07

3512 คำ
ฉู่ซินเยว่ครุ่นคิดอยู่หลายวัน แต่กลับยังคิดไม่ตกเรื่องทอง นางพยายามค้นความทรงจำเท่าที่นางมี แสดงว่ากุญแจที่เจียงฮุ่ยขอกับนางในครั้งนั้น และปริศนาบนฉากกั้นของท่านแม่ย่อมหมายถึงทรัพย์สินพวกนี้ ท่านพ่อร่ำรวยมั่งคั่งได้จากของพวกนี้เช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดกันบุตรชายของนางถึงต้องการทองพวกนี้ หรือว่ามันคือเงินตราที่ใช้เลี้ยงกองทัพเพื่อทำการกบฏ น่าเสียดายนักที่นางไม่เคยให้ความ สนใจเรื่องการเมืองเลยแม้แต่น้อย นางแทบไม่รู้อะไรเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว หรือว่ามันจะมาจากลิ่งกุ้ยเฟย “คุณหนูท่านยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิงถามคุณหนูที่เอาแต่นั่งหน้าเคร่งเครียดเรื่องทองคำที่นำมา ความจริงนางเองก็คิดมากไม่ต่างจากคุณหนู เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่อันตรายถึงแก่ชีวิต ท่าทางของนายท่านวันนั้นมันชัดเจนมากว่านายท่านต้องการปิดบังทรัพย์สินในห้องลับ แต่คุณหนูกลับไปล่วงรู้ความลับนั้นแล้ว เช่นนี้จะไม่อันตรายเกินไปหรอกหรือ “ข้าไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไร แต่ข้าอยากได้” ฉู่ซินเยว่กล่าวตามตรง แต่เสี่ยวชิงนั้นไม่เห็นด้วย คุณหนูไม่ใช่คนโลภมาก ทรัพย์สินพวกนั้นมากมายก็จริง แต่ถ้ามันอันตรายมากเกินไปก็ไม่ควรจะทุ่มเทสุ่มเสี่ยงที่จะลักขโมยของพวกนี้ “คุณหนู ท่านไม่ควรทำผิด” “ของพวกนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ของคนตระกูลฉู่สักหน่อย” ฉู่ซินเยว่งึมงำ ทว่า… นางกลับนึกถึงเรื่องราวที่นางเคยได้ยิน แต่ไม่เคยใส่ใจ เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง นางเคยแอบได้ยินบุตรชายคุยกับองค์ชายสิบเรื่องชาติของกำเนิดฮองเฮา นั่นเป็นความลับที่แทบไม่มีใครรู้นอกจากเสนาบดีเจี้ยนคัง กับองค์ชายสิบ และมีเพียงแม่ทัพผู้ภักดีกับราชวงศ์เฉิงฮัวไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบ แท้จริงแล้วมารดาของฮองเฮาองค์ปัจจุบันคือพระราชนัดดาสายตรงของราชวงศ์เฉิงฮัว องค์หญิงฮั่วมู่หลินผู้ทรงพระสิริโฉมงดงาม นางงดงามเป็นที่พึงพอใจของเสนาบดีเจี้ยนคัง เขาจึงนำนางมาเก็บไว้ภายในจวน โดยไม่มีผู้ใดทราบเลยแม้แต่คนเดียว และฮองเฮาก็คือบุตรสาวของเสนาบดีเจี้ยนคังกับองค์หญิงฮั่วมู่หลิน หรือว่า… เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกันทั้งหมดเลยนะ “คุณหนู แล้วหากท่านเอาของพวกนั้นออกมา นายท่านจะต้องตามหาอย่างแน่นอน คุณหนูบอกว่าของพวกนั้นมีมากมายไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วท่านจะนำของออกมาได้อย่างไร” เสี่ยวชิงกล่าว ฉู่ซินเยว่จำได้ว่านางคำนวณด้วยสายตาก็มีทองมากมายนับร้อยหีบ หากนางขโมยออกไปจริงๆ ท่านพ่อก็ใช่ว่าจะตรวจสอบได้ง่ายนัก ของมากมายขนาดนั้น คนรู้ก็น่าจะมีแค่ท่านพ่อ กับอนุอี้ ท่านพ่อคงไม่นึกสงสัยอะไรมากมายนักหรอก แต่นางอยากได้ทั้งหมดเนี่ยสิ ไม่ใช่แค่หีบสองหีบ “คิดไม่ออกเลยเสี่ยวชิง” “หรือว่าท่านควรถามแม่นมเหล่ยดีหรือไม่เจ้าคะ” “แม่นมเหล่ยหรือ” ฉู่ซินเยว่ขมวดคิ้ว นางไม่ได้ยินชื่อแม่นมเหล่ยมานานมากแล้ว ภายหลังท่านแม่ตายจากไป แม่นมเหล่ยก็เก็บข้าวของออกจากจวนไปเลย ผู้คนมากมายบอกว่านางอยากมีอิสระ อยากไปแต่งงานกับบุรุษอันเป็นที่รัก เมื่อหมดหน้าที่จึงได้รีบจากไป เดิมทีนางก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อนางใช้ชีวิตมาถึงสองชีวิตแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แม่นมเหล่ยที่ดูแลรับใช้มารดานางมาหลายสิบปีจะหนีหายไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน อีกอย่างนางก็อายุไม่น้อยแล้ว จะแต่งงานกับผู้ใดใครเล่า “เรื่องนี้คุณหนูไม่ทราบ แม่นมเหล่ยรีบออกไปเพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่าง นางถูกทำร้ายจนเกือบตาย ตอนนี้อาศัยอยู่ในตรอกเล็กใกล้ประตูเมือง ความจริงข้าติดต่อกับแม่นมเหล่ยมาสองปีแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงกล่าว นางเล่าไม่หมดเพราะกลัวว่าคุณหนูจะตกใจ แม่นมเหล่ยถูกทำร้ายจนแขนขาพิการผิดรูป หน้าตาก็บูดเบี้ยวจนจำเค้าเดิมไม่ได้เลยสักนิด ดวงตาก็มืดบอดไปข้างหนึ่ง ตอนนั้นนางพบแม่นมเหล่ยที่กำลังนั่งขอทานในสภาพน่าเวทนา เมื่อได้รู้จึงได้มอบเงินช่วยเหลือมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้กล้าที่จะบอกกล่าวกับคุณหนู กลัวว่าหากคุณหนูไม่พอใจ นางจะไม่อาจมาพบ หรือช่วยเหลือแม่นมเหล่ยได้อีก “แม่นมเหล่ยคงรู้เรื่องนี้ ถึงได้ถูกทำร้าย” “เช่นนั้นคุณหนูจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ” “ข้าอยากพบนาง” “เช่นนั้นข้าจะรีบไปจัดการให้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงรับคำ ฉู่ซินเยว่ถอนหายใจ แม่นมเหล่ยต้องรู้เรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางจะรีบหนีออกจากจวนไปทำไมกัน ท่านแม่ของนางรักและเคารพแม่นมเหล่ยเพียงใด แม้นางยังเยาว์วัย แต่นางก็จดจำได้ถึงความเคารพรักที่ท่านแม่มีต่อแม่นมเหล่ย “พี่รอง ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงใสของเด็กสาววัยสิบขวบปีวิ่งเข้ามาหาฉู่ซินเยว่ นางไม่ค่อยอยากจะปั้นหน้าทำเป็นคนดีสักเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรตอนนี้ฉู่รั่วหลานก็เป็นเพียงเด็กแค่สิบขวบเท่านั้น แม้ว่าชาติก่อนฉู่รั่วหลานจะเป็นคนบีบคั้นให้ฉู่ซินเยว่ต้องปลิดชีพตนเอง แต่ในตอนนั้นนางก็ไม่มีวันได้ออกจากคุกหลวง ทรัพย์สินพวกนั้นยกให้คนที่มีสายเลือดตระกูลว่านก็นับว่าไม่ผิดนัก อีกอย่างนางก็เป็นคนปรารถนาต่อความตายเอง “ข้ากำลังปักผ้า” “ปักผ้าลายอะไรหรือเจ้าคะ ต้องปักกรอบเสียใหญ่โตเลย” ฉู่รั่วหลานเป็นเด็กพูดมากคนหนึ่ง แม้ว่าฉู่ซินเยว่จะมีความแค้นกับนางอยู่บ้าง แต่เมื่อนางได้กลายเป็นมารดาคนแล้ว เมื่อเห็นเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโต ในใจของนางจึงรู้สึกอ่อนลงอย่างบอกไม่ถูก หากว่าฉู่รั่วหลานเติบโตมาด้วยความคิดที่ดี บางทีมันอาจจะนำพาเส้นทางชีวิตของนางให้ดีขึ้น โดยที่ไม่ต้องกลับไปซ้ำรอยเดิม “ปลาหลี่ฮื้อกระโดดผ่านประตูมังกร” “มีหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” “ภาพนี้หมายถึงความพยายาม แต่ข้ายังปักไม่เสร็จหรอกนะ” “เช่นนั้นภาพนี้ข้าขอได้ไหมเจ้าคะ” “เจ้าขี้ขอนัก เหตุใดชอบทำตัวราวกับขอทานน้อย หากอยากได้ไม่ไปขอท่านพ่อเล่า ที่เรือนของท่านพ่อ มีผ้าปักผืนงามตั้งมากมาย อนุอี้ฝีมือดีกว่าข้าเป็นไหน” “ของพวกอนุชั้นต่ำมีอะไรดีกัน” ฉู่รั่วหลานกล่าวอย่างเอาแต่ใจ แน่นอนว่านางเป็นลูกคนเดียวของว่านเหมยเฟิง นิสัยของนางจึงได้รับสืบทอดมาจากมารดาทั้งหมด ว่านเหมยเฟิงมีอดีตที่น้อยคนนักจะทราบ นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุของท่านตาที่ตายจากไป ทำให้ท่านยายนำว่านเหมยเฟิงมาเลี้ยงเหมือนบุตรสาวคนหนึ่ง ทำให้ฐานะของว่านเหมยเฟิงไม่ใช่บุตรสาวอนุ แต่ทว่า… มันก็คงเป็นปัญหาที่นางถือสามากทีเดียว “อย่าไปพูดเช่นนั้นให้ท่านพ่อได้ยินเชียว เจ้าไม่ชอบอะไรก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจเข้าใจหรือไม่” “แล้วทำไมข้าต้องเก็บด้วย หรือว่าท่านชอบพวกมันเจ้าคะ” “รั่วหลานเจ้ายังเด็ก กิริยามารยาท คำพูดคำจาของสตรีนับเป็นสิ่งสำคัญ จะให้ใครมาตำหนิเราไม่ได้เด็ดขาดเข้าใจหรือไม่” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางมารน้อยในยามนี้ยังไม่เติบโตมาชั่วร้าย หากนางพอที่สั่งสอนได้อยู่บ้างนางก็อยากจะทำดีด้วย อย่างน้อยในอดีตที่ผ่านมา ฉู่รั่วหลานก็เป็นคนมอบเส้นทางแห่งความตายให้แก่นาง ไม่ต้องทำให้นางทุกข์ทนทรมานมากจนเกินไปนัก “ท่านไม่ต้องมาสั่งสอนข้า” “เด็กคนนี้ มาถึงก็โวยวาย แล้วเจ้าจะเอาอะไร” “ข้าอยากเครื่องประดับ พี่รองมีเยอะ พี่รองต้องแบ่งให้ข้าบ้าง” “ข้าไม่ให้ เด็กนิสัยไม่ดีอย่างเจ้า สวมใส่อะไรก็ดูน่าเกลียด” ฉู่ซินเยว่กล่าว ของที่นางให้ฉู่รั่วหลาน ไม่สู้นางเก็บเอาไว้ให้สะใภ้ในอนาคตนางไม่ดีกว่าหรือ หากว่าเจียงฮุ่ยของนางมีภรรยามีบุตร ถึงตอนนั้นหลานของนางอยากจะใส่อะไรก็มีมากมายให้เลือกสรร ทำไมนางถึงจะต้องมอบของของนางให้แก่ผู้อื่นกัน “ข้าจะฟ้องท่านแม่” “อย่าได้เสียมารยาท นางเป็นพี่สาวเจ้า” เสียงดังของบุรุษคนหนึ่งทำให้เด็กน้อยวัยเพียงสิบขวบตกใจผวาเข้ามากอดฉู่ซินเยว่ด้วยความกลัว ฉู่รั่วหลานกลัวฉู่เหรินเจี้ยนมาก แม้จะรังเกียจที่เขาเป็นบุตรอนุ แต่ใครต่างก็ดูออกว่าท่านพ่อให้ความสำคัญกับพี่ชายคนนี้มากขนาดไหน “พี่ใหญ่น้องสี่ยังเด็ก อย่าดุนางเลยเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่กล่าวทักทาย นางรู้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้จะต้องมาหานางในอีกไม่ช้า ฉู่เหรินเจี้ยนไม่ค่อยมีเงินทองใช้สอยมากนัก เรื่องนี้แม่นางอันอันก็เคยประจานเขาอยู่ในศาลครั้งนั้น แต่ภายหลังก็บอกว่าฉู่เหรินเจี้ยนนั้นมีเงินมากผิดปกติ เช่นนี้แล้วมันก็สอดคล้องกับทรัพย์สินของท่านพ่อ เกรงว่าถึงตอนนั้นเขาก็คงมั่งคั่งร่ำรวยพอที่กล้าหักหลังองค์ชายสิบกับบุตรชายของนาง “รั่วหลานเจ้ากลับเรือนเจ้าไปก่อนไป” “เจ้าค่ะ” ฉู่รั่วหลานรับคำวิ่งหน้าตั้งออกไป ฉู่ซินเยว่หันไปพยักหน้ากับเสี่ยวชิง ความจริงนางตัดสินใจเรื่องแม่นางอันอันไวไปเสียหน่อย คิดดูแล้วนางต้องเสียเงินอีกมากทีเดียว กว่าจะถึงวันนั้นที่นางจะเป็นอิสระ ครั้นนางจะกำหนดกฎเกณฑ์อะไรมากก็กลัวว่าพี่ใหญ่ผู้นี้จะโกรธจนทำให้แผนการนางไม่เป็นไปตามความตั้งใจของนาง เอาเถอะเสียเงินมากสักหน่อย อย่างไรนางก็ตั้งใจจะขโมยทองท่านพ่ออยู่แล้ว “พี่ใหญ่ อีกไม่นานข้าได้ข่าวว่าจะมีงานที่บ้านตระกูลกวน ข้าอยากติดตามท่านไปด้วยเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่กล่าวตามตรง ความจริงในกลุ่มสหายของพี่ใหญ่ก็นับว่าเป็นพวกคุณชายปลายแถว ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมนัก แต่งานเลี้ยงใดในเมืองหลวงล้วนปรากฏตัวของกลุ่มพวกเขาเสมอ การที่นางติดตามฉู่เหรินเจี้ยนออกไปก็นับว่ามีโอกาสได้พบกับเจียงเว่ยหมิง หากจะให้นางกล่าวถึงเจียงเว่ยหมิงในตอนนี้ ภายในใจของนางย่อมมีความเคียดแค้นเขาอยู่มาก เขาเป็นคนสังหารบุตรชายของนาง ทั้งยังทอดทิ้งนาง ทำให้นางต้องมีชีวิตเหมือนตกนรกมานับสิบปี นางทั้งเกลียดทั้งชิงชัง แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้ว เจียงฮุ่ยคือบุตรชายที่เกิดจากเขาและนางร่วมกัน นางไม่อาจที่จะเปลี่ยนข้อนี้ได้ ฉู่ซินเยว่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงสิ่งใดมาก เพราะสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดคือ เจียงฮุ่ย มีเพียงวิธีเดียวที่นางจะได้บุตรชายก็คือ นางกับเขาจะต้องมีความสัมพันธ์กัน ฉู่ซินเยว่ไม่ไหว้พระ ไม่สวดมนต์ ไม่เชื่อเรื่องราวเหนือธรรมชาติ แต่การย้อนเวลากลับมาพิสูจน์แล้วว่าเรื่องเช่นนี้มีอยู่จริงๆ ทุกค่ำคืนนางมักจะจุดธูปขอพรพระโพธิสัตว์ปางประทานบุตรทุกวัน เพื่อขอให้พระองค์มอบเจียงฮุ่ยคืนให้แก่นางอีกครั้ง นางจะไม่ทำผิดอีกต่อไปแล้ว “เอาสิ เดิมทีข้าตั้งใจจะให้เจ้าไปงานนี้อยู่แล้ว จึงได้มาบอกเจ้า ไม่คิดว่าข่าวสารเจ้าจะเร็วขนาดนี้” “ไม่ขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ แต่ว่า… พี่ใหญ่ ท่านต้องพาน้องสามไปด้วยนะเจ้าคะ ถ้าข้าไปคนเดียวคงแปลกเกินไปหน่อย” ฉู่ซินเยว่กล่าว เสี่ยวชิงเดินเข้ามาก่อนจะวางตั๋วเงินจำนวนหนึ่งที่นับว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไปนัก ฉู่เหรินเจี้ยนยิ้มอย่างพอใจ ฉู่ซินเยว่ไม่ได้โง่เขลาและใจแคบอย่างที่เขาคิด นางเปิดโอกาสให้ฉู่หรูหยวนติดตามไปด้วย พวกนางสองคนมีช่วงวัยใกล้เคียงกัน ก็ถือว่าเหมาะสมที่จะออกงานเพื่อให้บุรุษได้ยลโฉม ฉู่เหรินเจี้ยนค่อนข้างแน่ใจว่าน้องสาวทั้งสองของเขามีรูปร่างหน้าตาที่ดีไม่น้อยหน้ากว่าคุณหนูตระกูลใด ทั้งมารยาทของพวกนางก็ได้รับการสั่งสอนมาดี ฮูหยินตระกูลขุนนางหลายตระกูลจะต้องชอบพวกนางสองคนอย่างแน่นอน “เจ้ารู้จักมารยาทดียิ่ง เช่นนั้นข้าจะขอให้ท่านพ่อจัดการเตรียมตัดชุดให้สำหรับเจ้าสองคน จะได้ไม่น้อยหน้าผู้อื่นในงาน” ฉู่เหรินเจี้ยนกล่าว เขาพึงพอใจอย่างยิ่งที่ฉู่ซินเยว่มอบเงินจำนวนมากให้แก่เขา ฉู่ซินเยว่เองก็ยิ้มตอบอีกฝ่ายที่เอาแต่ลูบเงินในมือ คนโลภเช่นนี้น่ะหรือที่ท่านพ่อวางใจให้เขามาดูแลทองใต้ดินนั่น… ไม่สู้ให้เจียงฮุ่ยหลานชายต่างแซ่ที่น่าภาคภูมิใจเป็นคนดูแลไม่ดีกว่าหรือ “คุณหนู ท่านจะไปพร้อมกับคุณหนูสามหรือเจ้าคะ” “แน่นอนสิ ข้าจะต้องให้นางโดดเด่นที่สุด” ฉู่ซินเยว่กล่าว เดิมทีนางไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อคิดถึงในอดีตที่ฉู่หรูหยวนมักจะชอบแสดงตนเทียบเคียงนางอยู่เสมอ ในงานเลี้ยงฉู่หรูหยวนมักจะแต่งกายโดดเด่นงดงามราวกับว่านางเป็นฮูหยินเอกตระกูลเจียง ทั้งที่ความจริงนางไม่เคยอนุญาตฉู่หรูหยวนให้ออกงานสักครั้ง แต่เพราะแม่สามีตัวดีนั่นแหละที่คอยกลั่นแกล้งรังแกนางอยู่เสมอ คิดดูแล้วนางสนับสนุนน้องสาวคนงามเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ ครั้งก่อนนางมีท่านแม่สามีช่วยเหลือ แต่ตอนนี้... ไม่มีอีกแล้ว “คุณหนูท่านลืมไปแล้วหรือเจ้า อนุอี้เป็นคนของใครมาก่อน นางเรียบร้อยเฉลียวฉลาดปานนั้น นางหรือจะทำให้บุตรสาวของตนเองโดดเด่นกว่าบุตรสาวภรรยาเอกอย่างท่าน” นั่นสินะ... เดิมทีอนุอี้เป็นคนของลิ่งกุ้ยเฟย… “จริงสินะ... เรื่องนี้หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมอีกแล้ว เห้อ… เรื่องพวกนี้มันซับซ้อนเสียจริง ไฉนตอนนั้นนางไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อยกัน” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางเคยคิดว่าตัวเองกลับมาพร้อมกับความทรงจำมากมายที่น่าจะเปลี่ยนเรื่องราวได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่าง นางกลับไม่รู้อะไรสักอย่างตั้งแต่แรก เรื่องของอนุอี้มีคนรู้ไม่มากนัก ที่เห็นจะมีก็แค่ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านแม่ว่านเหมยเฟิง และก็ตัวอนุอี้ เกรงว่าลูกทั้งสองของอนุอี้ก็คงไม่ทราบเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ ทำไมนางถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้กันนะ ไม่เช่นนั้นนางคงเตือนทั้งบุตรชาย และองค์ชายสิบให้ระวังฉู่เหรินเจี้ยน สุนัขมักซื่อสัตย์รับใช้นาง ไม่มีทางที่อนุอี้กับลูกของนางจะทรยศเจ้านาย “เอะใจอะไรกันเจ้าคะ คุณหนู” “ถ้าตอนนั้นข้ามีเจ้าอยู่ ชีวิตข้าอาจจะไม่ต้องพบจุดจบเช่นนั้นเลย บางทีเจ้าอาจจะเตือนเรื่องการเลี้ยงดูบุตรชายของข้าได้” ฉู่ซินเยว่พึมพำ นางมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง น้ำตาของพลันไหลออกมาทันที โชคชะตาฟ้าลิขิต ชีวิตของนางที่พลั้งพลาดไป มันมากมายเหลือคณา หากนางใส่ใจลูกชายสักนิด นางคงช่วยเขาให้ไปถึงฝั่งฝันได้ กว่าจะรู้ว่านางรักเลือดเนื้อของตัวเองขนาดไหนก็ต้องเห็นเขากลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว ฉู่ซินเยว่แทบจะอดทนรอไม่ไหว หากนางให้กำเนิดเจียงฮุ่ยอีกครั้ง เขาจะเป็นบุตรชายที่นางทุ่มเทความรักให้ทั้งหมดของหัวใจ นางจะเป็นมารดาที่ดี เอาใจใส่เขา ตามใจเขาทุกอย่างตามที่เขาปรารถนา แต่นางหวาดกลัวเหลือเกิน... กลัวว่านางจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างจนเขาจะไม่กลับมาหานางอีก “คุณหนู เหตุใดท่านพูดจาแปลกประหลาดนักเจ้าคะ” เสี่ยวชิงกล่าว แต่ไม่ได้ถามอะไรมากมาย เพราะรู้ว่าคุณหนูมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ได้สะดวกใจจะเล่าให้นางฟัง นางก็ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งของคุณหนูเท่านั้น แม้จะรู้สึกน้อยอกน้อยใจอยู่บ้าง ค่ำคืนนั้นฉู่ซินเยว่นอนหลับไปด้วยความทุกข์ใจจนนางเก็บเอาไปฝันร้ายจนนอนกระสับกระส่าย ในฝันของนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต ตรงหน้าของนางมีร่างไร้วิญญาณของบุตรชาย ฉู่ซินเยว่ได้แต่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในใจ จนกระทั่งนางต้องสะดุ้งมาในกลางดึก นางนอนหลับไม่ลงทั้งคืนเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องของบุตรชาย ในหลายวันถัดมาฉู่ซินเยว่พยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการนั่งปักผ้า ร้านผ้าที่ท่านพ่อให้ว่านเหมยเฟิงก็มาเตรียมตัดชุดให้แก่นาง และฉู่หรูหยวน ตอนนี้นางไม่คิดแย่งความโดดเด่นจากอีกฝ่ายอะไร เพราะอย่างไรแล้วอนุอี้ย่อมจัดการทุกอย่างให้บุตรสาว สู้นางใช้วิธีอื่นในการจัดการฉู่หรูหยวนดีกว่า อีกฝ่ายไม่น่าจะจัดการยากขนาดนั้น ตอนนี้ฉู่หรูหยวนอายุยังน้อยกว่านาง อีกฝ่ายย่อมไม่มีเล่ห์กลอะไรมากมายนัก “คุณหนู พวกเขาออกจากเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงกล่าว ฉู่ซินเยว่หยักหน้า พี่ชายของเสี่ยวชิง มู่หรงเลี่ยงก็เดินทางไปในครั้งนี้ด้วย ฉู่ซินเยว่เองก็ไม่ได้คิดจะลงมืออะไรอีก เพียงแต่ครุ่นคิดเรื่องที่นางก็คิดแทบไม่ออก หลายวันมานี้นางเหมือนวนอยู่ในอ่างที่ไร้หนทางออก ท่านพ่อกับอนุอี้ของนางย่อมมีบางอย่างที่เกี่ยวพันถึงลิ่งกุ้ยเฟย เกรงว่าเหตุการณ์การกบฏในครั้งนั้นย่อมต้องมีอะไรมากกว่านั้น ทว่า... นางกลับไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง หากนางยื่นมือเข้าไปขโมยทองพวกนั้นเหล่า จะเกิดอะไรขึ้น แต่หากว่านางไม่ขโมย และจะปล่อยไว้เช่นนั้น วันหน้าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร ฉู่ซินเยว่ไม่รู้เลยว่านางจะทำเช่นไรต่อไปดี “คุณหนูท่านบอกความจริงกับข้าได้ไหมเจ้าคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่” “หึ... ถ้าข้าพูดไปแล้วเจ้าคิดว่าข้าบ้าหรือไม่เล่า” “คุณหนู ข้าอยู่กับท่านมานาน เหตุใดท่านถึงคิดว่าข้าจะคิดเช่นนั้น” “ข้ารู้สึกเหมือนฝัน… ในฝันข้ามีบุตรชาย บุตรชายของข้าตาย ฝันนั้นไม่ใช่แค่ฝัน แต่มันเป็นเรื่องจริง แล้วข้าก็ตายเลยได้ย้อนกลับอีกครั้ง ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ข้าเลยอยากทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของข้าไม่ต้องลำบากแบบเดิมอีก” ฉู่ซินเยว่กล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ ชั่วระยะนี้จิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยสักนิด นางอ่อนไหวง่าย ทั้งยังนอนกระสับกระส่าย นอนแทบไม่หลับ ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้นกับนาง “คุณหนู ท่านฝันร้ายหรือเจ้าคะ ฝันอะไรจะเป็นเรื่องจริงเช่นนั้น ข้ายังมีชีวิตอยู่ คุณหนูก็มีชีวิตอยู่เช่นกัน จะเกิดเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร” เสี่ยวชิงถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่ฉู่ซินเยว่กลับส่ายหน้า นางไม่มีทางเชื่อว่านั่นเป็นความฝัน เพราะนางล้วนใช้ชีวิตทุกวัน ทุกลมหายใจมาด้วยความทุกข์ระทม นางอาจจะจดจำได้หมดทุกอย่าง แต่หลายเรื่องนางล้วนจดจำได้ดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม