ถูกโอนมาให้กองปราบฯรับช่วงต่อแล้ว ฉันถึงได้เรียกพวกเธอมานี่ไง” พล.ต.ต.เกรียงไกร บอกสองหนุ่มเสียงเครียด ไม่ต่างอะไรจากใบหน้าที่มีคิ้วดำๆ ขมวดเป็นปมอยู่ตรงกลาง “คดีทุจริตเกี่ยวอะไรกับกองปราบฯด้วยล่ะครับ หรือว่าท่าน ส.ส.มีงานอดิเรกสะสมอาวุธสงครามกับยาเสพย์ติดด้วย ?” ธนูถามยิ้มๆ ทั้งที่รู้ดีว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน “คดีที่แก๊งองค์กรลับใต้ดินอะไรนั่น ยกพวกปล้นทรัพย์นักการเมืองไปทั่วต่างหากเล่า แกอย่ามาทำเป็นปัญญาอ่อนไปหน่อยเลย พูดจาไม่รู้จักคิดแบบนี้ ระวังจะโดนฟ้องหมิ่นประมาท ฉันไม่ช่วยหรอกนะจะบอกให้ จะได้หลาบจำซะบ้าง โตแล้วยังไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรควรอะไรไม่ควร มัวทำเป็นเล่นอยู่ได้” คนเป็นพ่อชี้หน้าสั่งสอนแกมขู่ แต่ธนูก็ยังยิ้มทะเล้นเหมือนยินดีที่ได้รับพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ “สน.ท้องที่จนปัญญาจะทำคดี เพราะมันบุกปล้นบ้านนักการเมืองไปซะทุกเขต ไหนจะเขียนหน้าเจ้าทุกข์จนเลอะเทอะไปหมด บอดี้การ์ดเก่งแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ กล้องวงจรปิดไม่เคยจับภาพได้ ไม่รู้พวกนั้นเป็นใครกันแน่” “พวกนั้นที่ว่าก็โอนเงินที่ปล้นเข้ามูลนิธิหมดไม่ใช่เหรอครับ ถึงปิดคดีได้ก็คงมิวายโดนกลุ่มประชาชนโจมตีว่าเข้าข้างคนทุจริตอีก นี่แหละน้าข้อดีของการเป็นโรบินฮู้ดดด” ธนูแกล้งกระเซ้าพ่อไม่เลิก จนภูผาต้องเป็นฝ่ายตอบแทน ก่อนที่ท่านนายพลของเขาจะสติแตกขึ้นมาอีกคน “ถึงยังไงมันก็เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องอยู่ดีครับ ประชาชนน่าจะเข้าใจหน้าที่ของตำรวจ ทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย พวกเราก็จำเป็นต้องดำเนินคดี โดยไม่แบ่งแยกให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม อีกอย่างเจ้าทุกข์บางรายก็แจ้งว่าอาหารแห้งและอาหารในตู้เย็นหายไป นั่นก็เข้าข่ายลักทรัพย์แล้ว” “นั่น ! เห็นไหม ! หัดดูตัวอย่างผู้กองเขาไว้ ไม่ใช่เอาแต่ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ไปวันๆ” ท่านนายพลได้ทีเกทับลูกชายแบบเถียงไม่ออก “ครับๆ ผมยอมแพ้แล้ว” ธนูยอมยกธงขาวๆ แบบขำๆ “สรุปว่าที่เรียกผมมา จะให้สืบเรื่องแก๊งองค์กรลับใต้ดินพวกนั้นว่างั้นเถอะ” “มากับความเงียบ แล้วก็หายไปกับความมืด นิยามการปฏิบัติการของพวกนั้น คงจะพอสูสีกับคนบ้าๆ อย่างแก” คำตอบของผู้เป็นพ่อทำเอาธนูยิ้มฝืด ขณะที่ภูผาเองก็อดขำไม่ได้ “เอาเป็นว่าขอข้อมูลการก่อคดีทั้งหมดของพวกนั้นก็แล้วกันนะครับ คืนนี้ผมจะลองออกไปสืบดู” ธนูสรุป เป็นการตัดบทสนทนาอันรังแต่จะเข้าตัวเปล่าๆ “แล้วแกรู้เหรอว่าคืนนี้มันจะไปปล้นที่ไหน ?” คนถามขมวดคิ้วเสียจนหน้ายุ่ง “คนบ้าก็น่าจะพอรู้ความคิดของคนบ้าด้วยกันมั้งครับ” ชายหนุ่มยิ้มทะเล้นแล้วเดินล้วงกระเป๋าออกไป มีสายตาของ พล.ต.ต.เกรียงไกรมองตามหลังไปด้วยความกังวล และอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องของคนบ้าด้วยกันแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางที่เขาจะให้ลูกชายบ้าๆ สติปัญญาไม่เต็มเฟื้อง มายุ่งกับคดีนี้เป็นแน่   ในที่สุด ราตรี แสงจันทร์ และหมู่ดาวก็เวียนกลับมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง มันเป็นช่วงกลางดึก เงียบสงัด เหล่านกกาและมนุษย์มนาทั้งหลายล้วนหลับใหล แต่นั่นอาจไม่ได้หมายรวมทั้งหมดทั้งปวงของบรรดาสิ่งที่ถูกกล่าวถึง “เฮ้ย ! พวกแกเป็นใครเนี่ย ! ?” เสียงเอะอะดังขึ้นที่ด้านหน้าคฤหาสน์หลังงามใจกลางกรุงเทพฯ แต่แล้วกลับเงียบสนิทราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หลังการฟุ้งกระจายของฝุ่นแป้งจากหลอดเล็กๆ ในมือผู้มาเยือน “พวกแก ! เข้ามาได้ยังไง ก็ฉัน...” อดีตรัฐมนตรีสมัยที่แล้ว ซึ่งกลายมาเป็นส.ส.ฝ่ายค้านอย่างส.ส.บดินทร์ นั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงนอนไม้สักสุดหรู เมื่อเห็นว่าแขกผู้มาเยือนยามวิกาลเป็นใคร “ประตูบ้านแบบปลดล็อคด้วยคีย์การ์ดและรหัสผ่านน่ะ ไม่ยากเกินมือแฮกเกอร์ของพวกเราหรอกนะครับท่าน เสียใจด้วย” เขาในฐานะหัวหน้าแก๊งตอบยิ้มๆ แทนลูกน้องทั้ง 4 ที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหลัง “หมายความว่ายังไงคะคุณ อย่าบอกนะว่าข่าวลือเรื่องคุณทุจริตเงินงบประมาณ ตอนเป็นรัฐมนตรีเป็นความจริง ! ?” คุณหญิงจ้องหน้าสามีด้วยความผิดหวัง และแทบจะลงจากเตียงเดินหนี ถ้าไม่ติดที่สถานการณ์คับขันในขณะนี้ “โธ่ ! ก็ตอนนั้นมัน...” ส.ส.บดินทร์พยายามจะแก้ตัว ทำเอาเขาอดยิ้มเหยียดอยู่ภายใต้หมวกไอ้โม่งสีดำสนิทไม่ได้ “เอาไว้แก้ตัวในศาลดีกว่านะครับ รับรองว่าหลักฐานที่พวกผมได้มา มัดแน่นจนท่านดิ้นไม่หลุดแน่ๆ แล้วเผอิญเวลานี้มันก็เป็นเวลาของพวกผมเสียด้วย... จัดการได้ !” เขาหันไปสั่งลูกน้องอ้วน - ผอมคู่เดิม “ละ... แล้วฉันล่ะ ?” คุณหญิงเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นว่ามีเพียงสามีเท่านั้นที่ถูกจับมัดอย่างแน่นหนา แทบกระดุกกระดิกไม่ได้ “พวกเราสืบมาก่อนแล้วว่าใครทำอะไรให้กับสังคมไว้บ้าง คุณหญิงกรุณานั่งอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน ผมรับรองความปลอดภัยทั้งตัวคุณหญิง แล้วก็ท่าน ส.ส.ด้วย... เอาล่ะ ! หน้าที่ใครหน้าที่มัน” ชายหนุ่มหันไปสั่งลูกน้องทุกคนอีกครั้ง ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดิม “ทำแบบนี้ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมืองกันบ้างเหรอ ถึงคนถูกกระทำจะเลวร้ายแค่ไหน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ดี” คุณหญิงพูดขึ้นอีก ระหว่างที่เงินฝากหลักล้านของสามีกำลังถูกถ่ายโอนไปยังมูลนิธิต่างๆ รวมทั้งมูลนิธิที่คุณหญิงเป็นประธานอยู่ด้วย “แล้วคุณหญิงคิดว่าควรจะจัดการกับคนพวกนี้ยังไงดีล่ะคะ เพราะมัวแต่รอกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรมไม่ใช่หรือคะ ประเทศเราถึงได้เป็นแบบนี้” คราวนี้เสียงตอบคำถามดังมาจาก 1 ในสมาชิกแก๊ง ซึ่งยืนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองดูการทำงานของแฮกเกอร์ประจำแก๊ง และนั่นทำให้คุณหญิงได้รู้ว่า มีผู้หญิงอยู่ในแก๊งองค์กรลับใต้ดินกลุ่มนี้ด้วย ! ! “ก็แล้วแต่คุณหญิงนะครับว่าจะช่วยจัดการสามี ส.ส. ให้กลับสู่สภาพเดิมหรือเปล่า หลังจากที่พวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว เพราะถึงยังไงคลิปวีดีโอสภาพอันน่าอดสูของท่าน ส.ส. ก็ต้องได้ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านสื่อทุกแขนงอยู่ดี” ชายหนุ่มสำทับอีกครั้ง ทันทีที่ลูกน้องคนหนึ่งกลับขึ้นมาจากห้องครัวของคฤหาสน์หรู “สรรหาคนไร้เซนส์เรื่องแต่งหน้ามาทำหน้าที่ได้เยี่ยมจริงๆ” ธนูซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดสูทขาว เพิ่มความเท่ด้วยผ้าคลุมปลิวไสวที่พึ่งตัดมาสดๆ ร้อนๆ นั่งส่องกล้องทางไกลดูเป้าหมายอยู่บนต้นไม้ ห่างจากคฤหาสน์ออกไปหลายร้อยเมตร ...แน่นอน ! กล้องนั่นไม่ใช่กล้องธรรมดา ก็เหมือนกับแว่นขาเดียวที่เขาใส่อยู่ ไฮเทคซะไม่มี บันทึกภาพได้ด้วย แหม ! กว่าจะกล่อมเพื่อนพ่ออดีตนักเรียนช่างกลอิเล็กทรอนิกส์ ผู้มานะพยายามจนเรียนจบวิศวคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยดัง แล้วดันผันตัวเองมาเป็นช่างซ่อมกล้อง ให้ประดิษฐ์มันออกมาตามไอเดียของเขาได้ ต้องชักแม่น้ำสิบสายจนน้ำลายแตกฟอง “เสร็จงานแล้วก็หลบออกจากคฤหาสน์คนอื่นสบายใจเฉิบ หึ ! มากับความเงียบ หายไปกับความมืดเหรอก็แค่จอดรถไว้ที่อื่น ขากลับก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแยกย้ายกันไป สำคัญก็ตรงตัวช่วยอย่างผงยานอนหลับ แล้วก็กล้องวงจรปิดที่พวกแกใช้ลูกไม้ตื้นๆ นั่น” เขาพึมพำ พลางส่องกล้องจับภาพคนทั้ง 5 ซึ่งแยกเป็น 2 กลุ่ม เดินเลี้ยวออกจากคฤหาสน์ไปคนละทาง ...จากการตรวจสอบระบบวงจรปิดของแต่ละท้องที่ที่สมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินออกปฏิบัติการ ทำให้ธนูล่วงรู้ถึงวิธีการทำงานแสนธรรมดาของคนทั้งหมด ซึ่งไม่ได้เป็นกลวิธีหรืออุบายที่สลับซับซ้อนใดๆ เลย ถ้าเพียงแค่... เจ้าหน้าที่ตำรวจในแต่ละท้องที่นำข้อมูลที่ได้มาประสานงานร่วมกัน “ต้องดู 2 กลุ่มเลยงั้นสิ ยุ่งยากชะมัด” ถึงปากจะบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง แต่มือสองข้างก็รีบปรับทั้งกล้องส่องทางไกลและแว่นขาเดียว ให้กลายเป็นระบบบันทึกภาพ ก่อนจะยกขึ้นจับภาพเป้าหมายทั้ง 2 กลุ่ม ตาชำเลืองมองซ้ายทีขวาทีแบบไม่ให้พลาดแม้แต่วินาทีเดียว เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ชวนเวียนหัวยิ่งนัก “ชาย 4 หญิง 1 อภิมหาเศรษฐีเก๋งเปิดประทุน แฮกเกอร์ตาสั้นโฟร์วีลขาลุย ทะเบียนปลอมทั้งคู่ แล้วก็มอเตอร์ไซค์ไม่ติดทะเบียนอีก 2 คัน มั่นใจว่าตีนผีซิ่งหนีจ่าหัวปิงปองทันสินะ อาหารที่ปล้นไปหาร 3 แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นยังโสด” ธนูยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ และสนุกกับความท้าทายของคดีนี้   ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กงล้อแห่งวัฏจักรเดิมก็เริ่มต้นหมุนวนอีกครั้ง สื่อมวลชนจากทุกสำนักยืนออกันแน่นขนัดอยู่บริเวณด้านหน้าคฤหาสน์สุดหรูของ ส.ส.บดินทร์ ต่างแข่งกันรายงานข่าวล่ามาแรงอย่างพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว แน่นอนว่าผู้ที่โด่งดังและได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วราชอาณาจักร ย่อมหนีไม่พ้นเหล่าสมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินซึ่งอาจกำลังนั่งยิ้มอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ตรงข้ามกับใครบางคนที่มีแนวโน้มจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง กับสิ่งที่ได้รับรู้ “กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบตี 2 แล้วได้อะไรมาบ้างล่ะ ไหนว่าคนบ้าน่าจะรู้ความคิดของคนบ้าไง !” พล.ต.ต.เกรียงไกรจ้องหน้าลูกชายที่เข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานประจำตำแหน่ง ภายในห้องส่วนตัวบนตึกกองปราบปราม ท่าทางโมโหสุดขีดหลังจากได้ดูข่าวการบุกปล้นบ้าน ส.ส.บดินทร์ ของกลุ่มองค์กรลับใต้ดิน “โอ้โห ! นี่พ่อนอนฟังจนผมกลับบ้านเลยหรือครับเนี่ย” ธนูซึ่งอยู่ในชุดแบบไปรเวต เสื้อยืดขาว แจ็คเก็ตสีกรมท่ากับกางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบ ยืนยิ้มตาโตไม่ทุกข์ร้อน และไม่เป็นการเป็นงานอีกเช่นเคย “ลูกไม่กลับบ้านจะให้หลับลงได้ยังไง ถึงหลับลง แม่แกก็คงมาเข้าฝันปลุกฉันตื่นอยู่ดี” คนเป็นพ่อพยายามระงับอารมณ์ “นั่นก็แสดงว่าแม่รักพ่อมากนะครับเนี่ย ไม่เห็นมาเข้าฝันลูกบ้างเลย จะได้บอกแม่ว่าคิดถึง” คนเป็นลูกนอกเรื่องไปเรื่อย แต่ไม่เป็นผล “ตกลงแกได้อะไรมาบ้าง เข้านอนเกือบตี 4 ไม่ใช่เหรอ ช่วงเวลา 2 ชั่วโมงนั่นแกทำอะไร บอกฉันมาซิธนู !” พล.ต.ต.เกรียงไกรวกกลับมาที่คำถามเดิม สีหน้าเคร่งเครียด จนน่ากลัวว่าเส้นเลือดปูดโปนในสมองจะระเบิดออก “ล้างรูปไงครับ อัดจากวีดีโอที่ถ่ายมาได้ เลยต้องมีกรรมวิธีหลายขั้นตอนหน่อย” ธนูตอบ พร้อมกับดึงรูปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตออกมา เหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ทันทีที่ท่านนายพลหันมามองรูปทั้ง 5 ใบที่ลูกชายคลี่เป็นรูปพัดอวด “นี่รูปคนพวกนั้นงั้นเหรอ หมายความว่าเมื่อคืนแกไปที่บ้าน ส.ส.บดินทร์ ตอนพวกนั้นบุกปล้นบ้านใช่ไหม แล้วทำไมแกไม่โทรแจ้งตำรวจ !” เสียงของท่านนายพลในยามนี้ ช่างทะลุทะลวงไปถึงหูชั้นในดีแท้ “ถ้าไม่เตรียมการไว้ก่อน ตำรวจจับไม่ได้ไล่ไม่ทันคนนพวกนั้นหรอกครับ” ชายหนุ่มเก็บรูปใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนที่พ่อของเขาจะคว้าไว้ได้ทัน “แกหมายความว่ายังไง จะบอกว่าตำรวจอย่างพวกฉันไม่มีน้ำยางั้นเหรอ !” พล.ต.ต.เกรียงไกรตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล ข้าวของทั้งหลายต่างพากันสะดุ้งสะเทือน บ้างล้มระเนระนาด แต่นั่นเป็นคนละอารมณ์กับชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ในห้อง “ผมไม่ได้ว่าพ่อแล้วก็ลูกน้อง แต่วิธีเถรตรงของพ่อมันไม่ทันวิธีโคตรโกงของคนพวกนั้นหรอก รวบรวมข้อมูลให้ได้มากกว่านี้ แล้วค่อยวางแผนจับกุมมันก็ยังไม่สายนี่ครับ เอาให้มันคาหนังคาเขาไปเลย” ธนูชี้แจงเหตุผล “แกไม่ใช่ตำรวจอย่างฉัน แกไม่เข้าใจหรอก เสียงของคนที่เดือดร้อนเพราะเจ้าพวกนั้นที่มันดังอยู่ในหัวพวกฉันน่ะ การที่จับกุมคนผิดมาดำเนินคดีไม่ได้ ยิ่งนานเสียงพวกนั้นก็ยิ่งดัง ต่อไปกฎหมายก็จะถูกฉีก คนทำตามอำเภอใจเต็มประเทศ แล้วอ้างว่าทำเพื่อส่วนรวม... หึ ! ถ้าแกคิดว่าแกแน่นัก ก็ไปหาข้อมูลมา ฉันให้เวลาแก 1 อาทิตย์ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้า” ท่านนายพลลุกขึ้นชี้หน้าลูกชาย ท่าทางโกรธจัด แล้วเดินออกไปจากห้อง สวนกับภูผาที่กำลังจะเดินเข้ามา “ฝากผู้กองส่งแขกด้วยแล้วกัน ต่อจากนี้ไม่ต้องให้ใครโทรตาม คดีนี้จะเป็นคดีสุดท้าย ถ้าเหลวก็ไม่จำเป็นต้องอนุญาตให้เข้ามาที่นี่อีก” สั่งเสียงเข้ม หน้าเครียด แล้วเดินเร็วออกไปทันที ทำเอาภูผายืนอ้าปากค้าง เพราะไม่ทันตั้งตัว “คุณธนู เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย ! ?” เขาหันไปถามธนู ซึ่งกำลังยืนใช้คอมพิวเตอร์ของผู้เป็นพ่ออยู่ภายในห้องอย่างถือวิสาสะ “อย่าเรียกผมคุณเลยครับ ผมเด็กกว่าตั้ง 5 ปี แถมผู้กองยังระดับหัวหน้า มีลูกน้องตั้งมากมาย อนาคตไกลอย่างที่ผมเทียบไม่ติด แค่ 1 ปี 1 ขั้นนี่ก็ไม่เห็นฝุ่นแล้ว ผมซูฮกจริงๆ” ธนูตอบนอกเรื่องไปไกล ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับประกาศิตของพ่อ “อย่าพูดแบบนั้นเลย คุณ... เอ่อ... น้องธนูเองก็มีความสามารถอย่างที่ทุกคนในกองปราบยอมรับ” ภูผาพยายามคิดหาคำปลอบใจ เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น “ยกเว้นพ่อไว้คนนึงนะครับ” ชายหนุ่มรุ่นน้องอมยิ้ม ทั้งที่ดูจะเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกับประโยคที่พูด “ท่านเป็นห่วงน้องธนูมากนะ คดีไหนที่ต้องให้น้องธนูช่วยเป็นสายสืบ แทบนั่งไม่ติดเลย หน้าเครียดตลอด ยิ่งน้องธนูไปช่วยจัดการพวกคนร้ายก่อน ท่านก็ยิ่งร้อนใจตามหน่วยปฏิบัติการไปด้วย อย่างวันนั้น” ภูผาแอบแง้มความจริงเบื้องหลังท่าทีดุดันของผู้บังคับบัญชา “ผมก็แค่ไปทดลองลูกระเบิดแก็สหัวเราะ ยาชา ยานอนหลับ สารพัดแก็สที่คิดได้ก็เท่านั้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก” ธนูยิ้มขอบคุณภูผา อันที่จริงเขาเองก็ใช่จะไม่รู้ถึงความเป็นห่วงของพ่อ หากแต่มันคือวิถีทางที่เขาเลือก เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระที่พ่อต้องแบกไว้ต่างหาก เขาถึงต้องก้าวต่อไปให้ได้บนเส้นทางสายนี้ “แล้วเรื่องเมื่อกี๊...” ผู้กองหนุ่มยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “พ่อไม่ได้ห้ามผมเข้าบ้านนี่ครับ ไม่เห็นมีอะไรน่าซีเรียส ไม่ต้องมาที่นี่ ผมก็รับงานทางเมล์ได้ ถ้าผู้กองอยากให้ผมช่วยล่ะก็ สำหรับผู้กองผมไม่คิดเงินหรอก มันเป็นงานที่ผมรัก แล้วก็ไม่มีทางปล่อยให้พลาด” รอยยิ้มกับคำพูดแสดงความมั่นใจของธนู ทำให้ภูผาสบายใจขึ้น “อย่างนั้นก็ได้ แล้วนี่หาข้อมูลเพิ่มอยู่หรือ ทำไมไม่นั่งเก้าอี้ล่ะ ?” ผู้กองหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยถาม “อู๊ยยย ! หามิได้ครับ ผมมิบังอาจนั่งทับที่ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีศักดิ์และสิทธิ์เต็มอำนาจในที่แห่งนี้” จอมกะล่อนปั้นหน้าหวาดกลัวเต็มที่ “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ภูผาอดขบขันในความทะเล้นของธนูไม่ได้ “แล้วได้อะไรเพิ่มเติมบ้างไหม ?” “ก็... พอสมควรครับ รวมกับของเก่าแล้วก็น่าสนุกดี” ธนูมองข้อมูลของแก๊งเป้าหมายบนจอคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในแฟ้มข้อมูลของบิดา แล้วยิ้มแบบมีเลศนัย โดยที่ภูผาไม่ทันสังเกตเห็น   เมื่อเงามืดแห่งราตรีมาเยือน เหล่าผู้มีชนักติดหลังทั้งหลาย ต่างหวาดกลัวต่อกลุ่มคนผู้เปรียบเสมือนยมทูตซึ่งจะลากคอพวกเขาลงสู่สถานที่คุมขัง วันนี้ผู้ใดกันที่ดวงชะตาขาด... “จะขัดขืนผมก็ไม่ว่าหรอก ให้เลือกด้วยว่าจะเอาสเปรย์พริกไทย เครื่องช็อตไฟฟ้า หรือลูกกระสุน... แบบไหนดีล่ะครับท่าน ส.ส. ? หรือให้ผมเลือกให้ดี ?” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าแก๊งยิ้มเหี้ยม เสนอทางเลือกให้ ส.ส.อำนวยผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังงามที่พวกเขาถือวิสาสะเข้ามาเหยียบ “กะ... กะ... ก็ได้ ! ! แกอยากได้อะไรก็เอาไปเลย ยะ... อย่าทำอะไรฉันนะ ละ... แล้วก็อย่าเอารูปที่ฉันอยู่ที่นี่ไปออกทีวีหรือหนังสือพิมพ์ด้วย ฉะ... ฉันขอร้องล่ะ” ส.ส.อำนวยวิงวอนตะกุกตะกัก มือข้างหนึ่งยังคงกอดภรรยาน้อยสาวสวยที่ซุกตัวสั่นเทาเข้ามาหาด้วยความกลัว “คงจะไม่ได้หรอกนะครับ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกผม เวลาทำทำไมไม่หัดคิดซะก่อนล่ะครับ ผิดทั้งต่อครอบครัวตัวเอง แล้วก็ต่อประชาชนและประเทศชาติแบบนี้ ยิ่งน่าประกาศให้โลกรู้เข้าไปใหญ่ ฮะๆ ๆ” เขาหัวเราะสะใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมีแสงแฟลชสว่างวาบขึ้นที่หน้าต่าง “ว้า ! ตาปิดหมดเลย หมดหล่อกันพอดี” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นบริเวณหน้าต่าง เรียกให้ทุกคนหันขวับไปมองเจ้าของเสียงในชุดสูทขาวที่นั่งอยู่บนกิ่งมะม่วงข้างตัวตึก ต่างมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน ทั้งจากแสงโคมไฟภายในห้อง รวมไปถึงกระจกหน้าต่างแบบบานเลื่อนที่เปิดกว้างอยู่ “แกเป็นใคร ! ?” เสียงร้องถามดังประสานมาจากเหล่าสมาชิกแก๊ง แต่ก่อนจะได้รับคำตอบ แสงแฟลชก็สว่างวาบขึ้นอีกหลายครั้ง เป้าหมายคือการซูมเก็บภาพใบหน้าที่มีหมวกไอ้โม่งคลุมอยู่ของคนทั้ง 5 รวมทั้งภาพหมู่อีก 1 ภาพ เพื่อใช้ประมาณการส่วนสูงและเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพ “เผอิญมาจากสำนักข่าวไอซียู จะเก็บภาพคนดังไปลงข่าวสักหน่อย” ธนูตอบ พลางเก็บกล้องใส่ไว้ข้างในเสื้อ “สำนักข่าวบ้าบออะไรของแก ส่งกล้องนั่นมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะยิงให้พรุนเลย !” หัวหน้าแก๊งองค์กรลับใต้ดินชักปืนจากเอวเล็งไปที่ธนู แต่ทว่าเขาไม่ได้อยู่บนกิ่งไม้เสียแล้ว “โทษทีนะ พอดีใส่เสื้อกันกระสุน ฉันเลยอาจจะไม่ตายสมใจนาย แต่ถ้าสูทสั่งตัดชุดนี้เป็นรูแม้แต่รูเดียว ฉันจะฟ้องนายยกตระกูลเลย” ธนูซึ่งโหนกิ่งไม้อยู่ด้วยมือข้างหนึ่งขู่ยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มเยือกเย็นที่ทำให้กลุ่มคนตรงหน้าถึงกับชะงัก ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงตัวไปอยู่บนกำแพงรั้วอิฐสีขาวความสูง 2 เมตรและกระโดดลงไปยังพื้นถนนด้านล่าง หายไปกับความมืดเช่นเดียวกับที่คนทั้ง 5 เคยทำ “ช่างมัน ! แยกย้ายกันทำหน้าที่ต่อ” ชายหนุ่มหัวหน้าแก๊งร้องสั่งฉุนๆ ทั้งที่ในใจนึกประหวั่นกับความหมายของรอยยิ้มเย็นเมื่อครู่ ไม่แพ้ลูกน้องทั้ง 4 คน ! !
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม