bc

Trick or Treat แสบ... กวน... ป่วนเมือง !!

book_age12+
69
ติดตาม
1K
อ่าน
กล้าหาญ
ชายจีบหญิง
ขบขัน
เบาสมอง
ฉลาด
เมือง
โลกความเป็นจริง
สืบสวนสอบสวน
อาชญากรรม
gorgeous
like
intro-logo
คำนิยม

เมื่อแก๊งปล้นนักการเมืองอย่างชวินและพรรคพวก ต้องมาเจอกับธนูสายสืบสุดกวน ผู้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชนิดโจรยังอาย

ชนักติดหลังกำลังจะพลิกผันไปเป็นอย่างอื่น หรือเมืองหลวงศิวิไลซ์จะอยู่ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงฉาน!!

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
บุรุษปริศนา
ค่ำคืนดึกสงัด ท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาวที่แข่งกันส่องประกาย แต่งแต้มผืนฟ้าสีดำสนิทให้สวยงาม ที่ด้านหน้าโกดังไม้ร้างไร้ผู้คนแถบชานเมือง ซ้ำยังอยู่ในสภาพเก่าๆ ผุๆ พังๆ เหม็นอับ รวมทั้งล้อมรอบไปด้วยต้นหญ้ารกชัฏ ชายในชุดสูทดำกลมกลืนกับความมืด 2 กลุ่ม จำนวนรวมกันเกือบ 10 คน กำลังแลกของบางอย่างซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์หนักอึ้ง เปล่า... พวกเขาไม่ใช่แก๊งองค์กรยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่งที่หลุดออกมาจากการ์ตูนหรืออนิเมะเรื่องใด ทว่าเป็น... “โอเค ของครบ” “เงินก็ครบ” ต่างฝ่ายต่างตรวจดูสิ่งของของอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด แม้เพียงน้อยนิด อันจะนำไปสู่ชะตาชีวิตที่พลิกผันกลับหน้ามือเป็นหลังเท้า แต่ตอนนั้นเองที่เสียงของใครอีกคนดังขึ้น “เงามืดที่ดำมืดยิ่งกว่าเงาแห่งราตรี ก็คือ เงามืดในจิตใจมนุษย์” เสียงทุ้มๆ ของเขาคนนั้น ทำเอาพวกมันที่กำลังจะแยกย้ายกันกลับรังนอนแสนสุขที่อุดมไปด้วยเหล้ายาปลาแซลมอนถึงกับชะงัก “เฮ้ย ! ใครวะ... แกเป็นใคร ! ?” ทั้งสองฝ่ายกราดปืนไปที่กิ่งไม้ใหญ่เบื้องหน้า อันเป็นที่ที่เจ้าของเสียงมาดกวนสถิตอยู่ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มในชุดสูทขาวก็ยังคงนั่งปั้นยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเก๊กหล่อแบบทองไม่รู้ร้อน “พูดแค่นี้ร้อนตัวกันใหญ่เลยนะ” “แกนั่นแหละที่รนหาที่... ยิงมันให้พรุน อย่าให้มันหนีรอดไปได้นะเว้ย !” สิ้นเสียงสั่งการ ห่ากระสุนก็พุ่งออกจากปากกระบอกปืนทุกกระบอกพร้อมกัน ก่อกำเนิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวหูดับตับไหม้ โดยไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่กระจกเงาแปะสติ๊กเกอร์ 3D ขนาดเท่าคนจริง ที่ถูกติดตั้งไว้บนกิ่งไม้เพื่อใช้ตบตาพวกมันทั้งหลายเท่านั้น เพล้งๆ ๆ ๆ กระจกเงาบานใหญ่ที่ว่าแตกละเอียดจากห่ากระสุน เศษกระจกร่วงกราวลงมาใส่มนุษย์ปืนไวทั้งหลายจนต่างพากันร้องลั่น “เฮ้ย ! อะไรเนี่ย เศษกระจกมาจากไหนวะ ! ?” เสียงโวยวายดังขึ้นพร้อมเพรียงจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ยิ่งเมื่อดังประสานกับเสียงกรอบๆ แกรบๆ กร๊อบๆ แกร๊บๆ ของกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ถูกรองเท้าหนังเหยียบแล้ว ช่างเป็นดนตรีที่ฟังไพเราะเสียนี่กระไร อา... นี่สินะที่เค้าว่ากันว่าฟังดนตรีเถิดชื่นใจ “มัวไปยิงที่ไหนกันล่ะนั่นน่ะ ฉันอยู่ตรงนี้ต่างหาก วู้ว... ทางนี้ๆ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นอีกหลังเสียงปืนสงบลง คราวนี้ต้นเสียงมาจากบนหลังคาโกดัง สถานที่ซึ่งชายหนุ่มปริศนานั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว “แก ! ! ไปอยู่บนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่... นะ... นะ... นี่แกเป็นใครกันแน่เนี่ย ! ?” พวกสูทดำละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยอาการตกตะลึง และยิ่งตะลึง ตึง ตึง เมื่อได้เห็นชุดคอสเพลย์ที่เขาคนนั้นสวมอยู่ ...ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวสะอาดทั้งชุด เชิ้ตสีน้ำตาลแก่กับไทค์สีครีม ถุงมือ หมวกทรงสูง และรองเท้าหนังสีขาวเข้าชุด สุดท้ายคือแว่นขาเดียวสีชาที่ช่วยปกปิดใบหน้าที่แท้จริงไว้ได้นิดหนึ่ง “ฉันเป็นใครน่ะเหรอ ? ...นั่นสินะ ไม่ค่อยมีใครรู้จักฉัน เพราะใครที่ได้เจอฉันแล้วมักจะไม่รอด” เขายิ้มที่มุมปาก แล้วถอดหมวกทรงสูงมาถือไว้ ทำเอาพวกสูทดำสะดุ้ง พากันกราดปืนมาที่เขาอีก “ฉันคงเป็นนักมายากล... ล่ะมั้งนะ” ชายหนุ่มเก็บใบไม้แห้ง 2-3 ใบ บนหลังคาโกดังใส่ลงไปในหมวก ดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตัวเองมาปิดไว้ พอเปิดออกลูกโป่งสีขาวก็ลอยออกจากหมวกของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า “แกทำอะไร จะส่งสัญญาณเรียกพวกหรือไง หรือว่าเรียกตำรวจ ! ? ลงมาดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัว !” คนเป็นหัวหน้าร้องสั่ง ทั้งยังวางท่าให้ดูเหี้ยมโหดสมฐานะมือสังหารประจำแก๊ง “กลัวจัง” เขาหัวเราะหึๆ ในลำคอ มือล้วงเข้าไปข้างในเสื้อสูท “ลืมบอกไปว่าฉันคงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะด้วย” “เหอะ ! นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะงั้นเหรอ น่าขำว่ะ ฉันว่าเป็นพวกที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้ามากกว่าล่ะมั้ง” พวกมันหัวเราะกันครืน และยิ่งฮากันท้องคัดท้องแข็ง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาล้วงออกมา คือลูกบอลสีขาวขนาดเหมาะมือ “นั่นไง ! เล่นลูกบอลด้วย” ใครคนหนึ่งชี้ให้เพื่อนร่วมแก๊งดูของที่เหมือนลูกบอลหากแต่ไม่ใช่ลูกบอลชิ้นนั้น “ลูกบอลงั้นเหรอ จะใช่ไหมนะ ใช่หรือเปล่า ใช่ไหมหว่า ใช่ไหมๆ” ชายหนุ่มโยนวัตถุทรงกลมในมือข้ามหัว มืออีกข้างตั้งท่าเตรียมรับทันทีที่มันตกลงมา แต่ปรากฏว่าพลาดถูกนิ้วกระเด็นร่วงไป “ฮ่าๆ โยนบอลแค่ลูกเดียวยังรับไม่ได้ นี่เหรอนักมายากล” เสียงสบประมาทยังดังตามมาไม่หยุดหย่อน “นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะต่างหาก” เขาตอบยิ้มๆ ไม่ทันขาดคำ... บึ้มมม ! ! เสียงระเบิดดังก้องกัมปนาท พร้อมๆ กับกลุ่มควันที่ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณโกดังร้าง ไม่มีเลือด ไม่มีเสียงร้องแสดงความเจ็บปวด มีเพียงร่างสลบไสลไม่ได้สติของบรรดามนุษย์สูทดำโง่เขลา ที่ต่างสูดหายใจเอายานอนหลับเข้าไปซะฉ่ำปอด “อย่างฉันน่ะเหรอจะโยนพลาด” ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองเยาะๆ ก่อนจะชะเง้อมองไปที่ถนนลูกรังทางเข้าเขตโกดังร้าง “เสียงกรีดร้องกับลูกไฟสีแดงเพลิง... มาแล้วสินะ” เขายิ้มอย่างพอใจ และยังคงนั่งเก๊กหล่อทำเท่รอการมาของคนอีกกลุ่ม หวอ หวอ หวอ หวอ ! ! เสียงไซเรนตำรวจดังประสานมาแต่ไกล ต่างพร้อมใจกันห้อตะบึงมาหยุดที่หน้าโกดังไม้เก่าแก่ จวนพังแหล่มิพังแหล่ท่ามกลางทุ่งหญ้ารกร้างสูงท่วมหัวหลังนี้ ซึ่งอาจเต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานไม่ทราบจำนวนนานาชนิด จากนั้นประตูรถตราโล่ก็เปิดผางออกแทบจะพร้อมเพรียง “หยุดนะ ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมให้จับซะโดยดี” ตำรวจนับสิบนายกราดปืนใส่เป้าหมาย แต่ก็ต้องยืนงงไปตามๆ กัน เมื่อพบว่าคนทั้งหมดต่างพากันนอนแอ้งแม้งไม่ได้สติอยู่บนพื้น “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ! ? คุณๆ เป็นอะไรกันไปหมด ! ?” แต่ละนายช่วยกันเขย่าตัวพวกสูทดำว่าที่ผู้ต้องหาคดียาเสพย์ติด ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครฟื้นจากนิทราในค่ำคืนนี้ “ทั้งหมดนอนนิ่งเลยครับ แต่ยังหายใจอยู่ ตามร่างกายไม่พบบาดแผล ส่วนของกลางยังอยู่กับมือผู้ต้องหา ทั้งเงินแล้วก็ยาเสพย์ติดครับ” ร.ต.อ.ภูผา ผู้กองหนุ่มมือดีจากกองปราบปราม ซึ่งอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ แจ็คเก็ตผ้าร่มดำกับยีนส์ กลมกลืน ทะมัดทะแมง หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการในครั้งนี้ ทำความเคารพพร้อมกับรายงานสถานการณ์ แก่นายตำรวจร่างท้วมผู้ลงจากรถเก๋งตราโล่ที่แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าโกดังร้างเป็นคันสุดท้าย “อย่างนั้นเหรอ” อีกฝ่ายหน้าขรึม พลางกวาดตามองสถานที่เกิดเหตุ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนหลังคาโกดัง มือดึงปืนจากเอวเล็งขึ้นไปบนนั้น “คนที่อยู่บนนั้น ลงมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันยิงแน่ !” เสียงเข้มๆ ของ พล.ต.ต.เกรียงไกร ทำเอาบรรดาตำรวจชั้นผู้น้อยหันมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วต่างพากันยกปืนขึ้นเล็งไปที่หลังคาโกดังบ้าง นั่นเองที่ทำให้เสียงโอดครวญของบุรุษสูทขาวดังขึ้น “อะไรกัน ! ผมเป็นพลเมืองดีแท้ๆ นะเนี่ย” น้ำเสียงของเขาเจือแววขบขัน โดยไม่ได้หวาดกลัวต่อห่ากระสุนใดๆ “ขะ... ขะ... คุณธนู ! !” ภูผาอุทานชื่อของเขาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบส่งสัญญาณมือให้ตำรวจทุกนายลดปืนลง ตรงข้ามกับนายพลมือฉมังแห่งกองปราบฯ ที่ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น ซ้ำยังเตรียมเหนี่ยวไกปืนที่บรรจุกระสุนอยู่เต็ม “ฉันบอกให้ลงมา ถ้ายังต้องให้พูดซ้ำอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน !” “โห ! ทำลูกตาดำๆ ได้ลงคอ” เสียงบ่นอุบดังลงมาจากบนหลังคา พร้อมกับการกระโดดลงมาของชายหนุ่มที่ทำเอาทุกคนถึงกับอึ้ง ทึ่ง และตะลึง ตึง ตึงไปกับความเป็น ‘เขา’ “นี่แกทำบ้าอะไรของแก ! ?” คนเป็นพ่อถามเสียงเครียด ทันทีที่ตั้งสติได้ “เรื่องอะไรล่ะครับ... ที่ว่าบ้า ?” คนเป็นลูกถามกลับหน้าเป็น ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องถูกเอ็ดตะโรชุดใหญ่ จากเจ้าของเสียงทรงพลังอำนาจ ซึ่งเป็นคนเดียวกับเจ้าของปากกว้างๆ ที่เกือบจะเขมือบหัวเขาในตอนนี้ “ยังมีหน้ามาถามอีก ที่บ้ามันก็ทั้งหมดที่แกทำนั่นแหละ ฉันให้แกเป็นสายสืบเรื่องนี้เฉยๆ เสร็จงานแล้วทำไมไม่นอนอยู่บ้าน มาหาเรื่องทำอะไรที่นี่ แล้วที่คนพวกนั้นเป็นอย่างงั้น ฝีมือแกใช่ไหม อยากนอนคุกข้อหาทำร้ายร่างกายหรือไง แล้วยังสารรูปแกอีก ไปเอาชุดบ้าๆ อะไรมาใส่ แกจะทำให้ฉันขายหน้าไปถึงไหน !” พล.ต.ต.เกรียงไกรมองการแต่งตัวของลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วยิ่งหัวเสียหนัก โดยเฉพาะกับหมวกนักมายากลทรงสูงขัดหูขัดตาใบนั้น “แกเป็นฝรั่งมังค่าหรือไง ถึงไปสรรหาหมวกบ้าๆ นี่มาใส่ !” ว่าพลางดึงหมวกเจ้าปัญหาออกฉุนๆ แต่สิ่งที่ได้พบหลังจากนั้น คือ เป็ดเป่าลมตาโปนบนหัวลูกชายนักประดิษฐ์ ...แน่ล่ะ ! นี่คือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดของเขา และแน่นอน ไม่ใช่เป็ดยางธรรมดาๆ ก๊าบ ! มันร้องโชว์พลังเสียง ด้วยเสียงเป็ดจริงที่อัดเทปติดไว้ตรงไหนสักแห่งในตัวมัน จ้างให้ก็หาไม่เจอ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับคนที่มันส่งเสียงร้องใส่หน้า ซึ่งยืนหน้าเขียวหน้าแดงแบบไฟจราจรดิสโก้เธค และตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าไปเสียแล้วในเวลานี้ “เจ้าบ้า ! ! อยากทำอะไรก็เชิญ ฉันไม่ยุ่งกับแกแล้ว” ท่านนายพลกระแทกหมวกกลับลงไปบนหัวลูกชาย หน้าตาบอกบุญไม่รับ ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามระงับอารมณ์ หันไปสั่งการลูกน้องที่ต่างยืนเอ๋อรับประทานกันเป็นทิวแถว “นำตัวผู้ต้องหาพวกนั้นขึ้นรถซะสิ อย่าลืมใส่กุญแจมือด้วย” “ครับผม ! !” เหล่าตำรวจชั้นผู้น้อยตะเบ๊ะรับคำสั่ง แล้วรีบลงมือทำงานกันอย่างแข็งขัน เป็นภาพที่ทำให้อารมณ์เดือดปุดๆ ของพล.ต.ต.เกรียงไกรเย็นลงได้บ้าง แต่แล้ว... “แบงค์ร้อยเป็นฟ่อนเชียว แต่ไม่ยักมีแบงค์สีม่วงกับสีเทาสักกะใบ ตำแหน่งก็ไม่เล็ก ทำไมเงินเก็บช่างน้อยนิด” เสียงบ่นงึมงำข้างหลัง เรียกให้ท่านนายพลหันขวับไปมองเจ้าของเสียง ซึ่งกำลังถือกระเป๋าสตางค์หน้าตาคุ้นๆ อยู่ “ไอ้ลูกบ้า ! ! นี่แกเอากระเป๋าเงินฉันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ริจะเป็นพวกล้วงกระเป๋าหรือไง” ว่าพลางคว้ากระเป๋าหนังเหนียวคู่ชีพของตัวเองคืนมา พร้อมกับกวาดนัยน์ตาเรดาห์นับเงินไปด้วย “อย่าเอาผมไปเหมารวมกับพวกนั้นสิ ผมแค่จะขอค่าจ้างสืบคดีเท่านั้นแหละ ที่พ่อตกลงไว้ไง กะจะเอาไปตัดผ้าคลุมมาติดด้วย อา ! เวลายืนบนหลังคาแล้วลมพัดมา เท่อย่าบอกใครเลย พ่อว่าไหม” ธนูกอดอกพยักหน้ายิ้มๆ อย่างพอใจ หารู้ไม่ว่ากำปั้นอันใหญ่กำลังลอยมาเหนือศีรษะ “ตัดผ้าคลุมงั้นเหรอ แค่นี้แกยังทำให้ฉันขายหน้าไม่พอหรือไง... นี่แน่ะ ! ตัดผ้าคลุม” ท่านนายพลทะลวงกำปั้นลงไปกลางหมวก หวังให้โดนทั้งเป็ดทั้งคน แต่การณ์กลับผิดคาดเมื่อมีเสียงอื่นดังขึ้นแทน “ปิ๊งป่อง ! ท่านเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลบัตรรวมเครื่องเล่นสวนสนุกดรีมแลนด์ ขอให้สนุกกับการพักผ่อนนะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ” เป็นเสียงโอเปอเรเตอร์บริษัทไหนสักที่ ผ่านการคัดสรรแล้วให้ฟังดูหวานหูที่สุด แต่ไม่ได้ผลกับพล.ต.ต.เกรียงไกร ซึ่งยืนหน้าเปลี่ยนสีเป็นไฟจราจรอีกรอบแล้วในขณะนี้ “ขำๆ น่าพ่อ อย่าคิดมากสิ ผมไม่อยากเห็นพ่อซีเรียส ก็แค่นั้นแหละ” ธนูถอดหมวกก้มหัวให้ผู้เป็นพ่อ แล้วหันไปก้มหัวให้ภูผากับตำรวจคนอื่นๆ หน้าเป็นไม่เปลี่ยน แม้ในยามหันหลังเดินจากไป ก็ยังซ่อนรอยยิ้มทะเล้นไว้ในเงามืดแห่งราตรี ...ไม่มีเป็ด ไม่มีเครื่องบันทึกเสียงหรือลำโพงขนาดจิ๋ว ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าบนศีรษะหรือข้างในหมวก ซ้ำพอโยนหมวกทรงสูงขึ้นไปบนอากาศ ก็กลับกลายเป็นหมวกกันน็อคตกลงมาในพริบตาเดียวราวกับมายากลโยนบอล Juggling ระหว่างที่เขาถอดเสื้อสูทสีขาวออกมากลับด้าน ให้กลายเป็นแจ็คเก็ตสีดำสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วย “โห...” เสียงเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ดังห่างออกไปไกลแล้ว แต่บรรดาจ่าๆ ทั้งหลายก็ยังไม่เลิกฮือฮากับความมหัศจรรย์ของธนูที่ไม่รู้ว่าเป็นมายากลหรือวิทยาศาสตร์กันแน่... แม้แต่คนเป็นพ่อก็เถอะ ! “ลูกบ้าเอ๊ย !” ท่านนายพลยืนส่ายหน้ากับตัวเองคล้ายเอือมระอาเต็มที แต่หลังจากนั้นก็อดอมยิ้มไม่ได้ อารมณ์เดือดเมื่อครู่หายไปโดยไม่รู้ตัว พลอยทำให้ภูผาซึ่งยืนมองอยู่อดอมยิ้มให้กับพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้เช่นกัน   ขณะที่อีกมุมหนึ่งของท้องฟ้า ใจกลางกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ท่ามกลางแสงไฟของตึกระฟ้าที่ยังคงแข่งกันส่องแสงระยิบระยับหลากสีสันแทนหมู่ดาว ซึ่งแทบไม่ได้ทำหน้าที่ของมันเลยแม้ในเวลาเที่ยงคืนเช่นนี้ รถราวิ่งไปมาบนท้องถนนที่ไม่เคยว่าง เช่นเดียวกับคนบางกลุ่มที่ไม่ยอมหลับใหล ซ้ำยังถือวิสาสะปลุกคนอื่นในยามวิกาลโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่นั่นก็อาจจะเพราะกฎหมาย... ทำอะไรคนบางกลุ่มในประเทศนี้ไม่ได้... ล่ะมั้ง “เฮ้ย ! นี่พวกแกเป็นใครเนี่ย ! ?” ส.ส.โชคชัยลุกพรวดขึ้นจากที่นอน ทันทีที่ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าสิ่งที่สะกิดสะเกาเขาให้ตื่น หาใช่นิ้วเรียวๆ ของภรรยาคนสวย แต่เป็นไม้เกาหลังจากมือชายในชุดไอ้โม่งดำ 1 ในบรรดากลุ่มคนที่เข้ามายืนอยู่ข้างเตียงขนาดบิ๊กไซส์ของเขา “ว้าย ! คุณคะ พวกนี้เข้ามาได้ยังไง รีบกดกริ่งเรียกบอดี้การ์ดสิคะ เฝ้าบ้านกันยังไง มันน่าไล่ออกซะจริงๆ” ภรรยาสาวร่างระหงในชุดนอนผ้าแพรเนื้อละเอียด ลุกขึ้นนั่งเกาะแขนสามี สีหน้าไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกหวาดกลัว ซ้ำยังกวาดตามองแขกไม่ได้รับเชิญทั้งหมดอย่างรังเกียจ “โกงเงินภาษีประชาชน แล้วยังมามองจิกตาใส่คนเสียภาษีแบบนี้ ยิ่งอภัยให้ไม่ได้เข้าไปใหญ่” เขาคนนั้นส่งไม้เกาหลังให้คนข้างๆ ซึ่งรับมาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่คนที่ไม่พอใจอย่างมากกับคำพูดของเขา ก็คือ ท่านส.ส.กับภรรยาสาวผู้ถูกพาดพิงเสียๆ หายๆ “มันจะมากไปแล้วนะ ถ้าฉันฟ้องหมิ่นประมาทแล้วพวกแกจะหนาว !” ส.ส.โชคชัยชี้หน้าเจ้าของคำพูด ท่าทางโกรธจัด “ใครกันแน่ที่จะหนาว อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักพวกเรา” เขาเปลี่ยนเป็นยืนล้วงกระเป๋ายิ้มๆ ไม่สะทกสะท้าน “พวกแกเป็นใครฉันไม่สนหรอก เดี๋ยวคนของฉันขึ้นมา แล้วก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะหนาว !” คุณผู้หญิงของบ้านเชิดหน้าพูดเยาะๆ แต่กลับถูกอีกฝ่ายหัวเราะใส่หน้า “ฮะๆ ๆ พวกนั้นไม่มีทางขึ้นมาได้แล้ว เอาภาพให้ท่านดูเป็นบุญตาหน่อยซิ !” กล้องวีดีโอรุ่นใหม่ล่าสุด คมชัดทั้งภาพและเสียง ถูกยื่นมาตรงหน้าสองสามีภรรยา ซึ่งต่างนั่งตัวแข็งไปกับภาพลูกน้องบอดี้การ์ดมือดีนับสิบที่พากันนอนหมดสภาพ ทั้งจากฤทธิ์ยานอนหลับและหมัดแข็งๆ ที่ตะบันเข้าหน้าจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ “พะ... พะ... พวกแกต้องการอะไร ! ?” ส.ส.โชคชัยละล่ำละลักถามปากคอสั่น กลบเกลื่อนมือสั่นๆ ที่ค่อยๆ เอื้อมไปยังสวิชต์แจ้งเหตุฉุกเฉินข้างเตียง แต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่รู้ “เปล่าประโยชน์น่าท่าน ส.ส. กดไปมันก็ไม่ดังหรอก ก็เหมือนกับกล้องวงจรปิดรอบบ้านนั่นแหละ เปิดดูก็มีแต่ภาพดำปี๋” “คุณคะ !” คราวนี้ความหวาดกลัวแทรกซึมอณูของมัน เข้าไปในทุกตารางนิ้วหัวใจของหยิงสาวคอระหงได้สำเร็จ ทั้งภาพวีดีโอที่ได้เห็น น้ำเสียงเย้ยหยันเยือกเย็นที่ได้ยิน นัยน์ตาว่างเปล่าหลายคู่ที่จ้องมองมา รวมทั้ง... หนทางหนีที่มืดแปดด้าน มันทำให้ทั้งคู่ล่วงรู้ถึงความพ่ายแพ้ที่คืบคลานเข้ามารออยู่แล้ว “แกต้องการอะไรกันแน่ ชีวิตฉันหรือไง ! ?” ส.ส.โชคชัยกัดฟันถามแค้นๆ มือข้างหนึ่งกอดปลอบภรรยาสาวที่กระเถิบมากอดแขนตัวสั่นงันงก ไม่หลงเหลือท่าทางอวดดีเมื่อครู่ให้เห็น “ชีวิตเหรอ เอาไปทำอะไรเล่าชีวิตของท่านน่ะ เอาเป็นว่าอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน ผมรับรองว่าพรุ่งนี้ท่านจะต้องได้เจอกับนักข่าวที่เข้ามารุมล้อมสัมภาษณ์เหมือนเดิมแน่ๆ ออกจะมากกว่าทุกวันเสียด้วยล่ะมั้ง” เขาหัวเราะสนุกแล้วถอยออกมา ปล่อยให้ไอ้โม่งคู่อ้วน - ผอมเข้ามาจัดการมัดสองสามีภรรยาเจ้าของบ้านอย่างแน่นหนาด้วยเงื่อนตาย และหลังจากนั้น... “เอาล่ะ ! หน้าที่ใครหน้าที่มัน” ชายหนุ่มให้สัญญาณ แล้วยืนกอดอกมองเพื่อนร่วมแก๊งแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง คนหนึ่งตรงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ภายในห้อง โดยมีอีกคนตามไปติดๆ ขณะที่อีก 2 คนเดินกลับลงไปที่ชั้นล่างของคฤหาสน์หลังงาม “นี่ ! จะทำอะไรกับเงินฝากของฉันน่ะ ! ?” ส.ส.โชคชัยร้องถามฉุนๆ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเปิดหน้าบัญชีเงินฝากจำนวนหลายร้อนล้านของตนผ่านเว็บไซต์ธนาคาร “ถามโง่ๆ ไปได้ ก็เอาเงินที่ท่าน ส.ส.โกงประชาชนมา ไปให้คนที่เขาสมควรจะได้น่ะสิ” เขากอดอกตอบสีหน้าเรียบเฉย “แกจะบ้าหรือไง นั่นมันเงินของฉันนะ !” บางครั้งความโลภก็เสนอหน้ามาก่อนความรักตัวกลัวตาย “ช่างเถอะค่ะคุณ ! ถ้าเราไม่ให้รหัสผ่านมันซะอย่าง พวกมันก็ไม่มีทางทำอะไรได้” คุณผู้หญิงของบ้านโพล่งขึ้นแค้นๆ แต่กลับถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะอีก “รหัสผ่านเหรอ ฮะๆ ๆ ไม่จำเป็นสำหรับแฮกเกอร์มืออาชีพหรอกครับคุณผู้หญิง” “ฮะ... แฮกเกอร์มืออาชีพ ยะ... อย่าบอกนะว่า พะ... พะ... พวกแก คือ...” ความหวาดกลัวสุดขีดก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้วล่ะครับท่าน ส.ส. คิดว่าท่านจะไม่รู้จักพวกเราซะอีก” เขายิ้มเหี้ยมตอบอย่างอารมณ์ดี “ในนามแก๊งองค์กรลับใต้ดิน พวกโกงชาติจะต้องหมดไปจากแผ่นดิน เงินทั้งหมดจะต้องกลับคืนสู่กลุ่มคนที่สมควรจะได้รับ และโทษของการทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว... พวกมันจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม ! !”

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

กับดักรักวันสงกรานต์

read
8.3K
bc

มาลินีและโสภี

read
1K
bc

บอสเจ้าเล่ห์กับยัยสายเปย์ตัวแสบ

read
4.1K
bc

ลูกสาวของอาฉ่า

read
1K
bc

มาลัยนารี

read
1K
bc

ซ้อนกลรัก

read
1K
bc

Friend (เฟรนด์)

read
1K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook