วันต่อมา พราวนภาต้องลงมาปฏิบัติภารกิจในคอกวัว โดยมีพ่อเลี้ยงหนุ่มและหมอยิ้มคอยเป็นพี่เลี้ยง
“ก่อนอื่นคุณต้องกวาดคอกวัว ล้างคอกวัว แล้วคอยให้อาหาร” ชายหนุ่มส่งไม้กวาดทางมะพร้าวให้เธอ
หญิงสาวรับมาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ กลิ่นมูลวัวโชยเข้าจมูกเป็นระยะชวนอาเจียน และสุดจะทนไหว พราวนภารีบวิ่งออกไปแล้วอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง โดยมีหมอยิ้มคอยลูบหลังให้
“ดีขึ้นไหมจ๊ะหนูพราว”
“ดีขึ้นค่ะ คุณหมอ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแหบเบา ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือด
“อดทนหน่อยนะจ๊ะ อีกหน่อยก็ชินไปเอง พี่ว่าหนูพราวไปนั่งพักก่อนดีกว่าค่ะ” สองสาวต่างวัยพากันเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศ
“ตายจริง พนักงานใหม่ได้กลิ่นขี้วัวถึงกับอ้วกเลยหรือจ๊ะ แล้ว
อย่างนี้จะทำงานที่นี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” น้ำเสียงเย้ยหยัยของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ทำให้พราวนภารู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว แต่สายตาของพ่อเลี้ยงหนุ่มนี่สิทั้งดูถูกทั้งเยาะเย้ยและดูเหมือนเธอเป็นตัวตลก
“ฉันแค่ไม่คุ้นกับกลิ่นของวัวเท่านั้น พวกคุณเอาอะไรมาวัดว่าฉันจะทำงานที่นี่ไม่ได้ เพียงแค่ฉันอ้วกที่ได้กลิ่นขี้วัวเนี่ยนะคะ พวกคุณไม่เคยเป็นหรือไง อ้อแล้วที่ฉันมาที่นี่ มาทำงานในฐานะเลขาฯ ไม่ใช่พนักงานเก็บขี้วัวหรือเป็นสัตวบาลที่ต้องทำงานกับวัวทั้งวันแบบพวกคุณ” หญิงสาวเชิดหน้าเดินผ่านทุกคนไปนั่งลงที่โต๊ะประจำตำแหน่งเลขาฯ ของเธอ หยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่านไม่สนใจใครอีกเลย
“พวกคุณไปทำงานเถอะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
“พ่อเลี้ยงคะ” หมอยิ้มพยายามจะช่วยพูดแต่พ่อเลี้ยงหนุ่มกลับยกมือขึ้นห้าม
“ผมฝากทุกคนช่วยดูลูกวัวน้อยด้วยนะครับ” ชายหนุ่มพูดตัดบทเหมือนไล่กรายๆ พลอยทำให้คุณหมอทุกคนพากันกลับไปทำหน้าที่ของตนเองทันที
ชายหนุ่มเดินไปหยุดตรงหน้าโต๊ะเลขาสาวคนสวยที่ตอนนี้เธอเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมหลับตาพริ้มเสี้ยวหนึ่งของความคิด “น่ารักชะมัด” ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไปมาเรียกสติกลับคืน เขารู้สึกหน้าชาเพราะคำพูดของพราวนภา เธอไม่ให้เกียรติเขาแม้สักนิด กล้าประชดประชันเขาต่อหน้าพนักงาน แถมยังเดินเชิดหน้าผ่านเขาไปอย่างไร้มารยาท
“การเป็นเลขาของฉัน เธอจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่นี่ เก็บขี้วัว ล้างคอกวัว รีดนมวัว หรือแม้แต่ช่วยฉันทำคลอดวัว เธอก็ต้องทำได้ ถ้าคิดว่ามาเป็นเลขาแล้วจะนั่งสบายอยู่ที่โต๊ะทำแต่เอกสารไปวันๆ ละก็ กลับบ้านเธอไปซะ ฉันไม่ต้องการเลขา ที่คุณหนูจ๋าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างเธอ” คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง หญิงสาวลืมตาขึ้นมองหน้าเขา
“นี่คุณไล่ฉันงั้นหรือ” หญิงสาวถามเสียงสั่นน้ำตาเจ้ากรรมพาลจะไหล
“ก็แล้วแต่เธอจะคิด ที่ฉันพูดมาทั้งหมดคือสิ่งที่ฉันต้องการจากเลขา ของฉัน ถ้าเธอไม่มีคุณสมบัติพอก็กลับบ้านไปซะ” ทั้งน้ำเสียง และแววตาของเขาไม่ได้บ่งบอกเลยว่าพูดเล่น
“.......” หญิงสาวก้มหน้านิ่ง เขาไล่เธอกลับบ้านสองครั้งแล้วนะ
“คิดดูดีๆ ก็แล้วกัน” พ่อเลี้ยงหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานทันทีที่พูดจบ
หญิงสาวเอนตัวพิงเก้าอี้อีกครั้ง หลับตานิ่ง สมองน้อยๆ ทำงานอย่างหนัก ถ้าเธอกลับไปตอนนี้ เธอก็ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แต่ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ เธอจะต้องทำตัวให้มีคุณสมบัติตามที่หัสดินทร์ต้องการ
ย้อนกลับไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เธอเรียนจบปุ๊บ บิดาก็เรียกตัวเธอกลับกรุงเทพฯ หญิงสาวเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว เป็นความหวังของพ่อแม่ เธอเรียนเก่ง ได้เกียรตินิยมระดับเหรียญทองจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของเชียงใหม่ คนในครอบครัวต่างปิติยินดีกับเธอแต่ก็มีเรื่องเข้ามาในชีวิตจนได้เมื่อบิดาต้องการให้เธอแต่งงานกับบุตรชายของเพื่อนคู่ค้า แต่เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้ หญิงสาวหนีออกจากบ้านบินตรงมาเชียงใหม่เพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรุ่นน้องของพ่อ ซึ่งเขาก็ส่งตัวเธอเข้ามาใน Crown Farm แห่งนี้ แล้วกุข่าวว่าเธอหนีตามคนรักไป แล้วถ้าเธอยอมแพ้ตอนนี้ ทุกสิ่งที่เธอทำไปมันก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเธอก็ไม่มีวันแต่งงานกับคนที่เธอไม่รักเด็ดขาด ไม่มีวันยอม
“เรื่องกลิ่นขี้วัวน่ะเรื่องเล็ก อีกหน่อยหนูพราวก็ชิน ลองพยายามกันดูไหมจ๊ะ”
“หมอยิ้ม” คุณหมอสาวใหญ่แสนใจดีเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ
“เวลาเท่านั้นที่จะทำให้หนูพราวแก้ปัญหาได้ ลองปรับตัวปรับใจตัวเองดูนะ ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก พี่ยินดีเสมอ” รอยยิ้มแสนอบอุ่นอ่อนโยนของเธอส่งผลให้พราวนภาที่ว้าเหว่ร้องไห้ออกมาเสียงดังราวกับเด็กน้อย
“อ้าวแล้วกันสิ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี” หมอยิ้มปลอบพร้อมกับเดินเข้าไปโอบกอด
“ขอบคุณค่ะหมอยิ้ม พราวจะลองดูค่ะ” พราวนภาพนมมือไหว้พร้อมรอยยิ้มที่สดใสขึ้น
“เอาละทีนี้มาดูเอกสารการส่งน้ำนมวัวไปแปรรูปและส่งลูกค้ากัน” หมอยิ้มยังคงสอนงานให้พราวนภาด้วยความอ่อนโยน หญิงสาวรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น เธอจะต้องทำงานที่นี่ให้ได้ และเธอจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้หัสดินทร์เห็นว่าเธอมีคุณสมบัติการเป็นเลขา ของเขาครบถ้วน
“เราจะต้องทำได้สิ พราวนภา สู้ๆ”
และนับจากวันนั้น พราวนภาก็พยายามทำงานทุกอย่างในคอกวัวโดยมีหมอยิ้มและมนเป็นพี่เลี้ยง ส่วนงานด้านเอกสารเธอก็สามารถจัดการได้ดี เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น เพื่อนร่วมงานเริ่มยอมรับในความสามารถของเธอ จะมีก็แต่พิมพ์และสิตาเท่านั้นที่คอยเหน็บแนม แต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
“วันนี้ผมจะพาคุณไปดูโรงงานฝั่งโน้น เตรียมเอกสารให้พร้อมล่ะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มสั่งเสียงห้วน หญิงสาวย่นจมูกใส่คนขี้เก็กแต่ก็รีบทำตามคำสั่ง
“จะได้เจอคุณเหนือไหมคะพ่อเลี้ยง” น้ำเสียงสดใสของเลขาสาวคนสวยส่งผลให้เท้าที่เดินอยู่ชะงัก
“ทำไม อยากเจอมันมากหรือไงไอ้เหนือน่ะ”
“อยากเจอค่ะ ตั้งแต่มาทำงานที่นี่เกือบเดือนแล้ว ยังไม่เคยเจอคุณเหนือเลย” หญิงสาวตอบตามตรงอย่างที่เธอรู้สึก
“ถ้ามันอยู่ก็เจอ ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เจอ พูดมากรีบตามมา ชักช้า”
“อ้าว...” หญิงสาวหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ พ่อเลี้ยงหนุ่มก็อารมณ์เสียแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เมื่อยายเลขาของเขาถามหาเพื่อนรัก แถมยังมีท่าทางอยากเจอจนออกนอกหน้าใบหน้าสวยหวานแลดูสดใสเมื่อทราบว่าจะได้พบกับเพื่อนของเขา
“หงุดหงิดโว้ย...” ไม่หรอก เขาไม่ได้พูด แต่เขาระบายความรู้สึกไปกับการเหยียบคันเร่งเกือบมิดทำเอาคนนั่งข้างๆ อดใจสั่นด้วยความกลัวไม่ได้ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทาง
“เฮ้อ...” เสียงถอนใจดังๆ ออกมาจากปากจิ้มลิ้ม พ่อเลี้ยงหนุ่มหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะเดินนำเข้าไปในโรงงาน
“อ้าวไอ้ดิน ไหนว่าจะมาบ่ายไง...” พายัพเดินเข้ามาหาเพื่อนรักด้วยรอยยิ้ม
“ตอนบ่ายมีธุระน่ะ” พูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงหวานใสของพราวนภาก็ดังขึ้น
“คุณเหนือ ไม่ได้เจอเป็นเดือนเลยนะคะ คิดถึงจัง” หัสดินทร์มองแม่เลขา คนสวยของเขาวิ่งเข้าไปกอดแขนแถมยังพูดจาฉอเลาะออดอ้อนเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้
“คิดถึงจริงหรือเปล่า หายไปเป็นเดือน ไม่โทรรายงานตัวกับคุณเหนือเลยนะ” พายัพเย้าสาวน้อยตรงหน้าพร้อมกับยีหัวเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“แหม ก็หนูพราวเอาโทรศัพท์มาที่ไหนกันคะ คุณเหนือก็ทราบ” หญิงสาวกระเง้ากระงอด
“หึๆ เอาล่ะๆ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ตอนนี้ต้องทำงานก่อน ดูพ่อเลี้ยงของหนูพราวสิ ตาเขียวเชียว”
หัสดินทร์มองสองหนุ่มสาวที่หยอกล้อกันอย่างสนิทสนมตาขุ่นอยากเข้าไปดึงพราวนภาออกห่างเพื่อนรักแต่ก็สุดจะทำได้ นี่เขาเป็นอะไรไป ทำไมต้องมีความรู้สึกแบบนี้กับพราวนภาด้วยนะ