“ข้าไม่ได้ฝันร้าย เสี่ยวชิง ข้าในตอนนั้นโง่เขลา ทำแต่เรื่องราวที่ผิดพลาดไป ขะ ข้า… ข้ากลัวว่าข้าจะทำผิดพลาดซ้ำอีก” ฉู่ซินเยว่กล่าว น้ำตาของนางเริ่มไหลออกมาอีกครั้งด้วยความคิดมาก นางไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเคร่งเครียด ไม่เป็นตัวของตัวเองมากขนาดนี้ ทั้งระยะนี้นางยังฝันร้ายแทบทุกค่ำคืนเลย
“คุณหนูท่านไม่ได้โง่เขลานะเจ้าคะ”
“ไม่จริง ข้าขายเจ้า ข้าทอดทิ้งทุกคนที่ดีกับข้า ข้าเลือกบุรุษเพียงเพราะถ้อยคำของว่านเหมยเฟิง ข้ากลายเป็นสตรีเลวทรามแย่งคู่หมั้นผู้อื่น ท้ายที่สุดก็ถูกทอดทิ้งในให้ต้องอุ้มครรภ์อย่างโดดเดี่ยว ต้องให้กำเนิดบุตรชายตัวคนเดียว ละ และสุดท้ายลูกของข้า ฮึกก” ฉู่ซินเยว่พูดแทบไม่ออก ร่างกายของนางสั่นเทิ้มขึ้นมาจนมือไม้อ่อน เสี่ยวชิงไม่เคยเห็นคุณหนูมีลักษณะอาการเช่นนี้มาก่อน นางจึงรีบเข้ามาสวมกอดคุณหนูด้วยความตกใจ ฉู่ซินเยว่สะอึกสะอื้นแผ่วเบา นางกัดริมฝีปากจนแดงไปหมด
“อย่ากัดปากนะเจ้าคะคุณหนู ท่านยังต้องไปงานตระกูลกวน จะให้มีแผลออกไปไม่ได้เด็ดขาด” เสี่ยวชิงกล่าวพลางโอบกอดคุณหนูไม่ให้สั่นเทิ้มไปมากกว่านี้ ฉู่ซินเยว่เริ่มได้สติ นางถอนหายใจพลางผ่อนคลายอารมณ์ “คุณหนู ข้าไม่รู้ว่าท่านฝันว่าอย่างไร จะขายข้าหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องที่ข้ารับรู้ หรือว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าหากตอนนี้คุณหนูได้โอกาสใหม่อีกครั้ง คุณหนูก็กำลังแก้ไขมันอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิงปลอบคุณหนู นางไม่แน่ใจว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร แต่หากเป็นเช่นนั้นอย่างที่คุณหนูว่าจริงๆ ตอนนี้คุณหนูก็กำลังพยายามหาหนทางแก้ไขอยู่ไม่ใช่หรือ
“ข้ากลัวข้าจะทำไม่สำเร็จเสี่ยวชิง ฮึกก”
“คุณหนูไม่ได้แก้ไขมันด้วยตัวคนเดียวนี่เจ้าคะ คุณหนูมีข้า มีพี่ชายของข้าอยู่ มันต้องเปลี่ยนได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงกล่าวย้ำกับฉู่ซินเยว่ด้วยความจงรักภักดี คุณหนูของนางก็คือเจ้านายของนาง นางไม่มีวันทำให้คุณหนูผิดหวังโดยเด็ดขาด ชั่วชีวิตของนางก็มีเพียงคุณหนูเท่านั้น วันหน้าจะดีหรือร้าย นางล้วนยินดีไปพร้อมกับคุณหนู
“เสี่ยวชิง เจ้าว่าข้างามเกินไปหรือไม่” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางมองเงาของตนเองที่สะท้อนจากคันฉ่องทองเหลือง ตัวนางในยามเยาว์วัยก็นับว่ามีรูปโฉมที่ดีพอสมควร มารดาของนางไม่ใช่หญิงงาม แต่บิดากลับนับว่าเป็นชายงามอย่างแท้จริง หน้าตาของเขาดีพอจะล่อลวงคุณหนูโง่เขลาที่มาจากตระกูลดีอย่างมารดาของนางได้ ฉู่เหรินเจี้ยนกับฉู่หรูหยวนเองก็เช่นกัน พวกเขาสองพี่น้องมีรูปร่างหน้าตาที่ดียิ่ง อนุอี้ก็ถือว่าหญิงงามมากผู้หนึ่ง ความงามของสองพี่น้องนั่นจึงนับว่าเหนือกว่านางนัก น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ค่อยใช้มันให้ถูกทางสักเท่าไหร่
“คุณหนูของข้างดงามที่สุดเจ้าค่ะ น่าเสียดายวันนี้ท่านเลือกของประดับน้อยนัก ไม่สมฐานะท่านเลยสักนิด” เสี่ยวชิงกล่าว ฉู่ซินเยว่หัวเราะเล็กน้อย ในอดีตตระกูลฉู่มักจะเป็นตัวตลกอยู่บ่อยครั้ง นางไม่มีมารดาที่ดีคอยสั่งสอน จึงไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร ลักษณะแม้แต่การย่างก้าวเท้าของนางยังไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก การเลือกสีชุด เนื้อผ้า เครื่องประดับ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรมเนียมและมารยาท เดิมทีนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉู่หรูหยวนจึงมักจะถูกผู้คนชื่นชมเสมอ พอโตขึ้นนางถึงได้เข้าใจว่านางนั้นไม่ค่อยรู้จักมารยาทนัก โชคดีที่นางเฒ่าสกุลเจียงหาหมัวมัวที่เก่งกาจมาสอนสั่งนาง วันนี้นางถึงได้เลือกเครื่องประดับที่ธรรมดา ชุดเสื้อผ้าก็เลือกตามความเหมาะสม ไม่โอ้อวด และไม่ถ่อมตนจนเกินไปนัก
“สมฐานะของข้า เกินหน้าเกินตาผู้อื่นก็คงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่”
“เจ้าค่ะ”
“แต่วันนี้ข้าจะไหวหรือไม่กัน อาการข้าไม่ค่อยดีเลย หลับฝันร้ายแทบทุกคืน เกรงว่าหลังจากงานนี้ ข้าคงต้องไปหาหมอสักหน่อยแล้ว ยาสงบใจที่ซื้อมาช่วยข้าไม่ค่อยได้เลย”
“เช่นนั้น หากวันนี้หากคุณหนูไม่ไหว คุณหนูรีบปลีกตัวออกมาเลยนะเจ้าคะ ข้าจะรอท่านอยู่หน้าประตูจวนเจ้าค่ะ" เสี่ยวชิงกล่าว ระยะนี้อาการของคุณหนูก็ไม่ดีเท่าไหร่นักจริงๆ เสี่ยวชิงเป็นห่วงอยากให้คุณหนูไปพบท่านหมอเพื่อรักษา อย่างน้อยก็ตรวจอาการค้นหาสาเหตุ แต่คุณหนูก็กล่าวว่าให้รอหลังงานตระกูลกวนก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วอาการหนักเช่นนี้ไม่ควรรอเลย แต่คุณหนูคงกลัวว่าจะถูกห้ามไม่ให้ไปร่วมงานเลี้ยงจึงไม่ยอมรักษา
“อืม”
ฉู่ซินเยว่ในวันนี้นางสวมใส่ชุดสีฟ้าอ่อนพร้อมกับเครื่องประดับมุกเข้าชุด ฉู่หรูหยวนเองก็ไม่น้อยหน้านางสวมใส่ชุดสีชมพูอ่อน เครื่องประดับทองขนาดเล็กน่ารักประดับอย่างพอเหมาะพอควร ถึงอนุอี้จะเป็นเพียงอนุ แต่นางเคยได้ดูแลรับใช้คุณหนูตระกูลใหญ่มาก่อน ลิ่งกุ้ยเฟยมาจากตระกูลเซวี่ย พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ ตระกูลเซวี่ยจึงถือเป็นอีกชนชั้นหนึ่งสำหรับพวกครอบครัวขุนนาง ฉู่ซินเยว่ถอนหายใจ เมื่อก่อนนางดูแคลนผู้อื่น ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้อื่นต่างหากที่ดูแคลนนาง
“พี่รองช่างงดงามเรียบง่ายนักเจ้าค่ะ” ฉู่หรูหยวนกล่าวทักทาย นางไม่ได้พบหน้าพี่รองมาก็หลายเดือน อีกฝ่ายเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือนของตนเอง ไม่เคยออกมาทานอาหารร่วมกับคนอื่น อีกทั้งยังมักอ้างตัวว่าป่วย แล้วคนป่วยที่ไหนไปสนิทกับพี่ชายของนาง ถึงขั้นงานเลี้ยงครั้งนี้กลับพาพวกนางไปด้วย คนอย่างพี่ชายนางมีหรือจะนึกถึงน้องสาว
“เจ้าก็ช่างแต่งกายได้เหมาะสมเสียจริง” ฉู่ซินเยว่กล่าวทักทาย ทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยท่าทีนิ่งสงบไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่นัก ฉู่หรูหยวนไม่ใช่คนที่ชอบเปิดปากพูดก่อน ส่วนฉู่ซินเยว่ แม้นางจะคิดว่านางปล่อยวางได้หลายเรื่อง แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น ฉู่หรูหยวนเปรียบเหมือนหนามตำใจนางมาหลายสิบปี นางไม่มีทางที่จะเอ็นดูเมตตา หรือแม้แต่อยากจะสนทนากับคนตรงหน้าด้วยซ้ำ สองมือของนางใต้แขนเสื้อขนาดใหญ่จับเข้าหากันบนหน้าขา นางกำมือทั้งสองเข้าด้วยกันจนแน่นพลางหลับตาลงเพื่อให้ตนเองสงบอารมณ์ นางต้องอดกลั้นนานทีเดียวกว่าจะถึงที่หมาย
“ท่านเป็นอะไรกันแน่ ถึงต้องขมวดคิ้วขนาดนั้น หรือการนั่งบนรถม้ากับข้ามันทำให้ท่านรังเกียจจนไม่อยากจะอยู่ใกล้ชิดมากเลยหรืออย่างไร” ฉู่หรูหยวนกล่าวถามในขณะที่ฉู่ซินเยว่กำลังเดินลงจากรถม้า ฉู่ซินเยว่เหลียวหันไปมองอีกฝ่าย ฉู่หรูหยวนนั้นเข้าใจถูกต้อง แต่ครั้นจะให้นางตอบอีกฝ่ายตามตรงก็ดูจะใจร้ายเกินไปนัก
“ข้าไม่สบาย”
“ไม่สบายแล้วมาที่งานเลี้ยงทำไม”
“ไม่ต้องถามมากได้ไหม เจ้านี่มันน่ารำคาญเสียจริง” ฉู่ซินเยว่อดใจไม่ไหว นางตำหนิฉู่หรูหยวนด้วยความรำคาญใจ เสี่ยวชิงจับแขนคุณหนูเพื่อให้คุณหนูระงับอารมณ์ ตอนนี้มาถึงจวนตระกูลกวนแล้ว จะเสียมารยาทไม่ได้เด็ดขาด ฉู่ซินเยว่ถอนหายใจก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ ฉู่หรูหยวนเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะฉู่ซินเยว่ไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์เช่นนี้ อย่างมากก็เพียงโต้เถียงกันเท่านั้น ไม่เคยตะคอกใส่ราวกับรำคาญนางเสียเต็มประดาเช่นนี้มาก่อน นางจึงได้สงบปากสงบคำทันที เพราะอย่างไรแล้วที่นี่ไม่ใช่จวนตระกูลฉู่ หากนางเสียมารยาทออกไป รู้ไปถึงท่านพ่อ ท่านแม่ นางต้องโดนลงโทษอย่างแน่นอน
“ขออภัยเจ้าค่ะ”
ภายในงานเลี้ยงตระกูลกวนถูกจัดแบ่งแยกชายหญิง คุณชายใหญ่ฉู่เหรินเจี้ยนย่อมแยกมาอีกฝั่งหนึ่ง เขาไม่ได้มาพร้อมน้องสาวทั้งสอง แต่เลือกที่จะมาก่อน ฉู่ซินเยว่ และฉู่หรูหยวนลงจากรถม้ามาก็ถูกพาเข้างาน โดยไม่มีหญิงรับใช้ส่วนตัวติดตาม แต่นั่นก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร ธรรมเนียมงานเลี้ยงก็เป็นเช่นนี้ มีแต่พวกเหล่าคุณหนูชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์นำหญิงรับใช้เข้ามาในจวน
ฉู่หงซีผู้เป็นบิดาของนางตำแหน่งเขาก็เพียงแค่ขุนนางหลักขั้นห้าเท่านั้น แม้ในสายตาผู้อื่นจะดูเป็นขุนนางมีตำแหน่ง แต่ตำแหน่งของท่านพ่อก็เป็นเพียงแค่ตำแหน่งขุนนางที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ที่ผ่านมาฉู่ซินเยว่มักถือตนว่าสูงส่ง เป็นคุณหนูชั้นสูง หากเทียบกับชาวบ้านก็คงจะเป็นเช่นนั้น แต่หากเทียบกับคุณหนูในหมู่ตระกูลขุนนาง นางก็นับว่าดาษดื่นยิ่งธรรมดานัก
อึก…
ฉู่ซินเยว่เริ่มมีอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง นางถึงกับยืนแทบไม่อยู่จวนเจียนจะล้มลง ในขณะที่เหล่าคุณหนูทั้งหลายกำลังเดินตามหญิงรับใช้ตระกูลกวนเข้าไปในงาน ฉู่หรูหยวนรีบเข้ามาประคองฉู่ซินเยว่ทันทีด้วยความตกใจ ผิวกายของฉู่ซินเยว่ร้อนจนฉู่หรูหยวนรับรู้ได้
“ท่านไม่สบายแล้วจะมาทำไม จะทำให้งานมงคลตระกูลกวนมีปัญหาเพราะท่านหรือยังไง” ฉู่หรูหยวนกล่าวกระซิบต่อพี่สาวของตัวเอง วันนี้เป็นวันดีอย่างมากของตระกูลกวน จะให้เกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด ฉู่ซินเยว่ก็ทราบดี นางรู้ว่านางฝืนตัวเองมากเกินไป ทั้งที่โอกาสที่นางจะหาทางไปพบกับเจียงเว่ยหมิงมีมากนัก
“เช่นนั้นเจ้าเข้างานไปก่อน ข้าจะพักสักพัก หากไม่ดีขึ้นจะหาทางกลับออกไปเอง”
“อืม” ฉู่หรูหยวนกล่าวก่อนจะพาฉู่ซินเยว่ไปนั่งพักบนโขดหิน แล้วรีบเดินตามไปกับพวกกลุ่มคุณหนูเข้างานไปงาน ความจริงแล้วภายในงานเลี้ยงเช่นนี้ ว่านเหมยเฟิงควรจะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่พามาด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเล่ห์กลใดของฉู่เหรินเจี้ยน ทำให้ว่านเหมยเฟิงไม่ได้รับเชิญ น้องสาวทั้งสองก็เหมือนติดตามพี่ชายมาเท่านั้น
งานเลี้ยงวันนี้เป็นงานฉลองวันสำคัญของคุณชายกวนอี้เผย เขาเป็นบัณฑิตหนุ่มจากบ้านใหญ่ที่โดดเด่นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเขา ตั้งแต่ในวัยเยาว์เขาสอบถงซื่อ เซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ ย่วนซื่อ ได้คะแนนอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ทั้งในการสอบระดับมณฑลอย่างเซียงซื่อที่จัดทุกสามปีก็ได้คะแนนอันดับหนึ่งของสนาม ทั้งที่ยังเยาว์วัยนัก สนามสอบสุดท้ายอย่างฮุ่ยซื่อ เขาก็ได้คะแนนสูงจนสามารถเข้าร่วมการสอบต่อหน้าพระที่นั่งที่เรียกว่าการสอบเตี๋ยนซื่อ และเขาสามารถสอบได้เป็นอันดับสาม ในตำแหน่งถ้านฮั่ว ถือเป็นหนึ่งในซานติ่งเจี้ยที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง เพราะเขานั้นยังเยาว์ หน้าตาดี มาจากตระกูลที่ดี ทั้งยังไม่มีภรรยา ทำให้เหล่าสตรีในเมืองหลวงมากมายต่างหมายปองเขาทั้งสิ้น
ทว่า… สำหรับฉู่ซินเยว่แล้วนั้น ไม่มีบุรุษใดโดดเด่นไปกว่าบุตรชายอันเป็นที่รักของนาง
เจียงฮุ่ยเองในด้านการศึกษาเขาก็โดดเด่นไม่น้อยหน้ากับใคร ในการสอบสนามสุดท้าย เขาก็ติดหนึ่งในซานติ่งเจี้ย แต่บุตรชายของนางได้ตำแหน่งอันดับสองป่างเหยียน ทั้งบุตรชายของนางยังเก่งด้านบู๊ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุ๋น หากบุตรชายของนางเอาดีด้านเดียวตำแหน่งจอหงวนก็ไม่มีทางไกลเกินฝัน ฉู่ซินเยว่ในตอนนั้นเป็นแม่สามีที่เหล่าสตรีมากมายในเมืองหลวงต่างใฝ่ฝันอยากจะฝากตัวมาเป็นสะใภ้ จากฮูหยินที่สามีทิ้งร้างกลายเป็นฮูหยินอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางที่เคยถูกผู้คนหมางเมินกลับพากันเข้าหา มาชื่นชมแสดงความยินดีกับบุตรชายของนาง คิดไปแล้วก็คิดถึงบุตรชายนัก…
“แม่นาง เหตุใดถึงมานั่งตรงนี้ได้ ไม่เข้างานหรือ” เสียงนุ่มทุ้มต่ำกล่าวกับฉู่ซินเยว่ นางเงยหน้ามองเขา ดวงตาของนางพร่ามัวจนมองอะไรไม่ค่อยเห็นนัก น้ำเสียงของเขาไม่ใช่น้ำเสียงที่นางคุ้นเคยสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่แปลกอะไรนัก สตรีที่ไหนจะไปรู้จักบุรุษทั่วหล้าขนาดนั้น
“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย ข้าเพียงแต่มีอาการเวียนศีรษะเท่านั้นจึงได้มาพัก รอสักประเดี๋ยวอาการดีขึ้น ข้าจะรีบออกจากจวนเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางไม่กล้าคลำทางกลับไปเอง เพราะเพียงแค่นางจะยืนให้ตรง นางยังทำได้ยากยิ่ง เกรงว่าหากเดินไปสะดุดล้มหัวแตกขึ้นมาก็คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ มิสู้รอสักพักแล้วค่อยหาทางเดินกลับไปอย่างสงบ
“หากเจ้าไม่สบาย ให้ข้าพาเจ้าไปพักในเรือนดีหรือไม่ เรือนรับรองอยู่ไม่ไกลนี่เอง” คุณชายผู้นั้นกล่าวอย่างสุภาพกับแม่นางน้อยตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง ฉู่ซินเยว่เองก็คิดว่านางเหมือนจะไม่ไหว หากได้ไปเรือนรับรอง ก็คงมีใครสักคนที่พอจะไปตามท่านหมอ หรือหาวิธีส่งนางกลับจวนแบบไม่ให้เอิกเกริกได้
“เช่นนั้นเสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่ตอบ อีกฝ่ายตั้งใจจะเข้ามาช่วยพยุง
“ช้าก่อน ถ้านฮั่ว วันนี้งานมงคลของท่าน เหตุใดไม่อยู่ในงานเล่า" เสียงของใครบางคนกล่าวขึ้น ฉู่ซินเยว่แม้จะมองไม่เห็น แต่นางก็จดจำน้ำเสียงของเขาได้ดี เป็นใครไปไม่ได้นอกจากสามีสารเลวของนางนั่นเอง นางพยายามกำหนดลมหายใจ ใช้สติให้มาก แม้ว่านางจะเกลียดเขามากขนาดไหน นางก็ต้องใช้เขาเพื่อให้เจียงฮุ่ย บุตรชายแสนรักของนางได้กลับมาอีกครั้ง นางจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
“คุณชายเจียง” คุณชายกวนกล่าวทักทายอีกฝ่าย
“ท่านเป็นถ้านฮั่วมาทำอะไรตรงนี้ หรือว่าท่านอยากแต่งภรรยาพร้อมกับรับตำแหน่งขุนนางในราชสำนักเลยเล่า” เจียงเว่ยหมิงกล่าว ทำเอากวนอี้เผยถึงกับตกใจอยู่ไม่น้อย ถ้อยคำที่เถรตรงขนาดนี้สมกับเป็นคุณชายเจียงเสียจริง เขาพยักหน้าพลางครุ่นคิดด้วยความเข้าใจ เขาเพิ่งได้ประกาศตำแหน่งการสอบเป็นถ้านฮั่วได้สำเร็จ แต่กลับมีสตรีหลงทางมาร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในงานฉลอง มันช่างเหมาะเจาะพอดีกันเสียจริง ฉู่ซินเยว่อยากจะตะโกนด่าเสียเหลือเกินว่าเป้าหมายของนางไม่ใช่กวนอี้เผย แต่เป็นเขาเองนั่นแหละที่นางต้องการ ต่อให้ใต้หล้าทั่วแผ่นดินจะมียอดบุรุษที่ดีเพียงใด นางก็ต้องการแค่เขา เพราะว่าเขาเป็นบิดาของลูกชายนาง ไม่ใช่คนอื่น
“เช่นนั้นข้าจะไปตามคนมาช่วย”
“ให้เป็นธุระของข้าเถอะ ท่านรีบเข้างานไปได้แล้ว เกรงว่ามารดาของท่านคงตามหาท่านแล้ว”
“เช่นนั้นฝากท่านเป็นธุระด้วย” คุณชายกวนอี้เผยกล่าวก่อนจะรีบเดินจากไป เขาเกือบตกหลุมพรางคุณหนูผู้นั้นแล้ว หากนางวางแผนลวงเล่ห์อะไรก็ไม่แคล้วที่จะต้องแต่งนางมาเข้าจวน ยิ่งตอนนี้ด้วยฐานะของเขาแล้ว ในสายตาของสตรีคงจะเป็นที่หมายปองมากจริงๆ
“เจ้าจะเลิกเป่าขลุ่ยได้หรือยัง ที่นี่ไม่มีกษัตริย์แคว้นฉีหรอกนะ" เจียงเว่ยหมิงกล่าว ฉู่ซินเยว่เกลียดปากของสามีนัก จะพูดจาด่าทออะไรก็มักจะหยิบยกสำนวนมาให้ผู้คนเข้าใจยากเสมอ บางคนยังไม่รู้ความหมาย ผู้คนก็จะด่าว่าโง่เขลา แต่หากรู้ความหมายก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ สรรหาแต่ละคำมาด่าผู้คนได้ดีนัก
“ข้าไม่สบายจริงๆ เจ้าค่ะคุณชาย” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ แต่ครั้นจะให้พูดจาหยาบคาย หรือเย็นชากับอีกฝ่าย นางก็ไม่กล้า แม้นางอยากจะก้มลงหยิบหินมาทุบหน้าของเขาให้แตก แต่นางก็ได้แต่อดทน เพื่อลูกชายอันเป็นที่รักของนาง นางจึงได้พูดจากับเขาอย่างอ่อนหวาน
“ข้าไม่ใช่คนใจดีนักหรอกนะ อย่ามาสร้างเรื่องที่จวนตระกูลกวนเลย เข้าไปในงานเลี้ยงดีๆ หรือไม่เช่นนั้นก็ออกจากจวนไปเถอะ” เจียงเว่ยหมิงกล่าว เขาไม่ได้สนิทกับกวนอี้เผย แต่กลับเป็นสหายสนิทกับกวนจื่อหยวนลูกพี่ลูกน้องของกวนอี้เผย เขาจึงได้แนะนำอีกฝ่ายอย่างใจเย็น เพราะไม่อยากให้จวนตระกูลกวนเกิดเรื่อง สตรีในเมืองหลวงร้อยเล่ห์นัก เรื่องแบบนี้มีให้เห็นทั่วไป