บทที่ 2 ชีวิตอาภัพ

1676 คำ
ทางด้านคุณแม่ลูกหนึ่งกำลังกอดอกอบรมสั่งสอนลูกชายสุดดื้อด้วยใบหน้าดุดัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกทำพฤติกรรมไม่น่ารักกับผู้ชายที่เข้ามายุ่งกับเธอ ในฐานะแม่เธอไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กนิสัยไม่ดี ทว่าเจ้าตัวแสบกลับไม่ฟังแถมยังงอนตุ๊บป่องๆ เถียงคำไม่ตกฟากอีกต่างหาก ไม่ว่ามารดาจะพูดอะไรตาหนูตัวกลมก็ไม่ยอมเชื่อ “น้องจะงอนมี้แบบนี้ไม่ได้นะ น้องเป็นคนผิด” กระปุกจ้องมองลูกชายสุดดื้อตาเขียว ไม่รู้ทำไมยิ่งโตยิ่งดื้อ เวลาบอกให้ทำอะไรมักจะมีข้อต่อรองเสมอ “ไม่ผิดคับมี้ เจ้าป่าไม่ชอบตาแก่ผมขาว หึ” เด็กอ้วนเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ปากน้อยขมุบขมิบไม่พอใจเมื่อคิดถึงไส้กรอกที่อยากกินแต่อดกิน เพราะแม่อุ้มตัวเองกลับมาที่ห้องเสียก่อน “แน่ะไปเรียกเขาแบบนั้นอีก เรียกลุงก็พอครับ” เธอละเหนื่อยใจกับความหัวรั้นของลูกชาย ตั้งแต่กลับมาเธอสอนให้ลูกเรียกภูวิศว่าลุงแต่ลูกกลับเรียกเขาว่าตาแก่ผมขาวไม่หยุด “หึ ตาแก่ผมขาวนิฉัยไม่ดี มาแย่งไฉ้กอกของเจ้าป่า” คิ้วที่พาดอยู่เหนือดวงตากลมโตขมวดติดกันบ่งบอกถึงอารมณ์ขุ่นเคือง ภาพไส้กรอกย่างหอมๆ ลอยเข้ามาในหัวของเด็กน้อย เจ้าป่าทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเมื่อคิดถึงใบหน้าของตาแก่ผมขาวคนนั้น “เดี๋ยวเราค่อยไปซื้อวันหลัง วันนี้กินข้าวฝีมือมี้ทำก่อนนะครับ” มารดาของเจ้าตัวพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จริงๆ ก็แอบดีใจที่ลูกไม่ได้กินของไร้ประโยชน์แบบนั้น “ว่ายังไงครับ กินข้าวฝีมือมี้ได้ไหมเอ่ย” คุณแม่ลองถามอีกครั้งหลังจากยกมือขึ้นมาลูบหัวลูกชาย คนอยากกินไส้กรอกนิ่งไปชั่วครู่ขณะใช้ความคิด ดวงตาไร้เดียงสาเหลือบไปมองห้องครัวก่อนจะกลับมาจ้องหน้ามารดา สุดท้ายก็ตัดสินใจพยักหน้าตกลง “คับ เจ้าป่าจะกินพะโย้” “ได้ครับลูก” “เอาพะโย้หมูห้าชั้น” นิ้วที่มีขนาดไม่ต่างจากแง่งขิงกางออก เหมือนกับตอนที่อยากกินไส้กรอกไม่มีผิด ปากน้อยยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงเนื้อหมูนุ่มๆ ในน้ำพะโล้แสนอร่อย จินตนาการของลูกชายทำให้มารดาขำจนน้ำตาไหล ไม่รู้เจ้าป่าเอาเนื้อหมูห้าชั้นมาจากไหน “ฮ่าๆๆๆ มันมีที่ไหนกัน มีแค่หมูสามชั้นเท่านั้นครับ” “เฮ้อ เช็งเยยไม่มีหมูห้าชั้นหยอ อืมเอาหมูฉามชั้นก็ได้” เจ้าเด็กแก่แดดส่ายหน้าอ่อนใจ ก่อนจะก้าวขาไปเล่นตัวต่อเลโก้ตรงมุมห้อง ถึงจะอาศัยอยู่ในห้องแคบๆ แต่กระปุกอยากให้ลูกมีพื้นที่ส่วนตัวจึงจัดมุมที่เอาไว้เล่นได้ “มี้ไปทำกับข้าวก่อน เจ้าป่าเล่นกับพี่หมีไปก่อนนะ” “คับมี้ เย่นกันฉองคนนะพี่หมี” เด็กน้อยหันไปคุยกับพี่หมีเน่าด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน กระปุกเห็นลูกชายจดจ่ออยู่กับของเล่นและพี่หมีตัวโปรดจึงเดินออกไปหลังห้องซึ่งเป็นจุดที่วางเครื่องครัว เธอเช่าห้องเล็กๆ อยู่ในซอยคับแคบเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยเงินเดือนอันน้อยนิด ไหนจะค่าเล่าเรียนลูก บวกกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวันมันทำให้เธอไม่มีสิทธิ์เลือก แม้ว่าหอพักแห่งนี้จะอยู่ในย่านชุมชนแออัด แต่ก็มีข้อดีตรงราคาถูก “เฮ้อ แกทำดีที่สุดแล้วกระปุก” เมื่อหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีตก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ หากวันนั้นเธอไม่ตัดสินใจอุ้มลูกออกมาจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ป่านนี้ลูกอาจจะไม่ได้เติบโตเพราะถูกคนใจร้ายจ้องจะฆ่าให้ตาย “อีกไม่นานชีวิตต้องดีขึ้น แกต้องเชื่อมั่นในตัวเองกระปุก แกต้องสู้ ต้องอดทนเพื่อเจ้าป่า” หญิงสาวให้กำลังใจตัวเองเสร็จก็เริ่มไปรื้อข้าวของในตู้เย็นออกมา แต่เรื่องของผู้ชายที่ตนเองไปมีสัมพันธ์ด้วยกำลังเข้ามากวนใจจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงได้เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อคิดถึงดวงตาของเขา เรื่องราวในค่ำคืนนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำ บอกตามตรงว่าเธอไม่เคยเสียใจที่ยอมให้เขาเป็นผู้ชายคนแรก “มี้คับ” เด็กมีน้ำใจเดินมานั่งตรงหน้าแม่ แต่แม่กลับใจลอยคิดถึงแต่เรื่องวันวาน เจ้าป่าเห็นว่ามารดาไม่สนใจตนเองจึงลุกขึ้นมาหอมแก้มเสียงดังฟอด “อุ๊ยตกใจหมดเลย น้องมาทำไมครับ” “เจ้าป่ามาช่วย ทำอะไยดีน้า” “ช่วยกวนมี้มากกว่า น้องไปเล่นเถอะมี้ขอทำคนเดียว” “ไม่ได้ฉิ เด็กดีต้องมีน้ำใจยู้ไหม” ปากบอกว่ามาช่วยเพราะมีน้ำใจแต่สายตากลับเหลือบไปมองตู้เย็นที่มีนมวางอยู่ข้างใน เด็กชายเจ้าป่ายิ้มแป้นหลังจากดึงสายตากลับมาจ้องตาแม่ “ทำอะไยดีน้า ติ๊กต็อกๆ ทำอะไยดี” “น้องอยากช่วยมี้ใช่ไหมครับ งั้นนั่งลงเลย” กระปุกเห็นสายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นก็รู้ถึงจุดประสงค์ของการมาช่วย แต่ในเมื่อลูกชายมีน้ำใจเธอก็ไม่อยากขัดจึงบอกให้เด็กฉลาดเกินวัยนั่งลงบนพื้น จากนั้นก็เดินไปหยิบไข่ในหม้อที่ต้มเอาไว้แล้วมาใส่ถ้วยพร้อมกับน้ำเปล่า “น้องปอกเปลือกไข่นะครับ” เธอดันถ้วยไปข้างหน้าเล็กน้อย “เอากี่อันคับมี้ ฉามอันหยอ” อยู่กันสองคนแต่อยากปอกเปลือกไข่ตั้งสามฟองไม่ต้องบอกว่าสองฟองเป็นของใคร “ครับ แต่ไข่เขาเรียกว่า ‘ฟอง’ ไม่เรียก ‘อัน’ ครับลูก” “ปอกเปือกไข่ต้มฉามฟอง” “เก่งมากครับ ลงมือได้เลยครับ” เจ้าตัวแสบพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะลงมือปอกไข่ตามที่เคยถูกสอนมา กระปุกมองสภาพชีวิตของลูกชายแล้วอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ ทำไมเธอถึงเกิดมาอาภัพนัก ทำไมถึงมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกชายไม่ได้ ทำไมนะทำไม และอีกมากมายกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ พลันน้ำใสก็รื้นขอบตาเมื่อนึกถึงคำพูดดูถูกจากคนเป็นป้าแท้ๆ ‘นังหลานอกตัญญู กูสู้อุตส่าห์หาเสี่ยแก่ๆ รวยๆ มาให้แต่มึงกลับร่านไปนอนกับผู้ชายจนท้อง มึงก็ไม่ต่างจากแม่ของมึงเลย อีลูกไม่มีพ่อ อีคนร่าน’ ‘หนูท้องไม่มีพ่อดีกว่าไปเป็นเมียน้อยไอ้เสี่ยชั่วนั่น ชาตินี้หรือชาติไหนหนูไม่มีวันยอมเป็นเมียของมัน’ ‘อีเด็กปากดี ตัวมึงเองยังเอาไม่รอดแล้วจะมีปัญญาที่ไหนมาเลี้ยงไอ้มารหัวขนนี่ฮะ ไปเอามันออกซะ แล้วกูจะไปคุยกับเสี่ยให้ เสี่ยเขาชอบมึงมากรู้ไหม แค่นี้เสี่ยไม่ถือสาหรอก’ ‘ไม่เด็ดขาด ลูกของหนู ใครก็พรากไปไม่ได้ทั้งนั้น’ ‘อีกระปุก’ เพียะ! ‘อีหลานเนรคุณ’ เพียะ! ‘ต่อให้ป้าตบหนู ตีหนู ยังไงหนูก็จะไม่เอาเด็กออก ลูกของหนูต้องได้เกิดมา’ ‘เออ แล้วกูจะคอยดูน้ำหน้าคนอย่างมึง ดูซิจะทนเลี้ยงไอ้มารหัวขนไปได้นานแค่ไหน’ หญิงสาวหลุดออกมาจากห้วงของความคิด เมื่อมีมือน้อยๆ ที่ชุ่มไปด้วยน้ำมาจับตรงแก้ม เหมือนเจ้าป่าจะรับรู้ได้ว่ามารดากำลังตกอยู่ในอารมณ์เศร้าจึงก้มลงไปหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา เสียงดังฟอดใหญ่ “น้องรักมี้ไหมครับ” “เจ้าป่ายักมี้คับ” เจ้าเด็กอยู่เป็นบอกรักแม่เสียงหวาน ก่อนจะพูดต่ออีกว่าเด็กดีต้องได้รางวัล จากนั้นก็ชี้ไปที่ถ้วยไข่ต้มซึ่งปอกเปลือกเสร็จหมดแล้วทั้งสามฟอง แต่ยังเหลืออีกสองฟอง กระปุกส่ายหน้าให้กับความน่ารักของเด็กชอบกิน เธอไม่เคยเสียใจเลยที่ตัดสินใจเก็บลูกเอาไว้และเลี้ยงดูมาจนถึงทุกวันนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เธอแคร์เพียงเจ้าป่าเท่านั้น เธอยอมทำทุกอย่างขอแค่ได้เห็นลูกชายมีความสุข “แล้วน้องอยากได้อะไรครับ” “ยดตักดินแบบพี่กำปั้นคับมี้” “รถอะไรนะครับ รถตักดินเหรอ” “ยดตักดินคันใหญ่เบ้อเย่อ” เพียงได้ยินของที่ลูกชายอยากได้แม่แทบจะปาดเหงื่อเพราะรถแบบนั้นราคาตั้งเกือบพัน หากซื้อให้ลูกเล่น เกรงว่าเดือนนี้เธอกับลูกจะต้องกินข้าวกับไข่และปลากระป๋องไปอีกหลายมื้อ จู่ๆ ใบหน้าของภูวิศก็ลอยเข้ามาในหัว หรือเธอควรไปบอกความจริงกับเขาดีว่าแท้จริงแล้ว เด็กชายเจ้าป่าคือลูกชายเขา เผื่อชีวิตของลูกจะดีขึ้น มีเงิน มีทอง มีของกินของใช้ดีๆ มีเสื้อผ้าราคาแพงๆ ใส่ไม่ต้องมาลำบากแบบนี้ “ไม่ๆ ถ้าบอกเขาแล้วเขาไม่ยอมรับ เราก็หน้าแตกสิ ช่างมันลูกชายคนเดียวเราเลี้ยงเองได้” คุณแม่ลูกหนึ่งพึมพำหลังจากมองยอดเงินในบัญชีที่มีอยู่น้อยนิด ก่อนจะหันไปมองเด็กขยันที่กลับไปนั่งปอกเปลือกไข่อีกสองฟองด้วยความตั้งใจ ขณะที่คนอยากได้ของเล่นทุกลมหายใจ ก้มหน้าก้มตาปอกเปลือกไข่จนกระทั่งไม่เหลือจึงยกมือขึ้นมาค้างไว้กลางอากาศ พร้อมกับบอกมารดาด้วยน้ำเสียงดีใจ “เย่ หมดแย้วคับมี้ ไปชื้อยดตักดินกัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม